ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1624 ผู้ใดเป็นรักแท้ของเขา
บทที่ 1624 ผู้ใดเป็นรักแท้ของเขา
……….
บทที่ 1624 ผู้ใดเป็นรักแท้ของเขา
สีหน้าของโหยวไท่ซือเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในน้ำเสียงก็ยังพูดอย่างไม่ชัดเจน “เจ้าไม่ต้องไปหาเขาอีกแล้ว วันนี้ที่ท้องพระโรง เขาก็ตำหนิข้าอย่างรุนแรง”
“ท่านพ่อว่าอย่างไรนะ เทียนซื่อเขาตำหนิท่าน เขาทำได้อย่างไรกัน” สีหน้าโหยวกุ้ยเฟยตกตะลึง “ท่านเป็นอาจารย์ของเขานะ”
โหยวกุ้ยเฟยตกใจจนเอ่ยเรียกพระนามของฮ่องเต้ออกมาทันที
เมื่อเห็นนางเสียมารยาทเช่นนี้ โหยวไท่ซือจึงชำเลืองตามองโหยวกุ้ยเฟยและกล่าวเตือนอย่างจริงจังว่า “เจ้าอย่าลืมว่าเขาเป็นฮ่องเต้ ไม่ใช่เทียนซื่อของเจ้า นอกจากนี้สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือคืออำนาจและชีวิตของผู้คนในแผ่นดิน”
“แต่ว่าท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าเขาเชื่อฟังคำพูดของท่านมากมาตลอดหรอกหรือ ท่านให้เขาแต่งงานกับข้า เขาก็แต่งงานกับข้า” โหยวกุ้ยเฟยกล่าวอย่างประหลาดใจ
“เชื่อฟัง” โหยวไท่ซือหัวเราะอย่างเย็นชา “เมื่อตอนนั้นเขายังเป็นเพียงแค่เด็ก ปีกยังไม่แข็งพอจะโบยบิน ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าพูดอะไรเขาก็เชื่อฟัง แต่ว่าตอนนี้เขาเติบโตขึ้นจนปีกแข็งแรงแล้ว เขายังจะต้องเชื่อฟังคำพูดของข้าเสียที่ไหนกัน” โหยวไท่ซือฝืนยิ้มและส่ายหัวอย่างจนใจ
นั่นเป็นโอรสของสวรรค์ เขาไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของผู้ใด แม้ว่าก่อนหน้าจะเคยเชื่อฟังมาก่อน แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าสถานการณ์บีบบังคับ เขาจำเป็นต้องพึ่งพาความสามารถที่ตัวเองเชื่อถือเพื่อให้บัลลังก์ของตัวเองมั่นคง ในตอนนี้บัลลังก์ของเขามั่นคงแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของผู้ใด
“ท่านพ่อเช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่รักข้าแล้วหรือ” พอโหยวกุ้ยเฟยได้ฟัง ความรู้สึกเสียใจก็ปรากฏออกมาบนใบหน้าที่งดงาม “เป็นเพราะว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาท่านพ่อแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจข้าแล้วงั้นหรือ”
โหยวไท่ซือมองดูบุตรสาวที่น่าภูมิใจของตัวเองด้วยสายตาล้ำลึก
เมื่อตอนนั้นเขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือของฝ่าบาท รับผิดชอบสอนหนังสือและมารยาทให้ฮ่องเต้น้อย ในตอนนั้นฮ่องเต้น้อยเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์และยังอายุน้อย อีกทั้งยังมีหมิงอ๋องที่เป็นผู้ใหญ่แล้วคอยจ้องมองอย่างละโมบ ที่นั่งบนบัลลังก์จึงสั่นคลอนมาก ในตอนนั้นฮ่องเต้น้อยเชื่อฟังตนมาก เมื่อใดที่พบเจอปัญหาหรืออะไรที่ยากลำบากก็จะมาพึ่งพาและขอคำแนะนำจากเขา
เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ตอนนั้นความสัมพันธ์ของเหอเอ๋อร์กับฮ่องเต้จึงดีมาก ทั้งสองมักพูดคุยอย่างเป็นกันเองก็นับว่าสนิทสนมกัน
แต่ว่าฝ่าบาทกลับไม่เคยกล่าวอะไรกับเหอเอ๋อร์เลย เพียงแต่ว่าต่อมาภายหลังเหอเอ๋อร์ได้บอกกับตนเองว่านางชมชอบฝ่าบาท อยากเข้าวังเพื่อรับใช้ฝ่าบาท นางไม่กล้าเอ่ยปาก ฝ่าบาทเองก็ไม่เคยกล่าว ดังนั้นเพื่อความสุขชั่วชีวิตของบุตรสาวเขาจึงไปพูด
ในเวลานั้นเขาโอบกอดความเห็นแก่ตัวเอาไว้ ถ้าหากบุตรสาวของตนได้กลายเป็นผู้สูงศักดิ์ในพระราชวังจริง ๆ เช่นนั้นตระกูลโหยวก็จะเรืองอำนาจ
ตอนนั้นโหยวไท่ซือไม่ได้คิดอะไร เขาก็ตรงมาหาฝ่าบาทแล้วกล่าวเรื่องนี้ทันที
ตอนนั้นหลังจากที่ฝ่าบาทได้ฟังคำขอของเขาแล้ว ก็ได้เฝ้ามองตัวเขาอยู่สักพักหนึ่งและไม่ได้กล่าวอะไรเป็นเวลานาน
ขณะที่โหยวไท่ซือรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกเขาปฏิเสธ ตอนที่คิดว่าฝ่าบาทจะเอ่ยปากปฏิเสธนั้น ไม่คาดคิดว่าฝ่าบาทจะตอบตกลงด้วยรอยยิ้มและยังกล่าวว่า ตนเองกับเหอเอ๋อร์นั้นสนิทสนมกันจึงมีความตั้งใจเช่นนี้มานานแล้ว ในเมื่ออาจารย์เอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นก็เลือกวันต้อนรับเหอเอ๋อร์เข้าพระราชวัง
มองดูหน้าตายินดีของฝ่าบาทที่ปราศจากแผนการและผลประโยชน์อันยุ่งเหยิง เหมือนกับว่า เป็นเพราะเขาชอบเหอเอ๋อร์อย่างแท้จริงเท่านั้น
ภายหลังโหยวเหล่าซือได้เล่าเรื่องนี้กับโหยวเหอ บอกว่าตอนนั้นเมื่อฝ่าบาทได้ฟังก็ได้รีบตอบรับ ตอนนั้นเขาปกปิดเรื่องราวความรู้สึกที่ครุ่นคิดนี้ไว้มานานแล้ว
ในเมื่อตัดสินใจจะเข้าวัง คำพูดบางอย่างจึงไม่จำเป็นต้องพูด เช่นนั้นก็อย่าได้พูดถึงขึ้นมาอีกเลย
ต่อมาเหอเอ๋อร์ได้เข้าพระราชวังและได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย ด้วยเกียรติยศเช่นนี้จึงโดดเด่นอย่างมากในเมืองหลวง
นอกจากนี้ไทเฮายังกล่าวว่าฮ่องเต้ยังอายุน้อย จึงต้องทุ่มเทความคิดทั้งหมดให้กับแผ่นดิน ดังนั้นในวังหลวงจึงมีเพียงฮองเฮาและกุ้ยเฟยอีกสองคนเท่านั้น ไม่มีนางสนมคนอื่นอีกแล้ว
ผู้คนน้อย ฮ่องเต้จึงต้องแสดงความโปรดปรานอย่างเท่าเทียมกัน จึงมองไม่ออกว่าจะดีต่อผู้ใดและโปรดปรานผู้ใดมากกว่า
คนของราชวงศ์แต่เดิมก็ไร้ซึ่งความปราณีอยู่แล้ว มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกันมากมาย หากจะบอกว่ารัก ฮ่องเต้นั้นจะสามารถรักผู้ใดได้
หากว่ามีความรักจริง เช่นนั้นก็คงไม่ใช่เหอเอ๋อร์อย่างเด็ดขาด
ถ้าหากมีใจชอบนางจริง ในปีนั้นฝ่าบาทคงพานางเข้าวังไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางเอ่ยปาก
หรืออีกอย่าง ในปีนั้นตอนที่โหยวไท่ซือพูดถึง ฝ่าบาทจะต้องยินดีอย่างมากและเห็นด้วยโดยไม่แม้แต่จะต้องครุ่นคิด
เวลาครุ่นคิดเพียงครึ่งก้านธูปนั้นก็หมายความว่า เขาแต่งงานกับเหอเอ๋อร์เป็นเพราะว่าถูกบังคับ
ถูกโหยวไท่ซือและเหอเอ๋อร์บีบบังคับ
ตอนนี้ปีกของเขาแข็งแล้ว พวกที่เคยข่มเหงเขาไว้ ในตอนนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องมองดูสีหน้าของกลุ่มคนเหล่านั้นอีก
เหอเอ๋อร์ไม่เข้าใจ แม้แต่โหยวไท่ซือเองเมื่อวานนี้ก็ยังไม่เข้าใจ แต่ว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
เขาคิดมาตลอดว่าผู้ที่หล่อเหลาผู้นี้ ยังเป็นเด็กน้อยที่พยักหน้าท่องจำบทความตรงหน้าเขาเมื่อตอนนั้น จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเวลาจะผ่านไปรวดเร็วเช่นนี้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังเป็นเด็กอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เด็กที่ผู้ใดจะสามารถรับมือได้อีกต่อไป
ทว่าตอนนี้ค้นพบก็สายไปแล้ว ความสามารถที่เขาได้แสดงออกมา ทำให้ฝ่าบาทเคลือบแคลงสงสัยขึ้นมาแล้ว
“นางกำนัลข้างกายเจ้าเล่า” โหยวไท่ซือคาดเดาได้ก็ถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่ได้บอกความคิดของตนเองให้กับโหยวเหอ ถ้าหากบอกนางแล้ว ด้วยนิสัยที่ขี้ระแวงสงสัยของนางนั้น เกรงว่าจะก่อปัญหาอะไรขึ้นมา
เมื่อครู่คนที่เข้ามาเป็นหนึ่งในนางกำนัลทั้งสี่ข้างกายกุ้ยเฟย ทั้งหมดนั้นพามาจากตระกูลโหยว หลังจากเข้าไปในตำหนักแล้วก็เจอกับจือฉีและจือฮั่ว
โหยวกุ้ยเฟยมีนางกำนัลข้างกายสี่คน ที่พามาจากตระกูลโหยวและไม่เคยอยู่ห่างจากกาย
ชื่อของนางกำนัลไม่ได้ตั้งชื่อเรียง ฉิน ฉี ซู ฮั่ว ตามสี่ตัวอักษรนี้ แต่ตั้งชื่อเรียงตามระดับความสามารถ ฉิน ฉี ซู ฮั่ว ของโหยวกุ้ยเฟย
จือซูเป็นสาวใช้ของนาง แสดงว่านางมีความรู้ลึกซึ้งมาก ในบรรดาทักษะทั้งสี่นั้นฉินอยู่อันดับท้ายสุด แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่อันดับท้ายสุด แต่ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตะลึงจนทอดถอนใจ
“อีกคนหนึ่งเล่า” โหยวไท่ซื่อเห็นสามคนแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าชื่ออะไร แต่ก็จำได้เสมอว่าต้องมีสี่คน
เพียงแต่เขามาที่นี่แล้วยังเห็นเพียงแค่สามคนเท่านั้น จึงรู้สึกแปลกเล็กน้อย
“คนนั้นร่างกายเป็นภูมิแพ้ กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง” โหยวกุ้ยเฟยพูดอย่างไม่สนใจ
แต่พอโหยวไท่ซือได้ฟัง สีหน้าก็ดำทะมึนและพูดว่า “เจ้าลงโทษคนรับใช้อีกแล้วใช่หรือไม่”
โหยวไท่ซือพูดจบก็เห็นสีหน้าของโหยวกุ้ยเฟยพังทลายลง “ท่านพ่อ สาวใช้พวกนี้ไม่ได้ดั่งใจข้าเลย ติดตามข้ามาตั้งนานแล้วก็ยังไม่รู้ว่าควรจะปรนนิบัติข้าอย่างไร”
……….
Comments