ทะลุมิติทั้งครอบครัว 308 สิ่งของ / 309
ตอนที่ 308 สิ่งของ
สองมือของซุ่นจื่อถือมีดกับผัก สับพริกพลางหลั่งน้ำตา
เสี่ยวเฉวียนจื่อแสบจนต้องเอามือปิดตา “อ๊า ฮัดเช้ย”
“ไสหัวไปข้างๆ เลย น้ำลายเจ้ากระเด็นลงบนนี้ จะทำไงได้อีก”
เสี่ยวเฉวียนจื่อหดคอด้วยความกลัว คิดในใจ ข้าจะไสหัวไปไหนได้ ท่านเรียกให้ข้ามาก่อไฟมิใช่รึ เขาเติมฟืนแล้วไปยืนอยู่ข้างหลัง
ผ่านไปไม่นานเสี่ยวเฉวียนจื่อก็จำต้องเข้าไปเตือนอีกรอบ
“อาจารย์ เทน้ำมันเยอะไปแล้ว”
“อาจารย์ ไอ๊หยา ทำไมไม่เช็ดกระทะก่อนค่อยใส่น้ำมัน”
จากนั้นในห้องครัวก็ได้ยินเสียงน้ำเจอกับน้ำมัน เกิดเสียงเป๊าะแป๊ะดังขึ้นทันที
ซุ่นจื่อทำอะไรไม่ถูก มือข้างหนึ่งถือตะหลิว มืออีกข้างถือฝาหม้อ ปิดฝาก็ไม่ถูก ไม่ปิดฝาก็ไม่ถูก
ที่ด้านนอกประตู พวกป้าๆ ที่ถูกไล่ออกไปมีสีหน้าจนปัญญา
ซุ่นจื่อเจ้าคนสมองทึบ เอาแต่บอกว่าคุณชายสั่งให้เขาทำ เปลี่ยนมือเป็นพวกนางไม่ได้
ทั้งยังต่อว่าพวกนางด้วย ‘พวกท่านไม่เคยกินสักหน่อย’
ใช่ พวกนางไม่เคยกิน
งั้นพวกนางไม่เคยกินเนื้อหมู ก็ไม่เคยเห็นหมูวิ่งด้วยงั้นสิ ก็แค่ทำกับข้าวไหมล่ะ
เสี่ยวเฉวียนจื่อตะโกนอยู่ด้านในขึ้นมาอีก “อาจารย์ เลิกใส่เกลือได้แล้ว นี่ๆๆ ใส่ไปกี่ช้อนแล้ว ใส่ซีอิ๊วแล้วดูเหมือนจะไม่ต้องใส่เกลือแล้วนะ”
ซุ่นจื่อด่าท่ามกลางควันโขมง “ไม่รีบเตือนเล่า ออกไปๆๆ เห็นเจ้าแล้วข้าโมโห เจ้าไม่จำเป็นแล้ว” น้ำตาบนใบหน้ายังเช็ดไม่แห้ง เอาพริกลงกระทะยิ่งฉุนมากกว่าเดิม อีกทั้งใช้มือนี้เช็ดเสร็จ น้ำตายิ่งทะลักกันอย่างเบิกบาน
อันที่จริงเรื่องพริก อย่าว่าแต่ซุ่นจื่อเลย ต่อให้เป็นซ่งฝูเซิงเองก็งง ทำไมพริกของเขาถึงได้เผ็ดขนาดนี้
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นพริกปกติทั่วไป ยังไม่ใช่แบบที่เผ็ดเป็นพิเศษ
ในพื้นที่พิเศษ พริกสีแดง พริกแห้ง เวลาทำปลาเอามาป่นใส่นิดหน่อย
ปรากฏว่าเผ็ดมาก
เดิมทีคิดว่าพริกเขียวที่ปลูกได้ ยามที่ยังไม่กลายเป็นสีแดงและไม่ตากแห้ง ไม่มีทางเผ็ดขนาดนั้น
ก่อนหน้านี้ซ่งฝูเซิงยังคิดอยู่ว่า ปลูกพริกเขียวอาจเอามาทำเป็นไส้เกี๊ยวแก้ขัดได้ แต่พอปลูกออกมาได้จริงๆ ถึงรู้ว่า เป็นไปไม่ได้ เอาไปใส่ไส้เกี๊ยวจะออกมาเป็นรสชาติไหน อย่างมากก็แค่เอาไปผัดกับข้าว
เสี่ยวเฉวียนจื่อพอได้ยินว่าไม่ต้องการเขาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อย่าอยู่ให้ถูกด่าอีกเลย อีกทั้งน้ำจิ้มพริกก็จะเสร็จแล้วด้วย เขาจึงหันตัวเดินออกไป
ทันใดนั้นซุ่นจื่อก็เรียกเขา “เดี๋ยวก่อน”
ตอนเสี่ยวเฉวียนจื่อหันหลังให้ซุ่นจื่อได้ขยิบต้าเบ้ปาก ทำสีหน้ารังเกียจ แต่พอหันกลับไปก็ราวกับเปลี่ยนหน้าได้ ยิ้มแย้มพลางพูด “อ้อ อาจารย์ ว่าไงขอรับ”
“หาเสื้อผ้าเก่าๆ ให้หน่อย พวกเจ้ามีเสื้อกันหนาวที่ไม่ใส่แล้ว เก็บเอามาให้ข้า ไปถามพวกที่เข้าเวรด้วย”
“เอ๊ะ อาจารย์จะเอาไปทำอะไร”
“ข้าจะเอาไปให้คน”
ซุ่นจื่อเห็นใจซ่งฝูกุ้ย
ตอนกินข้าวเขาถามซ่งฝูกุ้ยว่า เสื้อกันหนาวถูกหมาป่าข่วนขาดทำไมไม่เปลี่ยน
ซ่งฝูกุ้ยบอกว่าไม่มีให้เปลี่ยน
ซ่งฝูกุ้ยยังบอกอีกว่า
“แค่เสื้อที่ถูกข่วนขาดตัวนี้ยังต้องเอามาจากน้องฝูเซิง เล่นเอาน้องฝูเซิงไม่มีให้เปลี่ยนไปซัก…
…เสื้อกันหนาวที่ข้าใส่ก่อนหน้านี้ตกลงไปในเตา แขนข้างหนึ่งไหม้ไปครึ่ง…
…ต่อมาเข้าหมู่บ้านไปเก็บโถกระเบื้อง ลูกชายของหลี่เจิ้งจะต่อยข้าให้ได้ กระชากตัวข้าขึ้นมาจนคอเสื้อกับตรงหน้าอกขาดเข้าไปอีก เกือบเดินตัวเปลือยกลับบ้านมา”
ซุ่นจื่อฟังแล้วก็สงสาร ตบบ่าซ่งฝูกุ้ยพลางพูด “เฮ้อ เสื้อผ้าของท่านคงเก่ามากแล้ว ไม่อย่างนั้นทำไมแค่ถูกข่วนก็ขาดง่าย”
เรื่องเป็นแบบนี้ พอซุ่นจื่อกลับมาเลยอยากเก็บรวบรวมเสื้อกันหนาวเก่าๆ เสื้อกันหนาวของพวกเขาที่เป็นของบ่าวรับใช้ชายในจวนผู้สำเร็จราชการก็ดีพอสมควร เพื่อเอาไปให้พวกซ่งฝูเซิง
“ท่านปู่ เป็นอย่างไรบ้าง”
ทรมานท่านกั๋วกงจริงๆ อายุปูนนี้แล้วต้องมาถูกฝีมือของซุ่นจื่อทำแสบคอ ทั้งเค็มทั้งเผ็ด รีบดื่มน้ำชาโดยเร็ว
“ท่านปู่ ข้าอยากให้คนพวกนั้นปลูกเยอะหน่อย เตรียมไว้ให้กองทัพ”
ตอนที่ 309
เรื่องพริก
เล่นเอาท่านกั๋วกงกินจนแสบคอไปหมด ทั้งเค็มทั้งเผ็ด ไอไม่หยุด
เดิมทีอยากถามอะไรหลานชายหน่อย
อย่างเช่น เรื่องเมล็ดพันธุ์ที่คนพวกนั้นได้มาโดยบังเอิญ
ความบังเอิญนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
บนโลกนี้ ถึงแม้จะมีคำพูดหนึ่งที่ว่า ‘ไร้ความบังเอิญไม่ก่อเกิดเป็นหนังสือ[1]’ แต่ประสบการณ์ทั้งชีวิตบอกเขาว่า อันที่จริงมีไม่กี่คนที่ ‘บังเอิญ’ สุดท้ายความจริงจะเป็นข้อพิสูจน์ว่า มีความไม่ชอบมาพากลอยู่ใน ‘ความบังเอิญ’
อย่างเช่น เขาก็อยากถามว่า
หากพริกที่ว่านี้ช่วยราชวงศ์ได้จริงๆ สามารถช่วยต้านความหนาวได้ยามทหารทางเหนือออกศึก หลานชาย ทำไมเจ้าถึงไม่ให้พวกเขามอบเมล็ดพันธุ์มาแล้วเอาไปให้ทหารปลูก
ได้ ถ้าเจ้าบอกว่าตอนนี้ไม่ได้มีเมล็ดพันธุ์มากขนาดนั้น
ถ้าเช่นนั้นปีหน้า หลังจากที่ให้พวกเขาปลูกในรูปแบบที่เหมาะสมแล้วล่ะ วันหน้าก็น่าจะมีเมล็ดพันธุ์จำนวนมากให้เพาะปลูกในพื้นที่ใหญ่หรือเปล่า
แต่หมินหรุ่ย เหตุใดตอนที่เจ้าได้ยินข้อเสนอนี้กลับขมวดคิ้ว
เรื่องที่มีประโยชน์ต่อราชวงศ์ เหตุใดต้องขมวดคิ้วด้วย
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าหลานชายปกป้องคนพวกนั้นมาก อยากถามหลานชายเหลือเกินว่า พวกเขามีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นทำให้เจ้าสนใจอย่างนั้นหรือ
แต่สุดท้ายท่านกั๋วกงก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ประการแรก เพราะรู้สึกแสบคอ ตอนพูดยิ่งอยากไอ ในมือของเขาก็มีเอกสารของทางการที่ต้องดูด้วย
ประการสอง วันนี้หมินหรุ่ยกลับบ้านมาก็ช้ามากแล้ว วันนี้เป็นวันเทศกาล ยังไม่ได้ไปเยี่ยมจวนสกุลกวนบ้านท่านตา ทางนั้นกำลังรออยู่เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้หลังเลิกประชุมราชสำนัก ยังถามเขาอยู่ว่า ‘หมินหรุ่ยกลับมาหรือยัง’
พอลู่พั่นออกจากเรือน ท่านปู่ท่านย่าก็กลับเรือนของตัวเอง
ภายในห้องด้านใน บ่าวรับใช้ชายสี่คนได้ตระเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนหลังอาบน้ำไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เขารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปคาราวะที่เรือนของมารดา
ถือของขวัญที่มารดาเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ถามมารดาว่าต้องการไปด้วยกันหรือไม่ มารดาของเขาตอบ “ไม่ได้ ตอนเย็นที่บ้านมีงานเลี้ยง ท่านพ่อของเจ้าก็ไม่อยู่ แม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนท่านปู่ท่านย่า ฝากไปบอกด้วยว่า ไว้วันหลังแม่จะไปหา ลูกแม่ เจ้าเองก็รีบกลับมาด้วย”
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ลู่พั่นนั่งอยู่ในรถม้ารีบเดินทางไปยังบ้านท่านตา จวนกวน
จวนกวนส่งข่าวต่อกันไปด้วยความตื่นเต้นดีใจตั้งแต่ประตูรอง บ่าวรับใช้ต่างมีสีหน้ายินดี “คุณชายหมินหรุ่ยมาถึงแล้ว คุณชายหมินหรุ่ยมาถึงแล้ว”
ส่งข่าวต่อกันไปจนถึงด้านในจวน
…
วันนี้ลู่พั่นยุ่งจนกระทั่งฟ้ามืด กว่าจะได้กลับเรือนของตัวเอง
เดิมทีซุ่นจื่อคิดว่าคุณชายน่าจะพักผ่อนแล้ว หลายวันมานี้เดิมทีก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม แต่กลับนึกไม่ถึงว่าหลังจากลู่พั่นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจะไปที่ห้องหนังสือ
นั่งหน้าโต๊ะหนังสือ หยิบกระดาษพวกนั้นออกมา
ขีดๆ เขียนๆ คัดลอกแบบร่างของซ่งฝูหลิง
เติมส่วนที่เมื่อเช้าคุยกับซ่งฝูหลิงไว้
สองภาพนี้ ถึงแม้จะวาดได้ไม่เลว แต่ในสายตาของลู่พั่นดูไม่มีความเป็นมืออาชีพ เขาคิดว่าก็มีแค่เขาที่ดูแล้วเข้าใจ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ซุ่นจื่อแอบหาวอยู่ข้างๆ ง่วงเสียจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว
ในขณะที่ซุ่นจื่อเอามือปิดปาก ยังไม่ทันที่จะหาวเสร็จดี ทันใดนั้นลู่พั่นก็ลุกขึ้น
“คุณชายจะพักผ่อนแล้วหรือขอรับ”
ฮือๆๆ หลังจากนั้นไม่นานซุ่นจื่อก็แทบอยากร้องไห้
เห็นเพียงภายในห้องห้องหนึ่งของเรือนหลัง ตรงกลางห้องมีเตาขนาดใหญ่ ข้างเตามีกล่องลม[2] ซุ่นจื่อกำลังดึงกล่องลมอยู่
เปลวไฟในเตากำลังลุกโชน ในนั้นมีวัสดุที่ทำจากเหล็กกำลังถูกเผาจนเป็นสีแดง
ซุ่นจื่อดึงกล่องลมเหนื่อยจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ในใจก็บ่นลู่พั่นไม่หยุด
คุณชายของข้า คุณชายที่เปรียบเสมือนเทพเจ้าในใจของข้า
ห้องต่างๆ ของเรือนหลังคุณชายบ้านอื่นประกอบไปด้วย ห้องอนุลำดับหนึ่ง ห้องอนุลำดับสอง ห้องอนุลำดับสาม
แต่เรือนหลังของคุณชายข้ากลับเป็น ห้องอุปกรณ์ ห้องประกอบ ห้องหลอม ห้องดินระเบิด
คุณชายพวกนั้นดึกๆ ดื่นๆ มาเรือนหลังก็เพื่อมุดเข้าไปในผ้าห่มอุ่นๆ ไปห้องของหญิงงามสารพัด ทำเรื่องที่อุ่นกายคลายหนาว
แต่คุณชายของข้า ดึกๆ ดื่นๆ มาที่เรือนหลังเพื่อหลอมเหล็ก
เวลานี้ลู่พั่นเปลือยท่อนบน เหลือเพียงกางเกงท่อนล่าง
กล้ามเนื้อบนร่างกายแน่นเป็นมัดๆ สะท้อนเป็นสีทองแดงท่ามกลางเปลวเพลิง
เขากำลังยืนตีเหล็กอยู่หน้ากองเหล็ก
ทุบลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เหงื่อไหลดุจหยาดฝน
สิ่งที่เขาให้ความสนใจ เขาชอบที่จะลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่ทำสำเร็จก็จะเกิดความรู้สึกพึงพอใจอยู่เสมอ
อีกทั้งลู่พั่นคิดว่า มีเพียงการลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเกิดความแตกฉานได้ในระหว่างการทำ และช่วยให้จิตใจสงบคิดอะไรได้มากขึ้น
ทำโดยไม่หยุดพัก ซุ่นจื่อนอนพิงกำแพงน้ำลายยืดไปแล้ว ขณะที่กำลังนอนอ้าปากไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ลู่พั่นถึงได้เอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนร่างกายแล้วเรียกให้ซุ่นจื่อกลับเรือน
ชิ้นส่วนจากเหล็กที่ช่วยให้ยึดแน่นกว่าการเชื่อมด้วยหมุด ได้ถูกลู่พั่นทำออกมาได้แล้ว เขาเองก็ได้แนวความคิดมาจากแบบร่างสองรูปนั้นของซ่งฝูหลิง
ลู่พั่นนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำ แช่น้ำอย่างสบายใจพลางดูอะไหล่คล้ายน็อตที่เพิ่งทำขึ้นมาได้ เขามองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
มองไปมองมา ทันใดนั้นสมองก็ปรากฏภาพขณะพูดคุยกับซ่งฝูหลิงเมื่อเช้านี้
ปากไม่ใหญ่แต่กลับพูดเก่งเสียจริง
ดวงตาดึงดูดสายตาได้ตลอด
ตอนนั้นเขาอุ้มหมี่โซ่วจะออกไปแล้วนางก็ยังมองเขาอยู่
ตอนหัวเราะก็…
อืม เสียงหัวเราะเบามาก
ก็ไม่รู้ว่าตอนเขาไอมีอะไรน่าหัวเราะนัก
ลู่พั่นหยิบสบู่ขึ้นมาดม ไม่ใช่กลิ่นนี้
เขาแน่ใจว่าก็ไม่ใช่กลิ่นหอมที่พวกพี่สาวของเขาเอามาใส่ผมเหมือนกัน ไม่ใช่กลิ่นในเรือนท่านแม่ กลิ่นบนตัวสาวใช้พวกนั้นก็ตีกันยุ่งเหยิงไปหมด คนพวกนั้นใช้กลิ่นสะเปะสะปะ ฉุนเหลือเกิน
ลู่พั่นที่ไม่ชอบให้มีคนปรนนิบัติยามอาบน้ำมาตลอดเอาสบู่ถูตัว
หลังจากถูจนเกิดฟองทั่วตัวแล้วเขาก็ลองไปนอนแช่ในอ่างอีกรอบ จากนั้นก็เอา ‘น็อต’ ขึ้นมาดูใหม่ สมองคิดเรื่องอื่นไปแล้ว
อย่างเช่น ของสิ่งนี้สามารถเอาไปปรับปรุงใช้กับกระบอกปืนของเขาได้
…
“ไอ๊หยา วันนี้หนาวจนตัวแข็งได้เลยนะ” ท่านย่าหม่าเข้าไปในร้านพร้อมกับคนอื่นๆ
เป่าจูรีบวางผ้าขี้ริ้วเช็ดตู้ลงแล้วหยิบไม้กวาดเข้าไปหา ปัดกวาดหิมะให้พวกท่านย่าหม่า ปัดหิมะที่อยู่บนตัวรวมถึงที่เท้า
พื้นถูกเช็ดสะอาดเรียบร้อยแล้ว เล่นเอาท่านยายเถียนถึงกับพูดว่า “เด็กคนนี้นี่ รอข้ามาทำสิ ข้ารับผิดชอบงานนี้ เดี๋ยวมือก็หยาบหมดหรอก”
ต้าเต๋อจื่อกับพวกเสี่ยวเกาก็วุ่นกันอยู่ที่หลังร้าน
ต้าเต๋อจื่อให้อาหารวัวที่เทียมเกวียน เตรียมน้ำ
พวกสะใภ้ใหญ่เกาถูฮูพอใบหน้าที่เย็นเฉียบดีขึ้นก็ไปที่หลังร้านทยอยเอาถังนมกับขนมเค้กแต่ละชนิดเข้าร้าน
เป่าจูบอกว่า “เดิมทีข้าคิดว่าวันนี้ทุกคนก็อาจไม่มาแล้วเสียอีก ตื่นมาตอนเช้าเห็นข้างนอกหิมะตกหนักกว่าเดิม ข้าเป็นห่วงว่าหิมะจะปิดเส้นทาง พี่ชายข้าออกไปกวาดมาหลายรอบแล้ว แต่สักพักก็เดินเหยียบเป็นรอยได้ใหม่อีก”
ท่านย่าหม่าพูด “จะไม่มาได้อย่างไร เมื่อวานปิดร้าน เสียเวลาทำมาหากิน ทำเสียงานลูกค้าเก่าที่จองด้วยใช่ไหมล่ะ มีธุระครั้งสองครั้งยังพอแก้ตัวได้บ้าง แต่ถ้าไม่มาเพราะแค่หิมะตก อย่าเปิดร้านเลยจะดีกว่า”
ท่านยายเถียนก็พูดกับเป่าจูด้วย “กลุ่มอื่นๆ ของพวกเราออกเร็วกว่าพวกเราอีก พวกนางไม่มีเกวียน ใช้มือเข็นตลอด ทำพูดไป ตื่นขึ้นมาดูกลางดึก หิมะตกทำเอาสว่างทั้งคืน มองเห็นทางชัดกว่าตอนฟ้าใสเสียอีก”
ออกเดินทางกันตั้งแต่กลางดึก คุณพระช่วย
ก่อนหน้านี้ เป่าจูคิดเพียงว่าคนพวกนี้โชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับคุณหนูของพวกนาง ได้เจอเรื่องดีๆ ที่ใครก็ยากจะพบเจอ ไม่ต้องลำบากลำบนเรื่องอื่น แต่พอยิ่งได้สัมผัสกับคนพวกนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่ง่ายเลยจริงๆ อย่ามองแค่ว่าหาเงินได้เยอะ
สาวน้อยเอาใบสั่งของที่เมื่อวานร้านอีผิ่นเซวียนกับโรงน้ำชามาสั่งจอง ยื่นให้ท่านย่าหม่าพลางลองถาม “เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรกับพวกท่านกันแน่”
“เพราะอะไรน่ะเหรอ เดี๋ยวเอาของดีให้เจ้าดู”
ท่านย่าหม่ายื่นแขนออกมา เผยให้เห็นสร้อยข้อมือ “เขี้ยวหมาป่า สู้กับหมาป่ามา”
“อุ๊ก” เป่าจูเกือบอ้วกออกมา
“ดูเด็กคนนี้สิ ไม่รู้จักของดี เจ้ารู้ไหม หมาป่าหนึ่งตัวมีแค่สี่เขี้ยว ข้าคนเดียวใส่เขี้ยวของหมาป่าหนึ่งตัว”
สีหน้าของท่านย่าหม่าประมาณว่า ดูข้าสิ ดูดีมีระดับขึ้นมาเลยใช่ไหมล่ะ
——————————————
[1] สำนวน หมายถึง บังเอิญมาก
[2] กล่องที่อยู่ข้างเตาสำหรับดึงเพื่อให้เกิดลม ทำให้ไฟในเตาแรงขึ้น
Comments