ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1547 ไม่รู้ว่าเป็นใคร

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย Chapter บทที่ 1547 ไม่รู้ว่าเป็นใคร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1547 ไม่รู้ว่าเป็นใคร

…………….

บทที่ 1547 ไม่รู้ว่าเป็นใคร

ซูจือเยว่กลับไม่ได้มองเช่นนนั้น จึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ สาวใช้เข้ามาในงานเพื่อรับใช้ได้ แต่สาวใช้คนนี้ช่างกล้าเกินไป ลูกคิดว่าสาวใช้คนนี้ต้องมีคนยุยงนางอยู่เบื้องหลังเป็นแน่”

สิ่งที่ซูจือเยว่พูดล้วนมีเหตุผล ทุกคนต่างเข้าใจเหตุผลนี้ แต่ว่าฮูหยินซูพูดไปแล้วว่านางจะเอาสาวใช้คนนี้ไปเป็นแพะรับบาป

“จือเยว่ นี่เป็นเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นในจวน เจ้าไปหาพ่อเจ้าตรงนั้นเถอะ” ฮูหยินซูเห็นว่าซูจือเยว่ต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่จึงรีบพูดขึ้น

ซูจือเยว่ขมวดคิ้ว แต่กลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน “ท่านแม่ แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ล้วนเป็นแขกคนสำคัญ ลูกไม่อยากให้เรื่องนี้สร้างความกวนใจแก่แขกคนอื่น ๆ ได้โปรดท่านแม่ ท่านต้องจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม อย่าทำให้ลูก…” ซูจือเยว่หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงคำนับแล้วพูดว่า “อย่าทำให้ลูกผิดหวัง”

“จือเยว่ เจ้า!” ฮูหยินซูโกรธเคือง ลูกชายคนนี้กำลังตั้งใจทำให้นางโกรธงั้นหรือ ฮูหยินซูรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก แสร้งทำเป็นว่าตนเองจะเป็นลม แต่โชคดีที่ซูเฉี่ยนเยว่ยืนอยู่ข้างหลัง นางจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและรีบยื่นมือออกไปประคองฮูหยินซูไว้ และลูบหลังฮูหยินซูเพื่อปลอบใจ

“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านกำลังทำให้ท่านแม่โกรธเพราะคนนอกนะเจ้าคะ”

ซูหมิ่นพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองซูจือเยว่อยู่เช่นนั้น

ซูจือเยว่ไม่พูดอะไรอีก ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแม้สักนิด และไม่มีความคิดที่จะเดินออกไปแม้แต่น้อย

หลังจากที่ฮูหยินซูตกใจในคราแรก และท่าทางดื้อรั้นของเขาเช่นนี้ ในใจก็รู้ว่าหากวันนี้นางไม่ให้คำอธิบายกับเสี้ยนจู่อันผิงล่ะก็… เกรงว่าลูกชายของนางคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่

ดังนั้นจึงพูดออกไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ จือเยว่ หากเจ้าคิดว่ามีคนปองร้ายเสี้ยนจู่อันผิงละก็ งั้นเจ้าก็สอบสวนเองเถอะ ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ข้าปวดหัวเหลือเกิน”

พูดจบจึงนั่งลงบนเก้าอี้ มือกุมขมับด้วยสีหน้าจำใจ

ซูเฉี่ยนเยว่มองใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของพี่ชายตัวเอง แล้วมองไปที่หมิงตูจวิ้นจูที่อยู่ข้าง ๆ ที่พร้อมจะระเบิดออกมา หัวใจของนางจึงเต้นไม่เป็นจังหวะ

“บอกมาสิ วันนี้ใครเป็นคนสั่งให้เจ้าใส่ร้ายเสี้ยนจู่อันผิง” ซูจือเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ดูโหดเหี้ยมอย่างปฏิเสธไม่ได้

“ข้าน้อย… ข้าน้อย…” เสี่ยวเหมยรู้ว่าลูกชายคนโตของตระกลูซูปกติแล้วเป็นคนอ่อนโยน เจอผู้คนก็มักจะยิ้มแย้มแม้แต่กับคนรับใช้ก็ตาม เขาไม่เคยทุบตีหรือดุด่าว่าใครโดยไม่มีเหตุผล และไม่เคยกล่าวหาใครโดยไม่มีเหตุผล

คนรับใช้ในบ้านต่างพูดว่านายน้อยเป็นคนจิตใจดีและมีเมตตา

เสี่ยวเหมยมองซูจือเยว่ มองใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรที่เต็มไปด้วยความโกรธซึ่งอาจทำให้ใครต่อใครตกใจได้

“นายน้อย ข้าน้อยเห็นว่าที่สวนดูครึกครื้น จึงเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้ ข้าเห็นว่าในถ้วยชาของเสี้ยนจู่ไม่มีน้ำชาจึงเดินเข้าไปรินชาให้นาง ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ”

แต่ไหนแต่ไรมา เสี่ยวเหมยเคยได้ยินว่าคุณชายใหญ่ของบ้านนี้เป็นคนจิตใจดี แล้วนางจะเคยเห็นนายน้อยผู้นี้ในมุมเกรี้ยวกราดเช่นนี้ได้อย่างไร

ตอนนี้นางจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ลืมสิ้นแม้กระทั่งคำพูด และทำเพียงจ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาของซูจือเยว่อยู่เช่นนั้น ดวงตาฉายแววความชื่นชมออกมาอย่างปิดไม่มิด

ในใจซูจือเยว่รู้สึกโมโห หลายชิ่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็สะบัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วเดินไปข้างหน้า พลางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แม่นาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลของการใส่ความเสี้ยนจู่มีโทษถึงตาย ระวังจะถูกประหารเก้าชั่วอายุคน”

คำพูดของหลายชิ่งหลั่งไหลเข้าสู่โสตประสาทของเสี่ยวเหมย เมื่อเสี่ยวเหมยผู้นั้นได้ยิน ตัวของนางก็สั่นสะท้าน ปากเอาแต่ก็พึมพำว่า “เก้าชั่วอายุคน เก้าชั่วอายุคน”

“แม่กับน้องชายของข้าอยู่ในเงื้อมมือของคนผู้นั้น ข้าบอกไม่ได้ ข้าบอกอะไรไม่ได้” ทันใดนั้น เสี่ยวเหมยก็ควบคุมสติของตนเองไม่ได้และฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ นางมองไปที่ซูจือเยว่อีกครั้งพรางตะโกนออกมาว่า “นายน้อย ท่านแม่และน้องชายของข้าถูกจับตัวไป ไม่งั้นข้าคงไม่ทำเช่นนี้ หากข้าปฏิเสธที่จะทำ เขาจะฆ่าท่านแม่กับน้องชายของข้า!”

เสี่ยวเหมยร้องไห้ด้วยความเสียใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“ใครเป็นคนสั่งให้เจ้าทำ ถ้าเจ้าบอก บางทีข้าอาจจะช่วยชีวิตคนในครอบครัวเจ้าได้” ซูจือเยว่พูดพลางมองไปที่ฮูหยินซูที่อยู่ตรงนั้นอย่างไม่สนิทใจ สายตาของซูเฉี่ยนเย่วสบเข้ากับสายตาของซูจือเยว่ที่มองผ่านมาก็เกิดอาการตกใจ จึงรีบก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

ซูจือเยว่เห็นน้องสาวของตนมีท่าทีเช่นนี้ คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น

“ข้าน้อย… ข้าน้อยไม่รู้จริง ๆ รู้แค่เพียงว่าเมื่อสองสามวันก่อนมีคนแปลกหน้ามาหาข้าน้อย เขาให้เงินข้าน้อย บอกว่าให้ข้าน้อยมาในงานเลี้ยงแล้วทำให้เสื้อผ้าของเสี้ยนจู่อันผิงเลอะ แล้วก็พานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องใต้บันไดแค่นั้น เรื่องอื่น…เรื่องอื่นข้าไม่เกี่ยว”

เสี่ยวเหมยสารภาพทุกอย่างออกมา “คนผู้นั้นพาแม่กับน้องชายของข้าไป บอกว่าถ้าข้าทำเรื่องนี้สำเร็จจะปล่อยแม่กับน้องชายของข้าไป พร้อมกับให้เงินข้าอีกจำนวนหนึ่ง ถ้าหากข้าไม่ทำก็จะฆ่าแม่กับน้องชายของข้า แล้วก็จะฆ่าข้าด้วย”

เสี่ยวเหมยผู้นั้นน้ำมูกน้ำตาไหล เล่าทุกอย่างที่รู้ออกมาจนหมดเปลือก

ซูจือเยว่กำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนบนมือได้อย่างชัดเจน

เขาเกือบจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร

อยู่ในบ้านของตัวเอง ใครจะกล้าทำร้ายเสี้ยนจู่อันผิงได้ง่ายขนาดนี้

“สารเลว! ไม่มีหลักฐาน ต่อให้มีคนขอให้เจ้าใส่ร้ายเสี้ยนจู่อันผิง แต่มันก็ไม่มีหลักฐาน” ฮูหยินซูเอ่ยขึ้น ใบหน้างดงามนั้นแสดงสีหน้าที่เรียบเฉย

“ข้า… ข้าไม่มีหลักฐาน แต่ว่าฮูหยิน… ข้าพูดความจริง ข้าไม่ได้โกหก มีคนให้เงินข้าและจับแม่กับน้องชายของข้าไปจริง ๆ” เสี่ยวเหมยร้องไห้อย่างสิ้นหวัง เลือดไหลซึมออกจากหน้าผาก ดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก

“นายน้อย นายน้อย ข้าน้อยไม่รู้จริง ๆ ว่าคนผู้นั้นคือใคร คนผู้นั้นบอกแค่เพียงว่าให้ข้านั้นทำให้เสื้อผ้าของเสี้ยนจู่เปรอะเปื้อน จากนั้นให้พานางไปที่ห้องใต้หลังคา ข้าไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ”

เสี่ยวเหมยคุกเข่าลงบนพื้นพลางคลานไปข้างหน้า คว้าชายเสื้อผ้าของซูจือเยว่ไว้และ ตะโกนอย่างน่าสังเวช “นายน้อย ข้าเปล่า ข้าเปล่า”

ชายเสื้อของซูจือเยว่ถูกจับไว้ เขาจ้องมองไปที่เสี่ยวเหมยอย่างคลางแคลงใจ

นางไม่รู้ว่าใครให้นางทำ แต่กลับรู้ว่าแม่และน้องชายของนางถูกคนจับตัวไป ทว่าตอนนี้เรื่องถูกเปิดเผยแล้ว คนในครอบครัวของนางจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

…………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด