ทะลุมิติทั้งครอบครัว 314 อิสระเหมือนอย่างในความฝัน

Now you are reading ทะลุมิติทั้งครอบครัว Chapter 314 อิสระเหมือนอย่างในความฝัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่สู้เก็บไว้เอง

คำพูดนี้เถ้าแก่สุยคิดว่าซ่งฝูเซิงพูดเพราะศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย

ถึงแม้น้องซ่งจะไม่ชอบพูดโม้ แต่ผู้ชายคนไหนบ้างที่อยู่ข้างนอกจะไม่เคยโม้เลย

ต้องทราบก่อนว่า เก้าผืนเป็นเงินไม่น้อยเลยนะ

แต่เมื่อเขาเดินตามซ่งฝูเซิงไปที่หน้าร้าน ‘ย่าหม่า’ เถ้าแก่สุย “…”

ร้านขนมเค้กแห่งความสุขของท่านย่าหม่า เขารู้จักจริงๆ

เถ้าแก่หวังร้านขายเครื่องหนังข้างกันมาซื้อขนมให้ลูกชาย พอกลับไปก็เล่าประหนึ่งเป็นเรื่องแปลก

ในอำเภอมีร้านขนมเปิดใหม่ บนป้ายร้านมีรูปคนด้วย

ขนมที่ขายก็แปลกประหลาด ไม่เคยเห็นมาก่อน แพงอยู่เหมือนกัน

ได้ยินว่าร้านที่อยู่เมืองถงเหยาเป็นสาขาย่อย ร้านใหญ่อยู่ที่ถนนกลางของเมืองเฟิ่งเทียน ถนนกลางเลยนะ เป็นร้านแบบมีสองชั้น

ท่านยายกัวหรี่ตามอง พอเห็นชัดว่าเป็นใครก็โบกผ้าขี้ริ้วสีขาวในมือ “ไอ๊หยา ฝูเซิงมาได้ยังไง ที่บ้านเกิดอะไรขึ้น”

“ไม่ได้เกิดเรื่องอะไร”

ซ่งฝูเซิงชี้ท่านยายกัวพลางพูดแนะนำ “นี่คือป้าใหญ่ของข้า”

เถ้าแก่สุยรีบทักทาย “ท่านป้า ไอ๊หยา ร้านนี้ท่านเปิดเองเลยรึ เก่งมาก ข้าเคยได้ยินอยู่ เพียงแต่อยู่ในอำเภอข้ากลับไม่รู้ ดูเจ้าซิ ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้นะ คงมาตั้งแต่วันเปิดร้านแล้ว”

ท่านยายกัวสั่งให้ท่านยายฉีไปรินน้ำมา ใส่ผ้าโพกศีรษะ ยิ้มจนเห็นรอยเหี่ยวย่นพลางพูด

“เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้เปิดเองหรอก ฝูเซิงของเราเป็นคนเปิด พวกเราก็แค่เป็น…” อายุเยอะแล้ว ลืมคำนั้นเสียสนิท

นางเรียนคำใหม่มา แต่กลับเรียนปุ๊บลืมปั๊บ

ยายฉียกน้ำมาพลางพูดเสริม “พวกเราเป็นลูกจ้างน่ะ”

“ใช่ พวกเราเป็นลูกจ้างของฝูเซิง”

เถ้าแก่สุยเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ชี้ซ่งฝูเซิง

ซ่งฝูเซิงยิ้ม “ทำไมถึงกลายเป็นลูกจ้างข้าล่ะ ท่านแม่ข้าเป็นคนเปิดร้านต่างหาก”

“เมืองเฟิ่งเทียน ถนนกลาง ร้านแบบสองชั้น แม่เจ้าเป็นคนเปิดเองอย่างนั้นรึ”

ซ่งฝูเซิงพยักหน้า “ใช่ แต่ร่วมมือกับคนอื่น”

ในสายตาของเถ้าแก่สุย ไม่ต้องพูดเรื่องร่วมมือหรือไม่ร่วมมือ เขารู้เพียงว่าซ่งฝูเซิงสุดยอดมาก

เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน อีกทั้งยังเป็นคนบ้านนอก

คนบ้านนอก อย่าว่าแต่เปิดร้านเลย แค่เข้าเมืองไปขายแรงงานก็ยังหางานยาก

ก่อนหน้านี้ยังวุ่นอยู่กับการซื้อผักไปเก็บหน้าหนาว ตอนนี้กลับเปิดร้านแล้ว เปิดทีก็หลายร้านด้วย

เถ้าแก่สุยตะลึงอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็ส่ายหน้า ยิ้มอย่างจนปัญญาพลางพูด “น้องชาย หากเจ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีก มีแต่จะทำให้พี่ชายคนนี้รู้สึกว่า ชีวิตหลายสิบปีของข้าที่ผ่านมามันช่างสูญเปล่า”

ซ่งฝูเซิงตอบอย่างถ่อมตัวสุดๆ “นั่งๆๆ ก็แค่ดวงดีเท่านั้นแหละ”

หันไปพูดกับท่านยายกัว “นี่คือพี่สุย ทำไมถึงให้พวกท่านรู้จักกันไว้น่ะหรือ วันหลังพอพี่สุยเก็บร้าน หนังสัตว์ที่ราคาแพงเก็บไว้ในกระท่อมร้านของเขาก็ไม่วางใจ เก็บที่อื่นก็ต้องเสียเงิน เลยจะให้เอามาไว้ที่ร้านของพวกเรา เป็นที่เก็บที่เหมาะหน่อย ไว้ค่อยมาเอาไป”

เถ้าแก่สุยบอกว่า รบกวนด้วย จากนั้นก็พูดขึ้น “ท่านป้า ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เก่งอะไร แต่ถ้าในร้านมีเรื่องเดือดร้อน ท่านก็ไปหาข้าที่ถนนเส้นสองตรงแถบกระท่อมร้านค้าได้เลยนะ ยังไงพวกเราก็รู้จักกัน”

ท่านยายกัวบอก รู้จักกัน ถูกต้อง อย่างไรเสียพวกนางก็มากันแต่เช้า ไม่ต้องกลัวว่าพวกนางจะยังไม่เปิดร้าน มาเอาได้ตลอดเวลา

ซ่งฝูเซิงแนะนำให้รู้จักอย่างคร่าวๆ อะไรที่ควรบอกก็บอกไปแล้ว เถ้าแก่สุยเองก็รีบร้อนกลับไป เขาเองก็จะไปด้วย

ท่านยายกัวกับท่านยายฉียังไม่อยากให้หลานชายกลับ

คิดในใจ รอพวกเราเดี๋ยวสิ เจ้าจะได้เข็นรถกลับ พวกเราก็ไม่ต้องเข็นแล้ว

ซ่งฝูเซิง ฝันไปเถอะทั้งคู่

“ฝูเซิง เจ้ากลับตอนนี้ก็ไม่มีรถแล้ว ยังไงก็ต้องเดินกลับ รอไปพร้อมพวกเราเถอะ” ท่านยายกัวโบกผ้าขี้ริ้วพลางพูดหว่านล้อมอีกครั้ง

ซ่งฝูเซิงเดินออกอย่างไม่ลังเล เลี้ยวเข้าไปในร้านช่างเหล็ก

เดินกลับรึ เดินกลับก็ยังแบ่งอีกว่าเดินอย่างไร

ณ ทางออกเมืองถงเหยา ซ่งฝูเซิงใส่รองเท้าสเก็ตไว้ที่เท้า

ทหารเฝ้าประตูเมืองชะโงกหน้าออกมาดู ทั้งยังได้สะกิดเพื่อนที่อยู่ข้างๆ “ดูคนนั้นสิ”

สองมือของซ่งฝูเซิงถือไม้เท้า ออกแรงนิดหน่อย ปักไม้เท้าปลายแหลมลงไปในหิมะ เท้าก็ลื่นไปได้แล้ว เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งไปไกลหลายเมตร

ตรงทางออกประตูเมือง คนเริ่มมามุงดูกันเยอะขึ้น สามคน ห้าคน เจ็ดคน

บางคนถึงกับมองด้วยความแปลกใจ มองจนกระทั่งซ่งฝูเซิงลับตาไป

รองเท้าสเก็ตเป็นของเล่นสมัยเด็กของซ่งฝูเซิง

เด็กผู้ชายทางเหนือในยุคเจ็ดศูนย์แปดศูนย์ ส่วนมากจะเคยเล่นของสิ่งนี้

แข่งขัน วิ่งไล่ ก่อกวน

ต่อมาพอเขาโตมีครอบครัว กลายเป็นพ่อคนแล้ว ลูกสาวเขาก็เล่นสกีเป็น ซ่งฝูเซิงเคยเห็นกระดานสกีลูกสาว และก็เคยเห็นลูกสาวเล่นสเก็ต แต่ทุกครั้งที่เขามองดูจะรู้สึกว่าเด็กยุคเดียวกับลูกสาวของเขาออกจะขาดความสนุกอยู่บ้างเมื่อเทียบกับยุคสมัยของพวกเขา

ถึงแม้สมัยพวกเขาเด็กๆ อุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ จะแย่มาก

แต่ความสุขสมัยพ่อเป็นเด็กเจ้าคงจินตนาการไม่ออก

วันนี้เลือดในกายซ่งฝูเซิงพลุ่งพล่าน ทันใดนั้นก็อยากเข้าไปไถเล่นในป่าสักครั้ง

ไม่ได้อยู่ในสนามสกีที่มีระยะห่างจำกัด บนถนนก็ไม่มีรถยนต์ที่วิ่งเร็วมาก ถึงขนาดที่บนถนนไม่มีคนด้วยซ้ำ

มีเพียงท้องฟ้า พื้นดิน เขา ขอทำอะไรบ้าดูสักครั้ง

ซ่งฝูเซิงวิ่งเพิ่มความเร็ว ทันใดนั้นได้ยกไม้เท้าขึ้น ปล่อยให้เท้าลื่นไปข้างหน้าอย่างอิสระ

“แฮ่…แฮ่…” เลียนแบบเสียงหมาป่าร้อง

หิมะที่อยู่บนต้นไม้ข้างถนน สั่นสะเทือนหล่นลงมาจากกิ่งไม้ราวกับตกใจเขา

“แฮ่…แฮ่…”

ลื่นไถลไปแบบนี้ตลอดทาง วิ่งจนเหงื่อแตก ทันใดนั้นซ่งฝูเซิงก็เห็นรถม้าปรากฏขึ้นบนถนนที่ว่างเปล่าข้างหน้า

ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าตอนนั้นเลยจริงๆ เกือบแซงรถได้เลยนะ

ซ่งฝูเซิงเดาว่า รถม้าที่จอดอยู่ข้างหน้าน่าจะมีคนปวดฉี่

คนโบราณเวลาออกไปข้างนอก หากปวดเบาปวดหนัก ส่วนมากจะมีกระโถนไว้จัดการในรถ

ซ่งฝูเซิงจงใจลดความเร็วลง ไถไปข้างหน้าอย่างลับๆ ล่อๆ

ไถไปตรงด้านหลังรถม้า

เขาได้ยินเสียงคนคุมรถม้าถาม “นายท่าน เสร็จหรือยังขอรับ”

“ได้แล้ว ไปเถอะ”

จากนั้นคนคุมรถม้าก็หวดแส้ “ไป”

รถม้าเคลื่อนออกไปแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าที่ด้านหลังรถมีคนเกาะอยู่

ซ่งฝูเซิงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังรถม้า ปล่อยให้รถม้าลากตัวเขาไป

คราวนี้สบายแล้ว ไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด

เขาเกาะรถม้าคนอื่นไปอยู่สักพัก

แต่ที่น่าเสียดายคือ รถม้าเลี้ยวแล้ว ถ้าไปหมู่บ้านเขาคงดี จะได้พาเขาเข้าหมู่บ้าน

ตอนไปถึงทางลงเนินที่ใหญ่มาก

ซ่งฝูเซิงยกไม้เท้าขึ้นแล้วลื่นลงไปด้วยความเร็วที่มากทีเดียว

เขากางสองแขนออกพลางร้องเพลง

“ฉันต้องการอิสระเหมือนอย่างในความฝัน ใจกว้างดั่งผืนปฐพี

บนเส้นทางที่แสนลำบากยากเข็ญ จุดประกายให้กับชีวิต

ฉันต้องการอิสระเหมือนอย่างในความฝัน แข็งแกร่งดุจนภา

บนเส้นทางที่คดเคี้ยวนี้ เปิดประสบการณ์ให้…เอ๋? เอ๊ะๆๆ”

เบิกตาโพลงพุ่งลงไปข้างล่าง เกิดเสียง ‘โครม’

ซ่งฝูเซิงกลิ้งไปหลายตลบ สงสารตัวเองจับใจ ถอนหายใจยาว ไอ๊หยา สะโพกฉัน

มองไปรอบตัว ไม่มีใครเห็นภาพตอนเขาขายหน้า รอบตัวว่างเปล่า

เขาลุกขึ้นปัดหิมะบนตัว ลูบศีรษะ ผมยุ่งหมด

เอารองเท้าสเก็ตยัดเข้าห่อผ้า ผูกห่อผ้าไว้ที่หน้าอก สองมือถือไม้เท้าสเก็ต ทำเป็นไม้เท้าพยุงเดิน จากนั้นถึงเดินไปทางหมู่บ้านเหรินจยาอย่างทุลักทุเล

พอเข้าหมู่บ้าน ซ่งฝูเซิงก็ตรงไปที่บ้านหัวหน้าตระกูลเริ่น

คิดในใจ

พวกท่านเกลียดหมาป่ากันนักไม่ใช่หรือ คณะปราบหมาป่าจะมากันแล้ว พวกท่านไม่แสดงออกกันหน่อยรึ

หัวหน้าตระกูลเริ่น ท่านจะได้เป็นหลี่เจิ้งแล้ว รู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนเสนอชื่อท่าน

เขาไม่มีทางเป็นคนดีโดยไม่หวังอะไรหรอกนะ

เขาไม่อยากใจกว้างดั่งผืนปฐพีหรือแข็งแกร่งดุจนภา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด