ทะลุมิติทั้งครอบครัว 268-2 นี่ข้าเอง / 269 เจ้าเป็นคนเขียนจดหมายนี่รึ
ตอนที่ 268-2 นี่ข้าเอง
จากนั้นก็โยนผ้าในมือที่ใช้มัดฝาเข่ง ดึงตัวน้องชายเข้ามา “ท่านแม่ เอาหวีไม้ให้ข้า ข้าจะหวีผมให้เขา”
ซ่งฝูหลิงจะหวีผมทรงอะไรให้เฉียนหมี่โซ่วกันนะ
“ทรงมังกรน้อย”
บนศีรษะมีเขาเล็กๆ สองเขา
“ไอ๊หยา ท่านพ่อ ท่านแม่ ดูสิ สนุกจริงๆ ไว้วันหลังท่านแม่ทำหางเล็กๆ ติดกางเกงให้เขาด้วยสิ”
น่าสนุก ไม่สิ ดูดี เหมือนเด็กผู้หญิงที่หน้าตาจิ้มลิ้ม
ซ่งฝูเซิงยืนอยู่ตรงประตูห้อง ยิ้มพลางมองเฉียนเพ่ยอิงพาเฉียนหมี่โซ่วเดินลงไป โดยเฉพาะตอนที่สายตามองเฉียนหมี่โซ่ว ถึงกับหัวเราะออกมาพลางเอ่ย “เจ้าเด็กคนนี้ยังรู้จักใส่เสื้อที่เขาหวงที่สุดออกมาด้วยนะ”
ใช่ หมี่โซ่วชอบเสื้อกันหนาวตัวนี้มากเป็นพิเศษ
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ผ้าทอชั้นดี แต่ในสายตาของหมี่โซ่ว เขาคิดว่าตัวเองได้สวมใส่เสื้อผ้าที่ดีกว่าเด็กคนอื่น
และประสิทธิภาพก็ดีมากจริงๆ
พอฟ้าสว่างแล้วผู้คนก็เต็มท้องถนน มีผู้ใหญ่หลายคนที่พาเด็กออกมาข้างนอก สายตาที่มองมายังหมี่โซ่ว หลักๆ คือการแต่งตัวแบบนั้น จะว่าไปก็ดูประหลาดนัก แต่ก็ดูน่ารักชวนมองมากจริงๆ อีกทั้งยังสะดวก เหมาะกับเด็กน้อยที่ชอบกระโดดโลดเต้น
หมี่โซ่วใส่อะไรน่ะหรือ
อันที่จริงก็แค่ชุดเล่นสกีแบบยุคสมัยปัจจุบัน
ข้างในบรรจุฝ้าย สีครามแบบท้องฟ้า
ผ้าฝ้ายแท้สีครามนี้ เฉียนเพ่ยอิงทำมาจากผ้าปูเตียงที่อยู่ในพื้นที่พิเศษ
ปลายกางเกงผ้าฝ้ายเฉียนเพ่ยอิงเอาเชือกร้อยไว้ เวลาถอดก็แค่คลายเชือกออก เวลาใส่เสร็จก็เอาเชือกมัดตรงนั้นไว้ ลมจะได้ไม่เข้าไปในกางเกง จากนั้นก็ใส่รองเท้าบู๊ทหนังกวางทับ แบบนี้ก็จะยิ่งอุ่นขึ้นมิใช่หรือ
เสื้อกันหนาวที่สวมทับด้านบนก็เป็นแบบเดียวกับเสื้อขนเป็ด มีหมวกแบบสมัยใหม่
ชุดนี้เฉียนเพ่ยอิงลงแรงไปมาก ฝีมือเย็บปักของนางไม่ดี เย็บแค่นี้ต้องทำถึงขั้นแอบขโมยวิชาของผู้หญิงคนอื่นเวลาเย็บผ้าว่าทำอย่างไร พอทำเสร็จก็กลายเป็นของรักของหวงของหมี่โซ่ว มีหรือจะให้เอามาใส่ตอนอยู่บ้าน เด็กคนนี้ก็เสียดายไม่กล้าเอามาใส่เหมือนกัน บอกว่าจะรอช่วงปีใหม่ มิฉะนั้นท่านป้ายังต้องทำให้เขาอีก มันเหนื่อย
นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะใส่ออกมา
วันนี้ไม่เพียงแต่เฉียนหมี่โซ่วจะใส่เสื้อกันหนาวกับกางเกงที่มีความสมัยใหม่มากๆ เขายังเอาผ้าปิดปากออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นจะพูดหรือว่าเด็กคนนี้ไม่ได้โง่เลยสักนิด
ผ้าปิดปากก็มีความแปลก
ไม่ได้จงใจแปลก เพราะสมัยก่อนใช้ได้แค่ดอกฝ้ายกับผ้าฝ้ายเอามาทำผ้าปิดปาก ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีตัวเลือกเยอะ แต่เอาดอกฝ้ายมาทำมันก็จะกลิ้งไปมาอยู่ในนั้นได้เวลาใช้ไปเรื่อยๆ อีกทั้งไม่มีจักรเย็บผ้าให้เย็บติดกัน
เฉียนเพ่ยอิงจึงให้ซ่งฝูเซิงเขียนอักษร ‘เฉียน’ ‘หมี่’ ‘โซ่ว’ แบบโบราณ สุดท้ายก็เลือกอักษร ‘หมี่’ เพราะอักษร ‘เฉียน’ กับ ‘โซ่ว’ มีจำนวนขีดเยอะเหมือนกับอักษรแบบปัจจุบัน
จากนั้นก็ใช้ด้ายสีปักอักษรหมี่ลงบนผ้าปิดปาก
ทั้งจำง่าย ดอกฝ้ายก็ไม่เคลื่อนไปมาอยู่ข้างในด้วย
เอาแค่ภาพลักษณ์ของหมี่โซ่วในเวลานี้ที่เดินอยู่บนถนน ใส่หน้ากากที่ปักอักษร ‘หมี่’ อยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีครามทั้งตัว เท้าใส่รองเท้าบู๊ท ทั้งยังดึงมือเฉียนเพ่ยอิงอย่างร่าเริงเพื่อให้ร้องเพลงเข้าคู่กับเขา “ท่านกลับสะบัดแขนเสื้อพูดกับข้ารึ”
เฉียนเพ่ยอิงรู้ว่านี่เป็นเพลงของจอมยุทธ์เส้าหลิน หมี่โซ่วเรียนรู้มาจากพี่สาว ต้องการให้นางเล่นเป็นอาจารย์ นางจำต้องพูดอย่างจนปัญญา
“รีบไปฝึกได้แล้ว”
“ได้เลยขอรับ จอมยุทธ์ฝึกฝนสิบปีเพื่ออยู่ในสนามต่อสู้ไม่กี่นาที ความลำบากความเหงาใครเล่าจะเข้าใจ หวดหมัดทะลวงไปในสายลม…”
เขายังทำท่าประกอบอีกด้วย เหวี่ยงหมัดน้อยๆ ของตัวเอง
ลู่พั่นขี่ม้าผ่านมา อยากจะไม่สนใจยังยาก
ถนนหนทางแบบโบราณ อีกทั้งข้างทางยังมีหิมะขาวโพลน
เด็กน้อยที่อยู่ในชุดสีครามทั้งตัว หันหน้าฟึ่บฟั่บ เหวี่ยงหมัดเป็นท่วงท่า ดูเหมือนปากก็พึมพำบางอย่างไปด้วยอย่างฮึกเหิม ใต้ดวงตาที่มีชีวิตชีวาคู่นั้นมีอักษรหมี่ปรากฏอยู่บนผ้าที่ปกปิดใบหน้า
ลู่พั่นส่งสัญญาณให้คนจูงม้าลดความเร็วลง
เสียงฝีเท้าม้ากับๆ ดูเหมือนจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ย้า!” ทันใดนั้นหมี่โซ่วก็หยุดเท้า ดวงตามีทั้งความตกใจ หวาดกลัว จากนั้นก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบดึงถุงมือออก มือน้อยๆ ชี้ไปทางลู่พั่นพลางตะโกนตามสัญชาตญาณ “พี่แม่ทัพเล็ก”
เคยบอกไปแล้วว่าไม่ใช่พี่แม่ทัพเล็ก ก็ยังคงจะเรียกแบบนั้นอีก
ผ้าปิดปากช่างเกะกะเหลือเกิน หมี่โซ่วดึงผ้าปิดปากออกอีกชิ้น กลัวว่าพี่ชายจะจำไม่ได้แล้วจากไป เผยให้เห็นใบหน้าขาวใส เขายื่นมือน้อยๆ ออกไป “พี่แม่ทัพเล็ก ข้าเอง ข้าเอง ข้าเฉียนหมี่โซ่วไง”
จำได้แล้ว ลู่พั่นพูดในใจ
เขานั่งอยู่บนม้าตัวสูงใหญ่ พยักหน้าให้เฉียนหมี่โซ่วท่ามกลางสายตาตกใจของบรรดาบ่าวรับใช้ จากนั้นถึงได้บอกให้คนจูงม้าคลายเชือก แตะท้องม้าเบาๆ แล้วออกไปจากตรงนั้น
“ท่านป้าๆ พี่แม่ทัพเล็กจำข้าได้ด้วย”
“ใช่จ้ะ ดีใจไหม ป้าเห็นแล้วเหมือนกัน เขาพยักหน้าให้เจ้าด้วยนะ ไม่ได้พยักหน้าให้ป้า”
“เขาไม่รู้จักท่านป้า ถ้ารู้จักก็คงพยักหน้าให้ท่านป้าด้วย พี่แม่ทัพเล็กเป็นคนดีมาก” จากนั้นก็เหมือนวิญญาณเด็กเจื้อยแจ้วเข้าสิง พูดกับเฉียนเพ่ยอิงตลอดทาง ตื่นเต้นมากกับการที่ลู่พั่นพยักหน้าให้เขา
เมื่อไปถึงหน้าร้านขายขนมเขายังพูดอีกว่า “แย่แล้ว ทำไมข้าไม่เรียกเขาไว้นะ น่าจะเอาขนมเค้กให้พี่เขาก้อนหนึ่ง”
เฉียนเพ่ยอิงไม่สนใจ นางหันไปกลั้นหัวเราะ ยังจะให้ขนมเค้กด้วย เจ้านี่ช่างใจกว้างเหลือเกิน วันนี้พี่สาวกับท่านลุงของเจ้ายังจะไม่พอให้คนที่จ่ายเงินจองไว้เลยด้วยซ้ำ
“เอาขนมซูถัง[1]ห้าจิน[2]จ้ะ” เฉียนเพ่ยอิงพูดกับคนขาย
นางคิดว่าซื้อขนมเยอะหน่อยจะได้เอากลับไปแจกพวกเด็กๆ พวกนางเอานมมาหาเงิน แต่กลับทำให้เด็กๆ ไม่ได้กินนม ซื้อขนมไปให้เด็กๆ กินเล่นบ้าง
“ท่านป้า ท่านว่าพี่แม่ทัพเล็กเคยกินขนมเค้กหรือไม่”
พอได้แล้ว ยังจะคิดถึงเขาอยู่อีก
ณ จวนกั๋วกง
วันนี้ซุ่นจื่อไม่ได้ตามลู่พั่นออกไปด้วย เป็นเสี่ยวเฉวียนจื่อที่ติดตามไป
พอลู่พั่นเข้าไปในห้องโถงก็หน้านิ่ว ชี้ไปยังขนมเค้กสิบหกนิ้วที่เต็มไปด้วยมวลบุปผาที่วางอยู่บนโต๊ะ นี่มันก้อนอะไรกัน
ตอนที่ 269 เจ้าเป็นคนเขียนจดหมายนี่รึ
แย่แล้วๆ
ซุ่นจื่อรีบรุดไปยังห้องโถง
เหตุใดคุณชายถึงกลับมาเร็ว เขายังไม่ได้จัดเก็บให้เรียบร้อย ยังไม่ได้จัดวางให้เข้าที่เลยนะ
ต้องทราบก่อนว่าคุณชายของบ้านเขาเป็นคนที่มีระเบียบ สถานที่กินข้าวก็คือเอาไว้กินข้าว ยามป่วยก็ยังต้องพาตัวเองในสภาพป่วยไปกินข้าวที่ห้องอาหาร
ยามกินของว่างก็ต้องกินตอนที่ถึงเวลากินของว่าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากินตอนยามเหม่า[3]ก็จะไม่มีทางไปกินตอนยามเฉิน[4]อย่างเด็ดขาด ห้ามเปลี่ยนแปลงส่งเดช
สรุปว่าดูเหมือนเขาจะซวยเข้าแล้ว
แต่เมื่อครู่เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แค่เปิดดูของว่างออกมาชื่นชมเล็กน้อยก็ถูกเหล่าฮูหยินเรียกไปถามบางอย่าง ทำให้เสียเวลาไป
“คุณชาย”
ลู่พั่นชี้ ‘มวลบุปผา’ ความหมายชัดเจนแจ่มแจ้ง มาจากไหน ก้อนอะไร ใครให้เจ้านำมาวางตรงนี้
ซุ่นจื่อรีบเข้าไปชิงตอบก่อนที่ลู่พั่นจะสั่ง “ไปรับโทษโบยสิบที”
“คุณชายขอรับคุณชาย คุณหนูสามสั่งให้คนนำมาให้ สิ่งนี้เรียกว่าขนมเค้ก ขนมขอรับ กินแล้วจะมีความสุข คุณชายฟังแล้วรู้สึกไพเราะไหมขอรับ ส่งมาแค่สามก้อนให้เหล่าฮูหยิน ฮูหยิน และคุณชายขอรับ อีกทั้งเมื่อครู่บ่าวไปที่เหล่าฮูหยิน ฮูหยินก็อยู่ด้วย บ่าวเห็นขนมเค้กของเหล่าฮูหยินกับฮูหยิน ของเหล่าฮูหยินเป็นรูปท้อมงคล สวยงามมากขอรับ ของฮูหยินเป็นเส้นหลากสี ถึงแม้จะดูงดงามไม่แพ้กัน แต่บ่าวก็ยังรู้สึกว่าขนมของคุณชายโดดเด่นชวนมองมากที่สุดขอรับ คุณชายดูสิขอรับ ดอกไม้มากมายเพียงนี้ เบ่งบานสะพรั่ง”
ลู่พั่น เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรอยู่
ซุ่นจื่อ ไม่รู้ล่ะ ขอแค่ไม่โดนโบย เขาสามารถพูดเหลวไหลได้ทั้งวัน
ซุ่นจื่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่เดินขึ้นหน้า บากหน้าพูดต่อไป
“วันนี้คุณหนูสามมีตรวจบัญชีร้านที่ได้ตอนออกเรือน มีธุระจึงกลับมาไม่ได้
คุณหนูสามเองก็คิดถึงบ้านมาก จึงส่งขนมเค้กที่ช่วงนี้กำลังเป็นที่นิยมมาให้ สินค้าใหม่ของร้านอีผิ่นเซวียนขอรับ
ของคุณชายได้ยินว่าเป็นแบบที่คุณหนูสามชอบที่สุด นางจึงส่งมาให้คุณชาย หวังว่าคุณชายจะกินให้มากๆ ขอรับ
ขนมเค้กนี้กินได้ตั้งแต่ดอกไม้จนถึงข้างล่าง คุณชายลองชิมดูนะขอรับ บ่าวจะไปเรียกมู่จิ่นมาตัด คุณชาย?”
“อีผิ่นเซวียนรับพ่อครัวขนมเข้ามาใหม่รึ” ลู่พั่นตวัดมือให้เสี่ยวเฉวียนจื่อออกไป ไม่ต้องอยู่รับใช้ เขาถอดเสื้อตัวนอกออกเอง
“หืม?” ซุ่นจื่อกลอกตาครุ่นคิดแล้วตอบ “ไม่ได้ยินมานะขอรับ ดูเหมือนจะไม่ใช่”
ถ้าเช่นนั้นก็เป็นการได้ชิมของใหม่
เกรงว่าจะเป็น ‘สินค้าใหม่’ ที่ร้านอีผิ่นเซวียนรับมาขายอีกแล้ว
สินค้าใหม่แบบนี้ก็กล้านำมาขายส่งเดช
คนหนึ่งกล้าขาย อีกคนก็กล้าซื้อ
พี่สามของเขาก็ไม่คิดดูเสียบ้างว่า คนทำขนมอาศัยอยู่ที่ใด เป็นคนที่ไหน คนทำขนมมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง ยังจะกล้าซื้อของกินที่ใครก็ไม่รู้ทำกลับมา อีกทั้งยังกล้าส่งมาให้ท่านปู่ท่านย่าท่านพ่อท่านแม่กิน
แล้วยัง…
เขากวาดตาสำรวจ ‘กล่อง’ ใส่ขนมเค้กที่ซุ่นจื่อยังไม่ทันได้เก็บไป
ลู่พั่นแสยะยิ้ม หยิบฝาชะลอมขึ้นมา “ใช้สิ่งนี้ใส่มา ยังจะบอกว่าเป็นที่สุดของเมืองอีกรึ” ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนไป
ปฏิกิริยาแรกหลังจากเห็นจดหมายที่ติดอยู่บนฝาชะลอม ลู่พั่นก็คิดไปในทางไม่ดีแล้ว
คิดว่าคนผู้นี้มีจุดประสงค์แอบแฝง ต้องการส่งจดหมายฉบับนี้ผ่านทาง ‘สินค้าใหม่’ ที่ว่านี้
ถึงขนาดที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่จดหมายฉบับนี้มาจากอ๋องคนอื่นๆ ที่ใช้ให้คนเอามาส่ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋องคนไหน
จากการวิเคราะห์นิสัยพี่สามของเขา ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ชอบของแปลกใหม่ทุกอย่าง พี่เขยก็ดีต่อนางมากเหลือเกิน นอกจากนี้พี่สามยังมีนิสัยแบบคุณหนูที่ครอบครัวมีแต่ผู้หญิงมาตลอด ทำอะไรก็ยึดเอาความสนุกเป็นหลัก อีกทั้งในใจให้ครอบครัวตัวเองเป็นที่หนึ่ง ครอบครัวสามีเป็นที่สอง ซื้ออะไรใหม่ๆ ก็ต้องส่งมาให้ทางบ้านของตัวเอง
จากนั้นคนผู้นั้นก็วางแผนเช่นนี้เพื่อส่งจดหมายมาที่จวนกั๋วกง
หากเป็นเช่นนี้จริง เมืองเฟิ่งเทียนไม่เท่ากับหละหลวม ใครก็ปะปนเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ
ลู่พั่นเปิดจดหมายออกขณะที่มีความคิดเช่นนี้
พอเห็นข้อความก็อยากเอ่ยชม พูดตามตรง ลายมือไม่เลว
ดูคำลงท้ายก่อน
ซุ่นจื่อก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ชะโงกหน้าเข้าไปอ่านด้วย หลักๆ คือกลัวจะมีเรื่องอะไร เพราะเขาเป็นคนนำขนมเค้กเข้ามาในจวน แต่พอได้อ่าน “เอ๊ะ ซ่งฝูเซิง”
ลู่พั่นเหลือบมองซุ่นจื่อด้วยสายตาสงสัย
“ชาวบ้านตกยากนั่นไงขอรับ ซ่งฝูเซิง นามรองจื่อเจิน พวกชาวบ้านมักเรียกกันแต่ชื่อจริง คุณชายลองอ่านดูว่าในจดหมายมีพูดถึงหมู่บ้านเหรินจยาหรือไม่”
อืม เริ่มต้นซ่งฝูหลิงแนะนำตัวเองก่อน นางเป็นคนทำขนมเค้ก ไม่ใช่พ่อครัวขนมของโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียน แต่มาจากหมู่บ้านเหรินจยา
จากนั้นลู่พั่นก็มองส่วนท้ายของจดหมายอีกครั้ง บุตรสาวของซ่งฝูเซิง ซ่งฝูหลิง
ฝูหลิง?
นางเป็นคนเขียนจดหมายนี่รึ
………………………………………………………………..
[1] ขนมโบราณทำมากจากแป้งกับน้ำตาล รสชาติหวานๆ กรอบๆ
[2] หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม
[3] เหม่า คือ ช่วงเวลาประมาณตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า
[4] เฉิน คือ ช่วงเวลาประมาณเจ็ดโมงถึงเก้าโมง
Comments