ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1597 เทียบเชิญ
บทที่ 1597 เทียบเชิญ
…………….
บทที่ 1597 เทียบเชิญ
“เหตุใดเจ้าถึงถามเช่นนี้” ฉินเย่จือไม่คาดคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะถามคำถามดังกล่าว จึงเกิดความลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินกู้เสี่ยวหวานอธิบายว่า
“ครอบครัวรองถูกขัดขวางโดยครอบครัวใหญ่มากว่าสิบปี และฮ่องเต้เองก็เติบโต เริ่มที่จะมีความคิดเป็นของตนเอง ครอบครัวรองหากไม่หาหนทางแยกออกมาตอนนี้ ทั้งชีวิตคงไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปาก และครอบครัวรองเองก็มีความสามารถ หากทิ้งเวลาเอาไว้เกรงว่าจะเสียเวลาเปล่า”
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดทำให้ดวงตาของเขาเปล่งประกาย คำพูดของนางทำให้เขาจับประเด็นบางอย่างได้
“หวานเอ๋อร์ ข้าจะจัดการกับเรื่องของลุงหลี่เอง เจ้าอยู่ที่นี่ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด ถ้ามีเรื่องอะไร เจ้าสามารถให้โม่เกอและไป๋เสวี่ยส่งจดหมายมาหาข้าได้” ฉินเย่จือเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
โม่เกอและไป๋เสวี่ยนกพิราบสื่อสารสองตัวที่พวกเขาใช้ส่งจดหมายหากัน เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับมันทั้งสอง กู้เสี่ยวหวานจึงตั้งชื่อให้กับมัน
ตัวสีดำคือโม่เกอ และสีขาวคือไป๋เสวี่ย
หลังจากตั้งชื่อให้กับเจ้านกพิราบสองตัวแล้ว อาโย่ว อาจั่ว อาโม่ อาเว่ย ที่ติดตามคนทั้งสองต่างกลอกตา ครั้นหันกลับมามองชื่อของพวกตน ‘จั่ว โย่ว โม่ เว่ย’ ชื่อของพวกเราที่นายท่านมอบให้ช่างธรรมดาเสียเหลือเกิน แตกต่างจากคุณหนูของพวกเขา ชื่อที่เลือกให้นกพิราบสองตัวนั้นไพเราะเสียจนอยากได้มาเป็นของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสี่ทำได้เพียงค่อนแคะในใจ อย่างไรเสียชื่อก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ทำได้แต่ปล่อยให้มันติดตัวไปชั่วชีวิต
กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถทนง่วงได้อีกต่อไป ไม่นานหลังจากนั้นนางก็ผล็อยหลับไป เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมแขนของตัวเองหลับไปแล้ว ฉินเย่จือก็หลับตาและเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อกู้เสี่ยวหวานตื่นขึ้นมาตามปกติ พลันพบว่าคนที่นอนอยู่ข้างกายกันเมื่อคืนได้จากไปแล้ว ครั้งนี้เขากลับมาภายในครึ่งเดือนเพราะได้ยินข่าวร้านจิ่นฝู และกลัวว่าตนเองจะเสียใจ
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขอบคุณอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ เมื่อคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของลุงหลี่ในกองกำลังรักษาความสงบ ก็กลับมาคิดฟุ้งซ่านอีกครั้ง
หญิงสาวกินข้าวเช้าด้วยอาการกระสับกระส่าย พลางคิดว่านางจะจัดการเรื่องนี้ต่ออย่างไรดี แต่แล้วอาโม่ก็เข้ามาพร้อมกับเทียบเชิญ
“คุณหนู เทียบเชิญถูกส่งมาจากบ้านตระกูลซูขอรับ”
“ซูเฉี่ยนเยว่อีกแล้วหรือ” กู้เสี่ยวหวานเย้ยหยัน
“ไม่ใช่ขอรับ เป็นเทียบเชิญของนายน้อย ซูจือเยว่” อาโม่ยื่นเทียบเชิญให้กู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานไม่คาดคิดว่าจะเป็นของซูจือเยว่ ดังนั้น หัวคิ้วจึงขมวดปมเข้าหากันจากนั้นจึงรับเทียบเชิญมา และพบว่าถูกส่งมาจากนายน้อยซูจริง ๆ
“เขาเชิญข้าอย่างนั้นหรือ” กู้เสี่ยวหวานมองไปที่เทียบเชิญด้วยสีหน้าอธิบายไม่ถูก
หลังจากงานเลี้ยงบทกวี เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นที่ร้านจิ่นฝูทันที กู้เสี่ยวหวานไม่อยากลากเรื่องนี้เข้ามาทำให้ปวดหัวมากนัก เมื่อกู้เสี่ยวหวานคิดถึงทัศนคติของผู้คนบ้านตระกูลซูรวมถึงซูหมิ่น หากนางไปตามคำเชิญจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
“คุณหนู ต้องการไปตามเทียบเชิญหรือไม่เจ้าคะ” อาจั่วจ้องเทียบเชิญในมือของกู้เสี่ยวหวาน และถามอย่างประหม่า
เหตุการณ์ครั้งล่าสุดในตระกูลซู นายน้อยของตระกูลซูปกป้องคุณหนูอย่างหัวเด็ดตีนขาด ชายผู้นั้นจะต้องชอบคุณหนูของนางมากแน่ ๆ
อาจั่วรู้สึกเพียงว่าการที่นายน้อยตระกูลซูส่งเทียบเชิญมาเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วมุ่น และเริ่มคิดว่าต้องไม่เกี่ยวกับเทียบเชิญนี้แน่ ๆ
นางไม่ใช่คนโง่ ตนกับฉินเย่จือรักกันมาหลายปีแล้ว มันทำให้นางมีประสบการณ์ ยามอีกฝ่ายมองมาที่ตนด้วยสายตาเสน่หา มันทำให้นางสัมผัสได้ถึงความรักที่ลึกซึ้งในดวงตาคู่นั้น ยามซูจือเยว่มองมาที่นางอย่างเขินอาย หากแต่แววตาคู่นั้นก็แฝงความหมายบางอย่างด้วย
กู้เสี่ยวหวานต้องการที่จะปฏิเสธคำเชิญนี้โดยสัญชาตญาณ “ตอบกลับคำเชิญว่า ข้ามีหลายเรื่องต้องจัดการ ดังนั้นข้าจะไม่ไป”
กู้เสี่ยวหวานโยนเทียบเชิญทิ้งไป เมื่อนึกถึงสายตาของซูหมิ่นที่มองนางราวกับงูพิษที่จ้องจะทำร้ายกันทุกเมื่อ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
กู้เสี่ยวหวานปฏิเสธทุกคนที่ปรารถนาจะเข้าใกล้ตนเอง
อาจั่วถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เมื่อได้ยินคุณหนูปฏิเสธมันทำให้นางนึกถึงแววตาของของซูจือเยว่แล้ว นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายคนนั้นคิดสิ่งใดกับคุณหนูของตน ในใจของเขาคิดสิ่งใดอยู่ เพียงแค่มองก็สามารถเดาได้ทะลุปรุโปร่ง
เมื่ออาจั่วเตรียมส่งจดหมายตอบกลับ พลันได้ยินเสียงแผ่วเบาของกู้เสี่ยวหวานจากด้านหลัง “แต่งตัวแล้วไปตามนัดหมายเถอะ”
“คุณหนู…” อาจั่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางเพิ่งบอกว่าจะไม่ไปไม่ใช่หรือ?
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วและไม่ตอบคำถามอาจั่ว พยายามคาดเดาว่าซูจือเยว่จะบอกอะไรตนเอง
เมื่อคุณหนูต้องการไป ดังนั้นอาจั่วจึงต้องทำตามคำสั่งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ จึงสั่งเตรียมรถม้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปศาลาเทียนหมิงพร้อมกู้เสี่ยวหวาน
เพียงได้ยินชื่อก็รับรู้ได้ว่าเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
เมื่อไปถึงสถานที่แห่งนั้น กู้เสี่ยวหวานก็ขึ้นบันไดไปตามคำแนะนำของลูกจ้างในร้าน บริเวณชั้นแรกมีห้องรับรองหลายห้อง แต่ละห้องไม่มีประตูกั้นความเป็นส่วนตัว แต่มีผ้าม่านบาง ๆ ปิดไว้เท่านั้น ดังนั้นจึงได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะเป็นครั้งคราว
ยามพวกเขาขึ้นมาจนถึงทางเดิน เสียงดังจอแจเหล่านั้นก็เงียบลง
คนรับใช้ส่วนตัวของซูจือเยว่หันไปรอบ ๆ ทางเดิน
เมื่อหลายชิ่งเห็นคนมาใหม่ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววความสุข ผสมปนเปกับความประหลาดใจและประหม่า เมื่อกู้เสี่ยวหวานมาถึงหน้าห้องรับรอง ซูจือเยว่ในชุดขาวยืนอ่านหนังสือรอนางอยู่ ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับหยกแกะสลัก
“เสี้ยนจู่อันผิง” ซูจือเยว่ประสานมือ และกู้เสี่ยวหวานก็คำนับกลับ “นายน้อยซู”
ใบหน้าของซูจือเยว่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ ตั้งแต่กู้เสี่ยวหวานก้าวเข้ามาในห้อง เขาเอาแต่ยิ้มตลอดเวลาไม่พูดไม่จา ท่าทางของเขาดูเคอะเขินเล็กน้อยราวกับว่ากำลังประหม่ามาก
กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ อย่างใจเย็น มีชั้นวางของโบราณสองชั้น ภายในห้องเต็มไปด้วยของสะสมเก่าหายาก
…………….
Comments