ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1566 เย้าแหย่
บทที่ 1566 เย้าแหย่
…………….
บทที่ 1566 เย้าแหย่
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ หากข้ากลับดึกไม่ต้องให้นางรอ” เวลาตอนนี้ดึกมากแล้ว เดิมทีแล้วกู้เสี่ยวหวานมักจะเข้ารอเร็ว การกลับมาช้าของเขาจะทำให้เลยเวลาเข้านอนไปอีก
“คุณหนูบอกว่าท่านจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน และไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็จะรอ” อาจั่วรายงาน
ฉินเย่จือไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เขาค่อย ๆ เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง
แสงภายในห้องสว่างไสว บนตั่งกุ้ยเฟย*[1] ริมหน้าต่างมีหญิงสาวร่างบอบบาง ดวงตากลมโตสีดำขลับกำลังจังมองมาที่ตนเอง
ฝีเท้าของฉินเย่จือหยุดชะงัก
หญิงสาวที่นอนอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย ผมสีดำเงางามเพิ่งสระและถูกรวบไว้ด้านหลังศีรษะ ปล่อยบางส่วนสยายอยู่ด้านหน้าให้ปลิวไสวไปกับสายลมยามค่ำคืน
คิ้วโก่งสวยดั่งคันธนู ดวงตาคู่งามเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ในยามราตรี จมูกโด่ง แก้มสีลูกท้อ ริมฝีปากอมชมพู ใบหน้าสะอาดสดใส
กำไลหยกขาวที่ข้อมือขาวผ่อง และชุดสีขาวปักลวดลายผีเสื้อสีเข้มยาวลากพื้น เผยให้เห็นเท้าเล็ก ๆ และเล็บเท้าที่ทาด้วยสีแดงสด
ค่ำคืนนี้ ฉินเย่จือสวมชุดสีดำที่ปักด้วยลวดลายดอกบัวขนาดใหญ่ก็เหมือนเงาบนชุดสีดำ ปิ่นหยกขาวถูกปักไว้บนมวยผม แพขนตายาว ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นช่างงดงามเหลือเกิน
รูปร่างสูงโปร่ง คิ้วเรียงตัวสวยงามราวกับหยกที่ไร้ตำหนิ แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ แต่เขาก็ดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์อันน่าหลงใหล ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสง่างาม
ฉินเย่จือมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างหลงใหล หัวใจอันแข็งแกร่งของชายชาตรีอ่อนยวบลง
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของทั้งคู่นั้นส่องประกายระยิบระยับ
กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้ม เท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนพรมหนาและเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
ฉินเย่จือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นพฤติกรรมของลูกแมวตรงหน้า เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าร่างของหญิงสาวตรงหน้าที่พุ่งเข้ามาจนทั้งสองล้มลงกลิ้งไปบนพรมนุ่ม ๆ
ฉินเย่จือสวมกอดกู้เสี่ยวหวานแน่น
แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ส่องสว่างเจิดจ้า
ใบหน้าที่สวยงามใต้ร่างของเขาตราตรึงในนัยน์ตา และริมฝีปากสีแดงสดที่อยู่ตรงหน้าช่างเย้ายวนใจ ทำให้เขาไม่ลังเลอีกต่อไป
สองร่างคลอเคลียกันอยู่บนพรมนุ่ม และแสงเจิดจ้ายามราตรีส่องไปยังร่างที่ทับซ้อนกันบนพรมนุ่ม
ฉินเย่จือเท้ามือข้างหนึ่งไว้บนเบาะนุ่มเพื่อพยุงไม่ให้ร่างของตนเองทับลงไปบนคนที่อยู่ใต้ร่างของเขา และอีกมือหนึ่งโอบรอบหลังของกู้เสี่ยวหวานพลางกดจูบลงบนริมฝีปากของนางอย่างลึกซึ้ง
จูบนั้นลึกล้ำจนกู้เสี่ยวหวานแทบขาดอากาศหายใจ นางลืมตาขึ้นมองใบหน้าที่หล่อเหลาและคุ้นเคยของคนตรงหน้าอย่างหลงใหล
กู้เสี่ยวหวานยกมือขึ้นคล้องคอฉินเย่จือ ยกร่างกายของนางขึ้นเล็กน้อย แนบร่างกายของตนให้แนบชิดกับเขาแน่นพลางปรับลมหายใจขณะที่จูบตอบเขา
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับรสจูบหอมหวาน กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมาได้ จากนั้นแววตาของนางก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ นางถอนริมฝีปากออกก่อนจะยกยิ้มเย้ายวน เพียงแค่มองก็ทำให้ฉินเย่จือลุ่มหลงจนไม่อาจถอนตัว เพียงชั่วครู่ ฟันขาวก็งับริมฝีปากล่างของฉินเย่จือเบา ๆ
ฉินเย่จือเจ็บแปลบ และการจูบที่ลึกซึ้งก็หยุดลงทันที
“หวานเอ๋อร์…” กู้เสี่ยวหวานกัดริมฝีปากล่างของฉินเย่จือ เมื่อเห็นความสับสนในดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป หลังจากปรับลมหายใจได้แล้ว เขาก็ถามด้วยความยากลำบาก
กู้เสี่ยวหวานกะพริบตาปริบ ๆ อย่างซุกซนแล้วงับปากของเขาอีกครั้งเบา ๆ ก่อนจะปล่อยออก จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มพอใจ “เจ้าไม่ได้มาหาข้านานแล้ว พอมาถึงก็เอาแต่จูบข้า ข้ายังไม่ได้อนุญาตเลยด้วยซ้ำ”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นเบือนหน้าหนีด้วยความโกรธราวกับว่าไม่ต้องการมองรอยยิ้มของฉินเย่จือ
หลังจากได้ยินคำพูดที่สดใสเหล่านี้ ความวิตกกังวลและความเหนื่อยล้าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาก็หายไปทั้งหมด ฉินเย่จือยันร่างกายขึ้นแล้วหัวเราะเบา ๆ พลางมองไปยังคนที่อยู่ใต้ร่าง
ผิวขาวผ่องนุ่มนวลน่าดึงดูด และโครงหน้าบอบบางราวกับหยก
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใกล้จนได้ยินเสียงหายใจของกันและกันอย่างชัดเจน ใกล้จนมองเห็นเงาสะท้อนในดวงตาของกันและกันได้อย่างชัดเจน
“หวานเอ๋อร์ ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรจูบเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” น้ำเสียงอันน่าหลงใหลของฉินเย่จือดังขึ้นข้างหูกู้เสี่ยวหวาน
“หึ เจ้าก็รู้ตัวว่าผิดนี่?” กู้เสี่ยวหวานประชดประชน ทันทีที่พูดจบ นางรู้สึกว่าร่างกายของนางหนักขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายที่ร้อนผ่าวของฉินเย่จือทาบลงมาบนร่างกายของนางอย่างไม่ลังเล ไม่เปิดโอกาสให้นางหลบหนีแม้แต่น้อย
“เจ้าผิด เจ้าต้องชดใช้” กู้เสี่ยวหวานหอบหายใจถี่ หญิงสาวดันอกของเขาเบา ๆ และอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่การกระทำต่อไปของฉินเย่จือก็ทำให้นางกลืนทุกคำพูดที่เตรียมไว้กลับไป จากนั้นร่างกายของนางก็แข็งค้างไปทันที
ลิ้นร้อนลากผ่านลำคอไปยังติ่งหู ฉินเย่จือหรี่ตาเล็กน้อย เอียงศีรษะและอ้าปากขบเม้มติ่งหูของกู้เสี่ยวหวานอย่างแผ่วเบา กู้เสี่ยวหวานรู้สึกราวกับสูญเสียการควบคุม
“หวานเอ๋อร์บอกว่าจูบปากไม่ได้ แต่เจ้าไม่ได้บอกว่าจูบที่อื่นไม่ได้” ฉินเย่จือช่างเจ้าเล่ห์นัก จากนั้นงับติ่งหูที่บางและหัวเราะเบา ๆ
กู้เสี่ยวหวานเข้าใจอย่างชัดเจนว่าตนเองกำลังถูกหลอก ดังนั้นนางจึงมุ่ยหน้า พยายามไม่สนใจอาการชาบนร่างกาย และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าหลอกข้า”
อาการชาที่มาจากติ่งหูทำให้นางหายใจไม่ออก น้ำเสียงนั้นสั่นเครือเบา ๆ ฉินเย่จือยิ้มและขบเม้มติ่งหูของนางอีกครั้งอย่างเบา ๆ
*[1] เก้าอี้ยาวมีที่เท้าแขนข้างหนึ่งให้เอนนอนได้ ถือกำเนิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง
…………….
Comments