ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1604 สมรู้ร่วมคิดกับนาง
บทที่ 1604 สมรู้ร่วมคิดกับนาง
……….
บทที่ 1604 สมรู้ร่วมคิดกับนาง
“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน จุ้ยอวี้กู่ไจของพวกเราเป็นทรัพย์สินของหมิงอ๋อง ถ้าหากไม่มีร้านจิ่นฝูมาก่อกวนอยู่ตรงกลาง จุ้ยอวี้กู่ไจก็จะเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในเมืองหลวงมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่หลังจากที่สู้กันมานาน ร้านจิ่นฝูนั้นก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี คราวนี้ในเมืองหลวงเกรงว่าคงไม่มีร้านอาหารที่จะสามารถแข่งขันกับจุ้ยอวี้กู่ไจของพวกเราได้อีกแล้ว”
“ใช่แล้ว รสชาติอาหารจานนี้สุดยอดมาก กลับทำให้ข้านึกถึงแม่ขึ้นมา ฝีมือการทำอาหารของแม่ข้าเองก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่รู้ว่าทำไมรสชาติของอาหารจานนี้จึงเหมือนกับรสชาติอาหารที่แม่ทำ เห็นสิ่งของก็คิดถึงคน แม่ข้าตายไปสิบกว่าปีแล้ว พอข้าได้ลิ้มรสชาตินี้กลับกระตุ้นความทรงจำของข้าขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะให้ข้าได้พบหน้าพ่อครัวที่ทำอาหารจานนี้ได้หรือไม่ ข้าเองก็ต้องขอบคุณเขาอย่างมาก” กู้เสี่ยวหวานวางตะเกียบลงพลางกล่าวด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อย
ลูกจ้างได้ฟังก็รีบส่ายหัวพูดว่า “แม่นาง ไม่ใช่ว่าไม่อนุญาตให้ท่านพบ นี่เป็นกฏของจุ้ยอวี้กู่ไจของพวกเรา ทุกคนรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง พ่อครัวนั้นก็ต้องทำอาหารที่ห้องครัวด้านหลัง ตอนนี้ยังเป็นเวลาที่คนเยอะ เกรงว่าพ่อครัวคนนั้นเขาเองก็คงยุ่งอยู่ ท่านดูสิอาหารจานใหม่เหล่านี้ก็ล้วนมาจากฝีมือพ่อครัวผู้นั้นเท่านั้น ผู้อื่นไม่สามารถแตะต้องได้”
“อ่า จะต้องเหน็ดเหนื่อยมากขนาดไหนที่เขาต้องทำอาหารทั้งหมดออกมาเพียงคนเดียว จุ้ยอวี้กู่ไจพวกเจ้าน่าจะมีพ่อครัวคนอื่นด้วยล่ะสิ” กู้เสี่ยวหวานถามอย่างไม่ตั้งใจ
“ไม่มีทาง อาหารจานใหม่นี้ถูกคนเลียนแบบได้ง่ายมากเกินไป พวกเราคิดอาหารเหล่านี้ออกมานั้นไม่ง่ายเลย ถ้าหากถูกร้านอื่นลอกเลียนไปก็จะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว ดังนั้นช่วงนี้พ่อครัวผู้นั้นจึงทำอาหารคนเดียว รอจนร้านอาหารอื่น ๆ เลียนแบบได้ใกล้เคียงแล้ว เขาถึงจะออกมาจากห้องครัวเล็ก”
เหมือนกับร้านจิ่นฝูอย่างกับแกะ
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม “ขอบคุณเจ้ามาก รีบช่วยพวกเราตักข้าวเถอะ เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วพวกเรายังมีธุระต้องทำอีก”
ทันทีที่ลูกจ้างนั้นปิดประตู ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานก็เปลี่ยนเป็นสีดำทันที
“แม่นางเป็นเขาที่อยู่ที่นี่และยังเนรคุณร้านจิ่นฝูมาที่จุ้ยอวี้กู่ไจอีก ร้านจิ่นฝูปฏิบัติต่อเขาอย่างดี แต่เขากลับทำเรื่องที่ทรยศเจ้านายเช่นนี้ออกมา ข้าจะไปสั่งสอนบทเรียนดี ๆ ให้เขา” อาโม่โกรธจนลุกยืนขึ้นกำหมัดแน่นทำท่าจะเดินออกไปด้านนอก
“นั่งลง นี่เป็นเขตของหมิงอ๋อง กลัวว่าเมื่อเจ้าบุกไปยังไม่ทันถึงห้องครัวเล็กก็จะเปิดเผยพวกเราแล้ว ซูหมิ่นรู้จักพวกเรา หากถูกนางจำได้ก็จะต้องรู้แน่ว่าพวกเราค้นพบอู๋เทียน ถ้ามาฆ่าคนปิดปากพวกเราก็จะไม่สามารถถามอะไรได้แล้ว” กู้เสี่ยวหวานรีบหยุดเขาและเกลี้ยกล่อมให้เขาใจเย็น
“แม่นาง เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี หรือว่าจะปล่อยให้จุ้ยอวี้กู่ไจใช้อำนาจรังแกคนอื่นเช่นนี้หรือ ข้าเดาว่าเรื่องที่คนตายนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นฝีมือของจุ้ยอวี้กู่ไจ พวกเรามัดอู๋เทียนไว้แล้วบังคับให้เขาพูดความจริงออกมาจากนั้นก็ไปช่วยเถ้าแก่หลี่เถอะ” อาโม่พูดอย่างกระตือรือล้น
กล่าวอย่างไม่ปิดบังว่าจุ้ยอวี้กู่ไจนี้เป็นทรัพย์สินของหมิงอ๋อง แต่ร้านจิ่นฝูนั้นยังคงอยู่
อาโม่ขมวดคิ้วและมองไปรอบ ๆ การตกแต่งที่หรูหราฟุ่มเฟือยของจุ้ยอวี้กู่ไจเช่นนี้นั้นเหมือนกับอุปนิสัยของหมิงอ๋องทุกประการ
“ไม่ต้องรีบ ทานอาหารกันก่อนและพวกเราค่อยกลับไปคุยกัน ระวังไว้ว่ากำแพงมีหู” กู้เสี่ยวหวานกล่าวพลางชี้ไปตรงประตูที่สะท้อนเงาคนไป ๆ มา ๆ บนหน้าต่าง
อาโม่และอาจั่วเงียบเสียงลงทันทีและไม่เอ่ยอะไรสักคำ นั่งทานอาหารด้วยกันอย่างเงียบเชียบ
ทั้งสามคนทานอาหารเสร็จจึงกลับไปที่สวนชิง
ก่อนจะจากไป กู้เสี่ยวหวานก็ได้ให้เงินแก่ลูกจ้างผู้นั้นอีกไม่น้อย ลูกจ้างผู้นั้นยิ้มแย้มจนตาหยีเห็นแต่ฟัน เคารพนอบน้อมอยู่ตลอดเพื่อให้กู้เสี่ยวหวานกลับมาอีก
เงินที่ได้รับทั้งหมดนี้เป็นเงินพิเศษของพวกลูกจ้าง ไม่จำเป็นต้องมอบให้ร้านอาหาร
วันนี้ได้รับเงินมาเกือบหกตำลึง แต่ว่านั่นเป็นเงินเดือนทั้งสามเดือนของเขาเชียวนะ ยิ่งคิดจึงยิ่งมีความสุขมาก
ภายในกองกำลังรักษาความสงบ ไฟกระถ่างหนึ่งให้แสงสว่างข้างในคุก ข้าง ๆ กระถ่างไฟนั้นมีร่างของคนผู้หนึ่งที่ถูกทุบตีจนเละเทะ ทั้งยังถูกแขวนไว้บนโซ่เหล็กโดยที่มือทั้งสองถูกมัดห้อยเอาไว้ กระทั่งร่างนั้นได้หมดสติไปแล้ว
“ใต้เท้า เขาหมดสติไปแล้ว”
“หมดสติไปแล้วก็ใช้น้ำสาดให้ตื่นแล้วเฆี่ยนต่อ จะต้องถามเรื่องอื่นออกมาให้ได้” ในบรรดากลุ่มผู้คุมนั้น มีชายคนหนึ่งที่แต่งตัวแตกต่างจากผู้อื่น อายุประมาณสามสิบห้าปี กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณ ในมือยังถือถ้วยชาเอาไว้พลางดื่มชาอย่างสบายอกสบายใจ ไม่สนใจกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งในห้องสอบสวนนี้เลยแม้แต่น้อย
ซ่า!
น้ำถังหนึ่งถูกสาดลงไป ชายคนนั้นก็ค่อย ๆ ได้สติและเปิดเปลือกตาขึ้น นัยน์ตาเฉียบแหลมมองผ่านใบหน้าที่ถูกเฆี่ยนตีจนไม่มีชิ้นดีแล้ว สามารถมองออกได้ทันทีว่าคนผู้นั้นก็คือหลี่ฝาน
“เถ้าแก่หลี่ ร้านจิ่นฝูของเจ้าทำกิจการตั้งมากมายรวมถึงร้านฝูจิ่นอีกหนึ่งแห่ง หลายปีที่ผ่านมานี้ได้ครองตำแหน่งร้านอาหารอันดับหนึ่งในต้าชิงมาอย่างมั่นคง ข้าจะถามเจ้าอีกรอบว่าเจ้าทำงานให้ผู้ใดกันแน่”
สามารถตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองหลวงได้ หลายปีที่ผ่านมานี้ยังครองอันดับหนึ่งไว้อย่างมั่นคง แม้แต่จุ้ยอวี้กู่ไจที่ได้รับการสนับสนุนจากหมิงอ๋องก็ยังไม่อาจเทียบได้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังฐานะนั้นยังเป็นปริศนา
“ข้าเป็นเถ้าแก่ของร้านจิ่นฝูเบื้องหลังไม่มีผู้ใด” หลี่ฝานพูดออกมาจนหอบแฮ่ก แต่ในคำพูดนั้นกลับมีความหนักแน่น “ร้านจิ่นฝูและร้านฝูจิ่นเป็นเลือดเนื้อของข้า”
“โอ้ ไม่มีผู้ใด” เซี่ยงหย่วนหลินหัวเราะเยาะ ในแววตาฉายความเย้ยหยันแฝงด้วยความชั่วร้ายพาดผ่านไป “ในเมื่อเถ้าแก่หลี่จำไม่ได้ว่ามีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง เช่นนั้นก็ให้ข้าปรนนิบัติเถ้าแก่หลี่ให้ดีกว่านี้ ในเมื่อเขาขี้หลงขี้ลืมนัก พวกเจ้าต้องคอยปรนนิบัติให้ข้าดี ๆ จะต้องให้เถ้าแก่หลี่ค่อย ๆ พูดออกมาว่าร้านจิ่นฝูที่ใหญ่โตนี้ ยังมีผู้ใดเป็นผู้ดูแลจัดการอยู่ข้างในอีกกันแน่”
“รับทราบ” มีผู้คุมหยิบแส้ขึ้นมาและกำลังจะหวดลงไปก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตู
“ใต้เท้า ใต้เท้า มีคนสารภาพแล้ว มีคนสารภาพแล้ว” ผู้คุมคนหนึ่งวิ่งมาจากประตูและคุกเข่าลงตรงหน้าเซี่ยงหย่วนหลิน แส้ที่เปรอะเปื้อนเลือดนั้นยังคงถืออยู่ในมือ
หลี่ฝานเบิกตากว้างในทันทีก็เห็นเซี่ยงหย่วนหลินหัวเราะเย้ยหยัน “โอ้ สารภาพออกมาแล้ว เป็นผู้ใด”
“ลูกจ้างของร้านจิ่นฝูยืนกรานที่จะไม่พูดอะไร ข้าน้อยจึงใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดก็งัดปากคนงานอีกคนออกมาได้ ลูกจ้างผู้นั้นสารภาพออกมาว่าเสี้ยนจู่อันผิงกู้เสี่ยวหวาน บอกว่าคนผู้นี้มักจะไปที่ร้านจิ่นฝู อาหารใหม่ทั้งหมดในร้านจิ่นฝูนั้นล้วนเป็นนางที่คิดออกมา”
……….
Comments