ทะลุมิติทั้งครอบครัว 297 วันเปิดร้าน
บอกว่าซ่งฝูหลิงมาตรวจงานเป็นครั้งสุดท้าย ไม่สู้บอกว่านางมาเที่ยวเล่น
นางเองก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการเป็นงาน
ตอนนางขึ้นไปชั้นบน ดื่มน้ำชา นั่งพิงเก้าอี้ เขียนโน้ตดนตรีแล้วให้คนเอาไปให้นักดนตรี ท่านพ่อกับท่านย่าของนางกลับวุ่นจนหัวหมุน
ท่านย่าของนางกับเหล่าคนให้บริการ ทำความคุ้นเคยสภาพแวดล้อมพลางคิดแบบเดียวกัน กำชับเหมือนกัน
“โคมไฟเยอะเหลือเกิน ต้องคอยตรวจดูให้พร้อมอยู่เสมอ เดินผ่านก็ต้องคอยดู ทำให้ติดเป็นนิสัย…
…มาถึงร้านค่อยจุดไฟ ก่อนออกจากร้านก็ต้องเป่าให้ดับทั้งหมด พวกเจ้าต้องเตือนข้าด้วย”
“ห้องครัวนี้พวกเราห้ามใช้ ในนี้สำหรับแขกใช้ทั้งหมด…
…ตอนพวกเรากินข้าวเที่ยงให้ไปที่ด้านหลัง…
…หลังร้านมีห้องครัวสำหรับต้มน้ำ บ่อน้ำก็อยู่ตรงนั้น พวกเรากินที่นั่น จำไว้ว่าต้องผลัดกันกิน ภายในร้านขาดคนได้แค่คนเดียว”
“พี่เถียน”
“อืม ผู้จัดการ ว่ามาได้เลย”
ถูกต้อง หัวหน้าหม่าถูกเปลี่ยนเป็นผู้จัดการร้านแล้ว ท่านยายเถียนแม่ยาย ก็เปลี่ยนเป็นเรียว่าพี่เถียน
เพราะซ่งฝูหลิงบอกว่า อยู่ข้างนอกอย่าเรียกอะไรที่มันยุ่งยาก
ถึงแม้สมัยโบราณจะชอบเรียกว่า สกุลซ่ง สกุลเถียน สกุลสามี แต่พวกเราที่อยู่ที่นี่ไม่ต้อง และก็ยิ่งไม่ต้องเรียกว่าแม่ยายต่อหน้าคนนอก จะดูไม่มีระเบียบ เหมือนตีสนิท
ท่นยายเถียนกลายเป็นพี่เถียน
สะใภ้ใหญ่เกาถูฟู ให้เรียกว่าเสี่ยวเกา ภรรยาซ่งฝูกุ้ย ให้เรียกว่าเสี่ยวซ่ง สะใภ้เล็กยายหวัง ให้เรียกว่าเสี่ยวหวัง
ทั้งมีแซ่ของสามี ไม่แสดงความไม่เคารพ ทั้งยังเรียกง่ายอีกด้วย
ส่วนท่านย่าหม่าพอกลับไปที่พวกเขา ดูแลทั้งสี่ร้าน ก็ยังคงเป็นหัวหน้า แต่พออยู่ในร้านก็จะต้องเปลี่ยนไปเรียกผู้จัดการร้าน ห้ามเรียกว่าเถ้าแก่อะไรแบบนั้น
“พี่เถียน เวลาหิ้วน้ำเติมน้ำ ต้องระวังให้ดีด้วย หลังจากเติมน้ำเสร็จก็ต้องเอาผ้าเช็ดพื้น ห้ามให้มีคราบน้ำ พื้นที่เหยียบอยู่นี่ลงขี้ผึ้งทั้งนั้น เดี๋ยวลูกค้าลื่นเข้า มันจะไม่งาม”
“ได้ ผู้จัดการ ข้าเข้าใจแล้ว”
“ยังมีอีก พวกผ้าเช็ดพื้นของเจ้าน่ะ ต้องทำให้สะอาด อย่าคิดว่าเช็ดพื้นใช้ผ้าสกปรกก็ได้ไม่เป็นไร ใครเดินผ่านไปผ่านมาเห็นในมือของเจ้ามีผ้าดำปิ๊ดปี๋ จะรู้สึกสะอิดสะเอียน และก็ฉีดผ้าให้หอมๆ ก่อนเช็ดพื้นด้วย ประเดี๋ยวจะมีกลิ่นคาวเหม็นๆ ติดที่พื้น”
“ทราบแล้วผู้จัดการ”
เป็นแบบนี้ เมื่อท่านย่าหม่าเห็นอะไรก็กำชับอันนั้น
เรื่องใหญ่ๆ ก็จะเป็นเช่นว่าจะกันขโมย กันไฟไหม้อย่างไร เรื่องเล็กก็เช่นอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า เสี่ยวเกา เสี่ยวซ่ง เสี่ยวหวัง ตัดเล็บที่มือเสียด้วยนะ
เจ้ายกถาด ใส่ถุงมือหยิบขนมก็จริง แต่มันก็ไม่ดีนะ
รายละเอียดเล็กน้อยในทุกด้านก็ต้องใส่ใจใช่ไหมล่ะ
ตอนอยู่หอนางโลม นางเห็นมาว่าที่นั่นให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มาก แม่เล้าคนนั้นยังพูดอีกว่า ในเมืองเฟิ่งเทียนยิ่งต้องเอาใจใส่
นี่คือท่านย่าหม่า
ซ่งฝูเซิงกับซื่อจ้วงบังคับเกวียนไปที่ด้านหลังร้าน
เอาถังน้ำเล็กใหญ่ลง เอาประทัดสีที่ลูกสาวทำลง มีด้วยกันห้ากระบอก
แค่เรื่องนี้ซ่งฝูเซิงก็ถูกด่าแล้ว เพราะต่อมาเขากับลูกสาวทำด้วยกัน อีกทั้งทำหม้อดินแตกไปอีกหนึ่งใบ
เอาอาหารแห้งลง
ต่อไปช่วงเที่ยงหรือก่อนกลับบ้าน พวกท่านย่าหม่าต้องกินกันที่นี่ นานวันเข้าจะให้ซื้ออย่างเดียวก็ไม่ได้ และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกินแต่ขนมเค้ก
เอาหัวบีบดอกไม้บนขนมที่ทำเองหลากหลายแบบวางไว้ในห้องครัว
บ่าวรับใช้ชายที่มีหน้าที่เฝ้า ‘โรงรถ’ นำทางรถม้าเข้าไปจอด รวมถึงดูแลทำความสะอาดบริเวณร้านได้ยกมือคารวะพลางเรียก “นายท่าน”
“ชื่อต้าเต๋อจื่อใช่ไหม”
“ขอรับ”
ซ่งฝูเซิงรู้เรื่องต้าเต๋อจื่อกับเป่าจูมาจากลูกสาวแล้ว
สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน
หากจะบอกว่าพี่น้องคู่นี้มาจากจวนฉี ไม่สู้บอกว่ามาจากจวนลู่
เพราะบิดาของพี่น้องคู่นี้ เมื่อก่อนทำงานอยู่ที่จวนลู่ ตอนออกไปทำงานข้างนอก ม้าเกิดตกใจ ตกม้าหัวกระแทกพื้น เป็นเรื่องใหญ่ และก็เสียชีวิต
มารดาของพี่น้องคู่นี้เดิมทีก็สุขภาพไม่แข็งแรง ต่อมาไม่ถึงสองปีก็เสียชีวิตลง
นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นสองพี่น้องยังเด็กมาก มีญาติมาที่บ้าน รับปากเสียดิบดีว่าจะดูแลอย่างดี ปรากฏว่าญาติเอาทรัพย์สมบัติไปแบ่งกันจนเกลี้ยง
ต้าเต๋อจื่อที่ตอนนั้นยังเด็ก ได้รับบาดเจ็บที่ขาตอนเข้าไปยื้อยุดกับครอบครัวอาแท้ๆ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เป็นเป่าจูที่อาศัยความทรงจำในวัยเด็ก วิ่งไปขอความช่วยเหลือที่จวนลู่
โชคดีที่คนที่อยู่เวรเฝ้าประตูรู้จักกับบิดาของเป่าจู ยังพอจำได้ จึงเอาเรื่องเลวร้ายนี้ไปบอกเจ้านาย
พอสกุลลู่ได้ฟังก็ออกหน้าให้
จากที่ฝูหลิงแต่งเรื่องให้ออกอรรถรส สกุลลู่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แค่ใช้จมูกทำเสียงฮึดฮัด เงินกับบ้านที่พ่อแม่ต้าเต๋อจื่อกับเป่าจู่ทิ้งไว้ให้ก็กลับมาแล้ว
อาแท้ๆ ของเป่าจูถูกโยนเข้าคุกไปกินหมั่นโถวที่ตรงกลางบุ๋ม กินอยู่นานทีเดียว
เป่าจูกับต้าเต๋อจื่อก็ถูกรับกลับมาอยู่จวนลู่
เป่าจูเข้าไปอยู่เรือนของลู่จือหว่าน เติบโตที่นั่น เรียนหนังสือร่วมกับลูกของบ่าวรับใช้ที่ในอนาคตเตรียมกลายเป็นสาวใช้ใหญ่
เพียงแต่น่าเสียดาย ขาของต้าเต๋อจื่อ เด็กคนนี้รั้น เอาเรื่องพอตัว เด็กคนนี้ใช้วิธีทำร้ายตัวเองตอนที่ทะเลาะกับอา เอามีดกรีดขาตัวเองจนเละ สุดท้ายก็พิการ
ตอนนี้น้องสาวของเขาถูกลู่จือหว่านส่งมาอยู่ที่นี่ เขาเองก็ขอตามมาด้วยกัน ในใจของต้าเต๋อจื่อคิดว่า เขาไม่มีพ่อแม่แล้วก็ต้องปกป้องน้องสาวให้ดี
เดิมทีเขาเป็นคนเลี้ยงม้าอยู่ในจวนลู่
ส่วนเป่าจู อันที่จริงครั้งนี้ที่นางขอให้คุณหนูปล่อยนางออกมาก็เพื่อพี่ชาย
นางคิดว่าไม่ควรอยู่ทำงานในเรือนของคุณหนูอีกต่อไปแล้ว ที่นั่นมีแต่พวกพี่ๆ สาวใช้ใหญ่ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี คนอื่นๆ นางก็ไม่ได้ใกล้ชิด และพี่สาวพวกนี้ก็ไม่มีทางแต่งงานกับพี่ชายของนางที่ขาพิการอย่างแน่นอน
นางแค่อยากไปจากจวน ออกไปเดินในเมืองให้มากหน่อย จะให้ดีต้องได้รู้จักพวกหญิงสูงวัย จะได้ช่วยหาพี่สะใภ้ให้นาง
พวกนางมีบ้าน อีกทั้งนางกับพี่ชายก็ทำงานหาเงิน ช่วงหลายปีมานี้เก็บเงินได้ไม่น้อย แค่อยากให้พี่ชายได้ใช้ชีวิตดีๆ พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว กับอาแท้ๆ ก็กลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว ก็ต้องให้นางที่เป็นน้องสาวเป็นคนจัดการ
ขณะที่ซ่งฝูเซิงกำลังจะเอ่ยปากพูดกับต้าเต๋อจื่อว่า ตั้งใจทำงานให้ดี มีปัญหาอะไรไม่สะดวกพูดกับพวกผู้หญิงในร้านก็มาบอกเขาได้ ทันใดนั้นก็เห็นซื่อจ้วงก้าวพรวดมาข้างหน้า ยกมือคารวะต้าเต๋อจื่อ
หมอนี่กลายเป็นคนมีมารยาทตั้งแต่เมื่อไร
“นี่คือซื่อจ้วง คนในครอบครัวข้า เอาล่ะ ข้าจะเข้าไปดูข้างใน พวกเจ้าสองคนจัดการแถวนี้แล้วกัน”
ห้องน้ำชั้นสอง
ซ่งฝูเซิงยืนอยู่ในห้องน้ำชาย ความรู้สึกแรกก็คือ ไอ๊หยาแม่จ๋า
แบบนี้จะฉี่ออกเหรอ
ถ้าในกระเป๋าไม่มีเงิน ไม่สิ ถ้าที่บ้านไม่รวยพอ ไม่เคยเปิดหูเปิดตา คงคิดว่านี่ไม่ใช่ห้องน้ำ จะฉี่ยังรู้สึกเครียด
ซ่งฝูเซิงเดินอ้อมโถฉี่มองอยู่สักพัก พอดูเสร็จก็เดินไปที่อ่างล้างมือ เอามือเคาะอ่างสีเขียวมรกต
ไอ๊หยา สิ้นเปลืองเหลือเกิน ดูมีระดับกว่าอ่างล้างมือกระเบื้องทรงกลมในยุคปัจจุบันอีกนะเนี่ย ก็แค่ไม่มีก๊อกน้ำ
อืม พอเงยหน้า ไม่มีกระจกบานใหญ่ก็ไม่สะดวกเหมือนกัน
ไม่อย่างนั้นยืนตรงนี้ก็ส่องหน้าตัวเองได้ด้วยหรือเปล่า
มองกาน้ำชาที่อยู่ข้างๆ ใช้เจ้าสิ่งนี้เทน้ำออกมาล้างมือรึ
สุดท้ายสายตามองไปยังบนจานใบเล็ก
โถฉี่ อ่างล้างมือ กาเทน้ำ รวมถึงจานเล็กที่วางสบู่ ล้วนเข้าชุดกันทั้งหมด
นี่มันสบู่หอมอะไร
สบู่น้ำนมรึ
ปิดประตูสนิท ทันใดนั้นซ่งฝูเซิงก็รู้สึกว่า คนประเดิมห้องน้ำชายเป็นคนแรกควรจะให้เป็นหน้าที่เขา เสร็จแล้วเดี๋ยวเขาก็ล้าง เฮ้อ ทำตัวเป็นเจ้านายกำมะลอ แม้แต่โถส้วมก็ต้องล้างเอง
วันก่อนวันตงจื้อ
มีคนหลายคนออกมาจากหมู่บ้านเหรินจยา แยกย้ายไปคนละทิศละทาง
ทางนี้ลงสะพานไปแล้ว ทางนั้นเพิ่งขึ้นสะพาน
เก่อเอ้อร์นิว ท่านยายรองซ่ง พาตัวแทนลูกชายของพวกนาง ดึงผ้าแดงออกจากป้ายร้านในอำเภออวิ๋นจง
ท่านยายกัว ท่านยายฉี ดึงผ้าแดงออกจากป้ายร้านบนช่องหน้าต่างขายของในเมืองถงเหยา
ท่านยายหวังกับสะใภ้ใหญ่ของลุงซ่ง ดึงผ้าแดงออกจากป้ายร้านขนมย่าหม่าสาขาอำเภอจยาท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของลูกชายพวกนาง ดึงดูดความสนใจจากชาวบ้านมารุมล้อมดูเป็นจำนวนมาก
ณ เมืองเฟิ่งเทียนในยามซื่อ
ประทัดดอกไม้ไฟห้ากระบอกที่ประกอบไปด้วยสีเหลืองอ่อน สีเขียว สีม่วงอ่อน สีน้ำเงินอมเขียว สีชมพู ได้ถูกจุดจนมีควันพวยพุ่งขึ้นสูง สร้างสีสันให้หน้าร้านของท่านย่าหม่า
ท่านย่าหม่าที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายดอกไม้ บนหัวมีผ้าโพกสีชมพูลายดอกไม้ ยืนอยู่ใต้ป้ายร้าน ได้เอามือที่ใส่ถุงมือดึงผ้าสีแดงออกหลังได้สัญญาณพยักหน้าจากซ่งฝูหลิงกับสะใภ้เล็กสกุลซ่ง
ด้านบนปรากฏชื่อ ‘ร้านขนมเค้กแห่งความสุขของย่าหม่า’
เสียงปุงปังของประทัดดอกไม้ไฟห้ากระบอกก็ได้ดังไปพร้อมกัน
ผู้ชมที่มารุมล้อมยังไม่ทันได้รู้สึกตัว เมื่อเสียงประทัดหยุดลง บนชั้นสองที่มีม่านบางพลิ้วไหว เสียงขลุ่ยและเสียงกู่เจิงได้ดังลอยมาจากใต้ร่มดอกเหมยสีแดงสองคัน
บรรดาชาวบ้านรีบเงยหน้ามองชั้นสอง บางคนต้องถอยหลังไปหน่อยแล้วเขย่งเท้าดู
เพลง ‘ตำนาน’ ของเฉิงหลง บรรเลงด้วยกู่เจิง มอบแด่คนยุคโบราณทุกคน
“ปลดปล่อยฉันจากการรอคอยที่แสนลึกลับเหลือเกิน ดวงดาวคล้อยต่ำ สายลมบิดพลิ้ว…”
Comments