ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1607 โหยวกุ้ยเฟยผู้โหดเหี้ยม
บทที่ 1607 โหยวกุ้ยเฟยผู้โหดเหี้ยม
……….
บทที่ 1607 โหยวกุ้ยเฟยผู้โหดเหี้ยม
โหยวกุ้ยเฟยทุกข์ทรมาน
ความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมดของนางถูกทำลายด้วยคำพูดเมื่อครู่จนหมดสิ้น
ผู้สำเร็จราชการ ผู้สำเร็จราชการคนนั้น หากไมใช่เพราะเขา นางจะเสียสติจนควบคุมตนเองไม่ได้ และทำให้ขันทีฉีขุ่นเคืองใจได้อย่างไร
“เหนียงเหนียง พวกเรากลับไปคิดหาวิธีก่อนเถอะ”
จือฉินประคองร่างกายที่สั่นเทาของโหยวกุ้ยเฟย และพูดด้วยความหวาดกลัว เมื่อครู่ เหนียงเหนียงล่วงเกินขันทีฉีเข้าแล้วจริง ๆ
ฉินเย่จือเข้าไปในห้อง ปลดหน้ากากสีทองที่ปกปิดใบหน้าตนเองลง ใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความโกรธ ทำให้ผู้คนเสียสติไปครู่หนึ่ง
ซูเทียนซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดง มองไปที่กระดานหมากล้อมข้างหน้าและครุ่นคิดไม่ตก ครั้นเห็นฉินเย่จือกลับเข้ามา เขารีบดึงแขนเสื้อ “เย่จือ เจ้ารีบมาดู ข้าควรเดินไปทางไหน ทางนี่ก็ตัน ถ้าฝ่ายตรงข้ามพิชิตด้วยกลยุทธ์อันแยบยล ข้าจะแพ้ไม่เป็นท่า ถ้าเดินมาที่นี่ ข้าไม่สามารถเดินไปไหนได้ ข้าคิดมาทั้งคืนแล้ว คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก”
ฉินเย่จือเหลือบมองกระดานหมากล้อมตรงหน้า จากนั้นหยิบตัวหมากออกมาจากกล่องหมากล้อมอย่างใจเย็น และวางมันลงอย่างเชื่องช้า
“แต่ถ้าเดินมาที่นี่ ข้าจะถูกฝ่ายตรงข้ามกิน” ซูเทียนซื่อขมวดคิ้วมุ่น เห็นฉินเย่จือหยิบหมากที่เคยถูกกินขึ้น วางลงไปอีกครั้งหนึ่ง เม็ดหมากล้อมสีดำที่ไม่สามารถบอกผู้ชนะได้ในตอนนี้ และไม่รู้จะหาหนทางหนีรอดได้อย่างไร ในตอนนี้ก็คิดออกแล้ว เม็ดหมากล้อมสีขาวถูกปิดกั้นทางทั่วทุกสารทิศ หลบหนีไปทางไหนก็ไม่อาจทำได้
เมื่อมองดูตอนนี้ ฝ่ายดำเป็นผู้ชนะ และฝ่ายขาวจะต้องแพ้อย่างแน่นอน
“เฮ้ จือเย่ เคล็ดลับของเจ้าเรียกว่าอะไร” ซูเทียนซื่อมองไปที่กระดานหมากล้อมอย่างตื่นเต้น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข
“ยอมตายเพื่อที่จะชนะ หากอยากชนะต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจ หากเราไม่ยอมหลอกล่ออีกฝ่าย เขาจะลดเกราะป้องกันได้อย่างไร” ฉินเย่จือรับชาโสมที่ขันทีฉีนำมาให้ และพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทำให้เขาตายใจ” ซูเทียนซื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง มองไปที่กระดานหมากล้อมอีกครั้งจากนั้นก็ตบมือและหัวเราะเสียงดัง “ยอมตายเพื่อให้เขาตายใจ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ถ้าไม่ให้เขาตายใจก่อนจะทำให้เขาลดความระวังไปได้อย่างไร นี้เรียกว่าจู่โจมในขณะที่อีกฝ่ายเผลอ”
ซูเทียนซื่อยิ้มและหยิบหมากสีขาวที่ถูกกินแล้วโยนเข้าไปในกล่องทีละชิ้น ในพริบตาบนกระดานหมากล้อมที่ทำมาจากไม้จันทน์แดงประณีต เหลือเพียงตัวหมากสีดำเท่านั้นที่ครองพื้นที่ทั้งกระดานทั้งหมด
“โหยวกุ้ยเฟยมาหรือ?” ซูเทียนซื่อถามด้วยรอยยิ้ม
ขันทีฉีก้มศีรษะลงขานรับเสียงเบา
“รายงานฝ่าบาท เป็นความจริงที่กุ้ยเฟยขอให้ฮ่องเต้ตัดสินใจเพื่อคืนความยุติธรรมแก่ผู้ตาย” ขันทีฉีกล่าวท่าทีนอบน้อม
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกสิ ข้าควรให้ความยุติธรรมแก่นางหรือไม่” ซูเทียนซื่อถามขึ้นทันที และเหลือบมองขันทีฉีเล็กน้อย
ขันทีฉีไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะถามความคิดเห็นของตัวเอง ตอนแรกพลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ไม่นานก็กลับมารู้สึกตัว โค้งคำนับและพูดด้วยความเคารพ “กระหม่อมคิดว่า เรื่องนี้ควรให้กองกำลังรักษาความสงบจัดการ เรื่องนี้เป็นความปลอดภัยของประชาชน ทหารเหล่านั้นอยู่ใต้การปกครองของฮ่องเต้ หากไม่มีหลักฐานแน่ชัด ไม่มีใครสามารถฆ่าคนเพื่อระบายความโกรธและใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ได้”
“เย่จือ เจ้าเห็นหรือไม่ ขันทีข้างกายข้าไม่ได้เรียนหนังสือก็รู้ว่าไม่สามารถฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ แต่กุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ของข้า ผู้ซึ่งอ่านหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าเป็นนางสนมที่ดี พี่สาวที่แสนดี แต่กับคนอื่นจะมีน้ำใจให้กันสักครึ่งไม่มี” ซูเทียนซื่อตะคอกอย่างเย้ยหยัน ทำให้ขันทีฉีก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว และอุณหภูมิรอบกายก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ก้มหัวลง ขันทีฉีพลันนึกถึงวาจาถากถางของโหยวกุ้ยเฟยเมื่อครู่ ทุกถ้อยคำที่เปล่งมาล้วนประจบประแจงตนเอง หากลองคิดดูคงจะใช้ฝีปากอ่อนหวานหลอกล่อคนมาไม่น้อย
ขันทีฉียังคงก้มหน้างุด ยืนห่าง ๆ ด้วยความเคารพ ก้มหน้าเพราะรู้สึกละอายใจ ไม่ได้ถือเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มาใส่ใจ
เขาไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ ฝ่าบาทเอ่ยเช่นนี้มิใช่เพื่อล้างแค้นให้ตนเองหรอกหรือ?
เขาลอบยิ้มในหัว และแผ่นหลังนั้นดูเหมือนจะยืดขึ้นเล็กน้อย
โหยวกุ้ยเฟยไม่รู้ตนเองกลับมาถึงตำหนักได้อย่างไร นางเอนกายนอนครุ่นคิดอยู่บนตั่งซึ่งถูกรองด้วยเบาะหนานุ่น จือฉินที่กลับมาพร้อมรีบผละไปเตรียมน้ำชา
โหยวกุ้ยเฟยหยิบชาขึ้นจิบ ทว่าน้ำชาร้อนลวกจนนางพ่นออกมาแทบไม่ทัน นางพลิกถ้วยชาแล้วสาดชาร้อนใส่ใบหน้าของจือฉินด้วยความโกรธ
ใบหน้าแดงก่ำ หากแต่จือฉินไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดมันออก จึงได้แต่ก้มหน้าและร้องขอความเมตตา
“นางทาสต่ำต้อย! เจ้าอยากให้ข้าตายหรืออย่างไรกัน” โหยวกุ้ยเฟยใช้มือจิกทึ้งใบหน้าและทั่วร่างกายอีกฝ่าย
เมื่อครู่ถูกชาชาร้อน ๆ สาด ใบหน้านั้นก็แดงก่ำอย่างน่าหวาดกลัวอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาถูกกุ้ยเฟยทำร้ายใบหน้าจนขึ้นสีแดงกว่าเก่า และจากหางตาถึงมุมปากเต็มไปด้วยร่องรอยของเล็บ และเลือดไหลซิบดูน่ากลัว
จือฉินถูกโหยวกุ้ยเฟยทุบตีแบบนั้น แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ
ทำได้เพียงเอามือกุมศีรษะ นอนหมอบอยู่กับพื้น ปิดปากแน่น และยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทำร้ายร่างกายตน
ไม่รู้ว่าถูกทุบตีเป็นเวลานานเท่าใดแล้ว โหยวกุ้ยเฟยเหนื่อยจากการทุบตี จือฉินในตอนนี้หมอบหมดสภาพอยู่บนพื้น ใบหน้าไม่มีส่วนไหนที่ดีเลย ตามร่างกายยังเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกขีดข่วน
ผิวหนังที่อยู่ในร่มผ้า ไม่รู้ว่าตอนนี้รอยฟกช้ำเป็นอย่างไร
เมื่อรู้สึกเหนื่อย โหยวกุ้ยเฟยเอนหลังลงบนตั่งนุ่ม ๆ มองไปที่จือฉินซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครั้ง และกล่าววาจาชั่วร้าย “ถ้าคนอื่นถามเจ้า เจ้าควรจะพูดว่าอย่างไร”
“บ่าวจะบอกว่า…” ใบหน้าของจือฉินเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน แม้แต่ปากก็มีเลือดไหลซึมออกมา ในปากคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด “บ่าวจะบอกว่า…บ่าวแพ้อาหาร เผลอไปเกาใบหน้าจึงกลายเป็นเช่นนี้”
“ในกล่องข้ามียาทา เจ้าไปหยิบมาใช้ได้ ช่วงนี้อย่าโผล่หน้ามาให้ใครเห็น หากมีใครพบเข้า เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าจะจัดการอย่างไร” โหยวกุ้ยเฟยเหลือบมองจือฉิน ดวงตาเย็นชาคู่นั้นดุร้ายราวกับอสรพิษที่พร้อมเขมือบเหยื่อทุกเมื่อ
……….
Comments