ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิตเล่มที่ 12 บทที่ 340 ความหวานชื่นสุดท้าย
เซี่ยยวี่หลัวไม่เห็นความผิดปกติของเซียวยวี่ ยิ้มพร้อมกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าจะใช้ไส้หมูทำอาหารอะไร? ”
เซียวยวี่ยิ้มตามพร้อมกล่าว “อาหารอะไรหรือ? ”
“ไส้หมูผัดพริกดอง! ”
พริกที่ทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ด ผสมกับไส้หมูมันเลี่ยนที่มีกลิ่นคาวเล็กน้อย เมื่ออาหารรสจัดสองชนิดผสมรวมกัน ไม่รู้ว่าเซียวยวี่จะกินได้หรือไม่
เซี่ยยวี่หลัวคิดเช่นนี้ ย่อมกล่าวออกมาตามนี้ “ไม่รู้ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่” เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าท่านราชบัณฑิตน้อยจะกินหรือไม่ อย่างไรเสียไส้หมูก็เป็นของที่สกปรกเป็นอย่างยิ่ง นางล้างยี่สิบกว่าหน แม้กระนั้น ไส้หมูก็ยังคงมีกลิ่นแปลกอยู่
เซียวยวี่รู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวทำอาหารชนิดนี้ต้องเสียแรงไปมากเพียงใด แค่ล้างไส้หมูจนสะอาด ก็ใช้เวลาไปเกินกว่าครึ่งชั่วยาม เพียงเพื่อทำอาหารชนิดหนึ่งให้เขา ภายในใจเขาถูกความยินดีเติมเต็มจนรู้สึกมีความสุขและดีใจยิ่งนัก จึงกล่าวออกมา “ขอเพียงเป็นของที่เจ้าทำ ข้าล้วนแต่ชอบกิน” อย่าว่าแต่ของอร่อยเลย ต่อให้เป็นของไม่อร่อย ของไหม้เกรียม เขาก็รับรองว่าจะกินจนเกลี้ยง!
เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะตาม ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดจาเหมือนกินลูกกวาดมาอย่างไรอย่างนั้น” วาจาหวานหยดย้อย
“ลูกกวาด? ” เซียวยวี่ขมวดคิ้ว เขาส่ายหน้า “ข้าไม่ได้กินลูกกวาด”
“ไม่ได้บอกว่าเจ้ากินลูกกวาด แต่บอกว่าเจ้าปากหวาน วาจาที่กล่าวออกมาหวานหยดย้อยเหมือนกินลูกกวาดมาอย่างไรอย่างนั้น น่าฟัง” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว ท่าทางชอบอกชอบใจ
คราวนี้เซียวยวี่เข้าใจแล้ว “ความหวานนั้นฟังแล้วจะรู้หรือ? รสชาติลูกกวาด… ต้องลิ้มลองถึงจะรู้ไม่ใช่หรือ? ” เซียวยวี่ยังคงไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
เซี่ยยวี่หลัว “…”
นางมองไปทางริมฝีปากบางของเซียวยวี่ตามสัญชาตญาณ จากนั้นจึงรีบละสายตา
เซียวยวี่ไม่เข้าใจจริงหรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจกันแน่ ใบหน้าของเซี่ยยวี่หลัวขึ้นสีแดงจนเหมือนก้นลิงแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าของเซียวยวี่ฉายประกายงุนงง เซี่ยยวี่หลัวถอนหายใจทีหนึ่ง เกรงว่าคงไม่เข้าใจจริงๆ
เซียวยวี่รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก “…” เมื่อครู่เขาดูไม่ผิด อาหลัวเพ่งมองริมฝีปากของเขาอยู่ตลอด หรือว่านางจะหิวอีกแล้ว?
เซียวยวี่ลูบจมูกตัวเองตามสัญชาตญาณ
เซี่ยยวี่หลัวแทบอยากหารูบนดินแล้วมุดเข้าไปเสีย
นางเพียงแค่อยากบอกว่าวาจาที่เขากล่าวออกมานั้นหวานหยดย้อย ปากหวานประหนึ่งกินลูกกวาดมาก็มิปาน
เซียวยวี่ยังคงครุ่นคิดวาจาของเซี่ยยวี่หลัวเมื่อครู่นี้ เงยหน้ามองเซี่ยยวี่หลัวเป็นครั้งคราว ก่อนไตร่ตรองความหมายของเซี่ยยวี่หลัวครั้งแล้วครั้งเล่า
ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจวาจาของเซี่ยยวี่หลัวในทันที แต่เขามีความสามารถในการคิดวิเคราะห์เชิงอนุมานเพื่อไขข้อกระจ่างสูงมาก
หลังจากคิดอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเซียวยวี่ก็เข้าใจความหมายของเซี่ยยวี่หลัว
รสชาติความหวานนั้น ต้องลิ้มลองถึงจะรู้จริงๆ
เซียวยวี่หันมองริมฝีปากบางสีแดงนั่นอย่างรวดเร็ว รู้สึกนึกเสียใจเล็กน้อย
ทว่า ยังมีเวลาอีกมาก!
พอคิดได้ดังนี้ เซียวยวี่ก็รู้สึกยินดีอีกครั้ง
ภายในห้องครัวเดิมทีก็ร้อนจนเหมือนเข่งนึ่ง แต่ยังดีที่เซียวยวี่ยืนอยู่ข้างๆ มือถือพัดคอยพัดให้นางอยู่ตลอด
นอกจากตอนที่เขาไปใส่ฟืน พัดในมือก็ไม่เคยหยุดพัดให้เซี่ยยวี่หลัว
หยาดเหงื่อบนกายไหลลู่ลงมาอย่างต่อเนื่องราวกับอาบน้ำมาอย่างไรอย่างนั้น มือก็พัดจนทั้งเมื่อยทั้งปวด แต่เซียวยวี่ยังคงพัดให้เซี่ยยวี่หลัวอย่างไม่เร็วหรือช้าเกินไป ไม่มีท่าทีจะหยุดแม้แต่น้อย
เซี่ยยวี่หลัวไม่อาจทนดูต่อไปได้ หากมือของเขายังกวัดพัดต่อ เกรงว่าคงต้องหักเป็นแน่ “เจ้าไม่ต้องพัดแล้ว ข้าไม่ร้อน เจ้าพักผ่อนเถอะ”
เซียวยวี่ยังคงกวัดพัดต่อ ลมที่พัดมา ตกกระทบบนกายเซี่ยยวี่หลัวทั้งหมด “พัดหน่อยจะได้ไม่ร้อน”
เขาไม่ได้ยิ่งใหญ่จนทำให้นางอยู่ดีมีสุข เช่นนั้นจะปล่อยให้นางลำบากคนเดียวไม่ได้
ประโยคนี้เขาไม่ได้กล่าวออกมา แต่เซี่ยยวี่หลัวกลับเข้าใจ
เห็นเซียวยวี่ยืนอยู่ข้างกายนาง เขาร้อนจนเหงื่อท่วมตัว ลมจากพัดในมือเขาตกกระทบบนกายนางตลอด ถึงแม้จะยังร้อน แต่ภายในใจเซี่ยยวี่หลัวกลับรู้สึกหวานชื่นยิ่งกว่าได้กินน้ำผึ้งเสียอีก
ทำอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว ผัดถั่วฝักยาวดองหนึ่งจาน ไส้หมูผัดพริกดองหนึ่งจาน ทำอาหารที่ไม่เผ็ดให้เด็กสองคนอีกสองอย่าง ก็เริ่มกินข้าวได้แล้ว
คนในบ้านที่ชอบกินรสเผ็ดมากที่สุดก็คือเซียวยวี่ ขอเพียงเห็นว่ามีพริกอยู่ในจานใด นั่นก็คืออาหารที่ทำให้เซียวยวี่โดยเฉพาะ ทั้งยังจงใจวางไว้ตรงหน้าเซียวยวี่
เซียวยวี่กินอย่างเอร็ดอร่อย เซี่ยยวี่หลัวและเด็กสองคนพูดคุยกันเป็นระยะ ทำให้การกินอาหารเต็มไปด้วยไออุ่นละมุน ภายในใจเซียวยวี่ทั้งยินดีทั้งรู้สึกกังวล ในใจคิดแต่ว่าควรคุยกับเซี่ยยวี่หลัวเรื่องการประกาศผลในวันมะรืนนี้อย่างไร
หลังจากกินข้าว เซี่ยยวี่หลัวยังมีเรื่องต้องทำ ไม่ให้เซียวยวี่ตามมาด้วย ไล่เขากลับห้องของตัวเองไป
เซียวยวี่นั่งห่อเหี่ยวอยู่ภายในห้อง กำลังครุ่นคิดว่าควรคุยเรื่องนี้กับเซี่ยยวี่หลัวอย่างไร
เขาอยากพูดความจริงกับเซี่ยยวี่หลัว
ตั้งแต่เปิดเผยความในใจต่อเซี่ยยวี่หลัวตอนอยู่ในศาลบรรพชนเป็นต้นมา เขาพบว่าเซี่ยยวี่หลัวดีต่อเขามากขึ้น ความดีนี้ทำให้เซียวยวี่รู้สึกมีความสุข แต่เมื่อวันประกาศผลใกล้เข้ามา เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่อาจสงบใจ
ความไม่สบายใจนั้นประหนึ่งมดที่ชอนไชกระดูกก็มิปาน ไม่ได้เจ็บปวดจนแทบขาดใจ แต่กลับเจ็บปวดลึกถึงไขกระดูก
ตัดสินใจเด็ดขาดตั้งกี่ครั้งว่าจะพูดคุยกับเซี่ยยวี่หลัวอย่างเปิดเผย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของเซี่ยยวี่หลัว วาจาของเซียวยวี่ก็ติดอยู่ในลำคอ ทำอย่างไรก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้
เขากลัวว่าหากกล่าวออกมา แม้แต่ความสุขในช่วงสองวันสุดท้ายก็จะหายไป
ยิ่งรู้สึกพะว้าพะวัง ก็ยิ่งรู้สึกหวั่นเกรงต่อช่วงเวลาสองวันนี้ ทุกเสี้ยววินาทีที่ผ่านไป รู้สึกทุกข์ทรมานราวกับก้าวเดินอยู่บนคมมีด แต่ก็เหมือนถูกโอบล้อมด้วยบุปผางาม เป็นช่วงวันคืนที่เต็มไปด้วยความสุขอันหวานชื่น
เซี่ยยวี่หลัวไม่ทันสังเกตเห็นความวิตกกังวลและพะว้าพะวังของเซียวยวี่ นางเพ่งสมาธิทั้งหมดจดจ่อกับวันประกาศผลในวันมะรืนนี้ นางอยากจะสร้างความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนให้เซียวยวี่
เซี่ยยวี่หลัวอยากอาศัยเรื่องในครั้งนี้สื่อให้เซียวยวี่รู้ว่า ไม่ว่าเขาจะสอบผ่านหรือไม่ เขาเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในใจนางเสมอ
ในที่สุดวันประกาศผลก็มาถึงตามกำหนด
ตั้งแต่คืนก่อนหน้า เซียวยวี่ก็ไม่อาจสงบใจได้ ดับไฟแต่หัวค่ำ แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ นอนอยู่บนเตียงพลิกตัวไปมาเหมือนกำลังจี่แผ่นแป้งก็มิปาน ภายในห้วงความคิดมีแต่เซี่ยยวี่หลัว
ความหอมหวาน ความสุข ความดีงาม สิ่งที่พรั่งพรูอยู่ในห้วงความคิด เต็มไปด้วยวันคืนที่มีความสุข แต่ไม่นาน เรื่องราวย่ำแย่ที่ทำให้เขาอับจนหนทางไม่อาจทำอะไรได้ เรื่องราวที่น่าเจ็บปวดก็ผุดขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานยิ่ง
ควรทำอย่างไรกันแน่?
คิดมาทั้งคืน ทนทุกข์ทรมานมาทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สว่าง เซียวยวี่ก็ลุกแล้ว เขานอนไม่หลับ เดินมาในลานบ้าน ด้านนอกเงียบสงัดไร้แสงสว่าง ท้องฟ้ามืดครึ้ม
เหมือนสภาพอากาศจะแปรปรวน
เซี่ยยวี่หลัวยังไม่ตื่น เซียวยวี่เดินไปหน้าประตูห้องนางหลายครั้ง คิดจะเคาะประตู สุดท้ายก็ฝืนทนไว้
เขารอไม่ไหวแล้ว จึงถือโอกาสไม่บอกผู้ใด อาศัยจังหวะที่ฟ้ายังไม่สว่าง แอบเข้าไปในตัวเมือง
Comments