ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1599+1600 หัวข้อ/ช่วยพูดอะไรหน่อยได้ไหม
บทที่ 1599+1600 หัวข้อ/ช่วยพูดอะไรหน่อยได้ไหม
…………….
บทที่ 1599 หัวข้อ
ชาชนิดนี้หาได้ยาก จะนำออกมาให้ได้ชิมก็เฉพาะวันที่สหายสนิทมาเยี่ยมเยือน แต่ครั้งนี้นายน้อยกลับบอกว่าจะมอบชาขาวให้เสี้ยนจู่ ปกติแม้แต่สหายสนิทของนายน้อยอยากจะดื่มชานี้ก็ยังเป็นไปได้ยาก
หลายชิ่งรู้สึกแปลกใจ และก่อนจะมีเวลาได้คิดอะไรมากกว่านี้ เขาก็รับปากอย่างรวดเร็ว และหมุนกายเตรียมออกไปตามคำสั่ง หากแต่ก็ได้ยินเสียงกู้เสี่ยวหวานดังขึ้น
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ข้าขอบคุณท่านมาก ธรรมดาข้าไม่ค่อยดื่มชาและโปรดการดื่มน้ำเปล่ามากกว่า ดังนั้นข้าจึงไม่อยากให้น้ำใจของนายน้อยซูเสียเปล่า”
คำปฏิเสธของกู้เสี่ยวหวานทำให้ซูจือเยว่แสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย เมื่อความหวังดีของตนถูกปฏิเสธ ซูจือเยว่ถูมือด้วยท่าทางกังก้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
ท่าทางเขินอายและงุนงงเช่นนี้ ไม่เหลือภาพพจน์ของนายน้อยผู้สง่างามอีกต่อไป
หลายชิ่งมองไปที่เจ้านายของเขาที่มักจะอ่อนโยน แต่ตอนนี้กับมีท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ มันทำให้เขารู้สึกอธิบายไม่ถูก
“เสี้ยนจู่ไม่ชอบดื่มชาหรือ?” ซูจือเยว่นั่งลง เหลือบมองไปที่กู้เสี่ยวหวานและถามอย่างระมัดระวัง
กู้เสี่ยวหวานยิ้มและส่ายหน้า “ข้าโปรดการดื่มช้า แต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าคุ้นเคยกับการดื่มชาชนิดหนึ่งมาก รสชาติของมันหยาบกระด้างและไม่สามารถเทียบได้กับชาขาวผู่เอ๋อร์นี้ แต่อย่างไรข้าก็ชอบความเข้มข้นและรสชาติของมันมาก หลังจากดื่มมันแล้ว พอได้ดื่มชาอื่นก็จะรู้สึกเหมือนดื่มน้ำเปล่า แต่ชาขาวผู่เอ๋อร์นั้นมีรสชาติหอมหวานและสดชื่น แต่สำหรับข้ามันก็เหมือนการดื่มน้ำเปล่า ดังนั้นอย่าให้มันเสียเปล่าเลย”
“เสี้ยนจู่ดื่มชาอะไร” ซูจือเยว่มองจ้องมองกู้เสี่ยวหวานไม่วางตาเมื่อรู้ว่านางก็โปรดปรานการดื่มชา แต่เพราะนางชอบในชาติชนิดหนึ่ง รสชาติของชาที่เข้มข้นนั้นจึงทำให้การดื่มชาอื่นมีรสชาติจืดชืด
“มันเป็นเพียงชาราคาถูกที่ข้าซื้อตามท้องถนน หลังจากได้ดื่มมันแล้วก็หาซื้อมันไม่ได้อีก” กู้เสี่ยวหวานยกชาขึ้นจิบอีกครั้งพลางส่ายหน้า แน่นอนว่าการดื่มชาหลานเสวี่ยและการดื่มชาอื่น ๆ นั้นไม่ดีเท่ากับการดื่มน้ำเปล่า
“เสี้ยนจู่ยังมีชานั้นอยู่หรือไม่ แบ่งให้ข้าบ้างสิขอรับ ข้าจะส่งคนไปรับมันที่เรือนท่าน” ซูจือเยว่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
กู้เสี่ยวหวานส่ายหน้า “ขอบคุณนายน้อยซูสำหรับความเมตตา ข้าต้มมันดื่มจนหมดแล้ว ข้าหาไม่ได้อีกแล้วจริง ๆ”
“เสี้ยนจู่อธิบายมาเถอะว่ามันมีลักษณะอย่างไร”
“เป็นแค่ชาราคาถูก แต่ข้าคิดว่ามันไม่ต่างจากชาทั่วไป” กู้เสี่ยวหวานปฏิเสธอีกครั้ง
หลังจากประสบกับการถูกปฏิเสธครั้งแรก ในตอนนี้ซูจือเยว่ก็รู้ว่าตัวเองแสดงท่าทีมากเกินไปเล็กน้อย และแอบเตือนตัวเองว่าต้องไม่ไปไกลเกินกว่านี้ ทั้งสองหยุดเรื่องชาไว้ตรงนั้นก่อน ซูจือเยว่เองก็ยังคงชงชาและรินชาให้กู้เสี่ยวหวานดื่ม
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างระมัดระวัง หากแต่ไม่มีผู้ใดพูดอะไรออกมา
กู้เสี่ยวหวานจำไม่ได้ว่านางดื่มชาไปกี่ถ้วยแล้ว แต่นางรู้เพียงว่ารสชานั้นอ่อนลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นซูจือเยว่กำลังจะรินชาให้นางใหม่ กู้เสี่ยวหวานจึงหยุดเขาแล้วพูดว่า “นายน้อยซู พอแล้วเจ้าค่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน ขอบคุณนายน้อยซูสำหรับการต้อนรับของท่าน”
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเตรียมออกจากที่นี่
ซูจือเยว่รู้สึกตื่นเต้นมาก ตอนที่เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับกู้เสี่ยวหวาน ระยะห่างเพียงแค่นี้มันทำให้ร่างกายของเขาชาวาบ แม้แต่เท้าของเขาก็แข็งทื่อราวกับว่าถูกกดจุดฝังเข็ม และไม่สามารถขยับตัวได้ ได้แต่นั่งอยู่อย่างนั่นขณะที่จิตใจกำลังยุ่งเหยิง เขาเก่งแต่เรื่องการชงชา และประหม่าจนพูดไม่ออกสักคำ แต่ความรู้สึกกระวนกระวายใจทำให้เขาได้สติอีกครั้ง เขาต้องการชงชาอีกหม้อเพื่อรั้งกู้เสี่ยวหวานไว้
กู้เสี่ยวหวานไม่รับรู้ความคิดในใจของเขา นางลุกขึ้นและเตรียมเดินจากไป
ไม่ง่ายเลยที่ซูจือเยว่จะเชิญนางมาได้ในวันนี้ เดิมทีเขาคิดว่าแผนที่คิดไว้จะถูกปฏิเสธ แต่สุดท้าย….นางก็ตกลงตอบรับคำเชิญ
จากความตื่นเต้นในตอนแรกสู่ความกังวลใจ ในเวลาต่อมาซูจือเยว่มองไปที่คนตรงหน้าเขา ปากหนักอึ้งไม่สามารถพูดอะไรได้
“เสี้ยนจู่ โปรดรอสักครู่” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินถึงประตูแล้ว ซูจือเยว่ก็รู้สึกประหม่าอย่างมาก และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดนางไว้
ฝีเท้าของกู้เสี่ยวหวานชะงักลง นางหันกลับมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก นางอยู่ใกล้แค่นี้แต่กลับรู้สึกว่าห่างไกลเหลือเกิน “นายน้อยซู มีอะไรอีกหรือเจ้าคะ”
“ข้าข้าข้า…” ซูจือเยว่ตะกุตะกักพูดไม่ออกอยู่นาน สร้างความสงสัยให้กู้เสี่ยวหวานเป็นอย่างมาก เมื่อมองไปที่ซูจือเยว่ที่ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ นางก็ตระหนักได้ว่าบุคคลผู้นี้ประหม่าเกินกว่าจะพูดออกมา
กู้เสี่ยวหวานไม่พูดอะไร และทำเพียงรอเขาเอ่ยออกมา ดวงตาของนางเป็นประกายราวกับว่ามีดาวที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้าอยู่ในดวงตานั้น
“เสี้ยนจู่ ข้าได้ยินมาว่าท่านคุ้นเคยกับเจ้าของร้านจิ่นฝูเป็นอย่างดี” ซูจือเยว่พูดจุดประสงค์ในการเชิญนางออกมาในครั้งนี้
หัวใจของกู้เสี่ยวหวานเกิดความสับสนวุ่นวาย ใบหน้ากลับเรียบสงบดังสายน้ำที่หยุดนิ่ง หากแต่ยังมีรอยยิ้มอยู่บริเวณมุมปากเสมอ “เป็นข้อมูลที่ดีมาก”
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานทำให้ซูจือเยว่กังวลอีกครั้ง เขาโบกมืออย่างกังวล และเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนก “ไม่ไม่ไม่ เสี้ยนจู่ อย่าเข้าใจข้าผิด มีวันหนึ่งข้าไปกินข้าวในร้านจิ่นฝู ตอนขึ้นไปด้านบน ข้าได้พบว่าเสี้ยนจู่และเถ้าแก่หลี่กำลังพูดคุยและหัวเราะอย่างมีความสุข และมีท่าทางคุ้นเคยกันดี”
ครั้งนั้น เป็นความหลังอันสวยงาม ที่ทำให้เขาจิตใจปั่นป่วน
ซูจือเยว่ไม่ได้เอ่ยประโยคสุดท้าย ตอนนี้เมื่อเขามองคนที่ได้ครอบครองใจเขา แม้ว่าจะได้พบกันแล้วแต่ความปรารถนาก็ไม่ได้ลดลง ตรงกันข้ามรอยยิ้มแปลกประหลาดนั้นทำให้หัวใจของเขาเกิดความลุ่มหลงยิ่งขึ้น
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยเห็นเขาในร้านจิ่นฝูมาก่อน ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดคือการค้นพบของเขาเอง และความวุ่นวายหน้าบ้านตระกูลหลี่เมื่อวานนี้คาดว่าหลายคนอาจรู้ถึงความความสัมพันธ์ระหว่างนางกับตระกูลหลี่แล้ว “ใช่แล้ว ข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่คอยดูแลในยามที่ข้าตกต่ำ”
ซูจือเยว่รู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความเคารพมากขึ้น
…………….
Comments