ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1630 ความคิดของขันทีฉี
บทที่ 1630 ความคิดของขันทีฉี
……….
บทที่ 1630 ความคิดของขันทีฉี
เมื่อเทียบกับฟางเพ่ยหยาแล้ว พระราชวังอันโอ่อ่าและสูงตระหง่านแห่งนี้เทียบได้กับความน่ากลัวของกองกำลังรักษาความสงบ เป็นสถานที่ที่สามารถกินคนไม่เหลือแม้แต่กระดูกได้
ถานอวี้ซูเห็นนางเป็นกังวลจึงรีบปลอบใจ “เพ่ยหยาเจ้าวางใจเถอะ ท่านพี่ต้องไม่เป็นอะไร เสด็จพี่ฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่แยกแยะถูกผิดไม่เป็น”
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาพูดใส่หูของฟางเพ่ยหยาว่าฮ่องเต้เป็นคนดี
ชีวิตของฮ่องเต้ถูกกำหนดมีสถานะสูงส่ง ยืนอยู่บนยอดเขาอันเหน็บหนาวเกินไป และถูกกำหนดให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
เขาเป็นคนที่อยู่เหนือทุกคน และถูกกำหนดไว้ว่าจะไม่มีใครสามารถเป็นสหายกับเขาได้จนเขาแก่
ถานอวี้ซูปลอบฟางเพ่ยหยาแล้วตามกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในบ้าน
หลังจากกู้ฟางสี่ได้ยินสิ่งนี้ ก็รีบหาชุดให้กู้เสี่ยวหวานเลือกสองสามชุด
กู้เสี่ยวหวานตัดสินใจสวมชุดกงจวงสีฟ้าสดใส อาจั่วและโค่วตันรอให้นางใส่ชุดแล้วจึงแต่งหน้าและหวีผมให้นาง
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็เห็นหญิงสาวรูปร่างสง่างามปรากฏอยู่ในกระจก ช่างดูโดดเด่นเป็นประกาย หากแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้า
สูงส่งและสง่างามทำให้ผู้คนไม่กล้าสบประมาท
“ไปเถอะ” กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าจัดการตัวเองเรียบร้อยพลันเอ่ยขึ้น มันไม่สำคัญว่าตัวนางจะแต่งตัวแบบไหน ขอเพียงไม่มีสิ่งใดผิดปกติก็เพียงพอแล้ว จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
นางต้องเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แน่นอนว่าไม่สามารถให้ฮ่องเต้รอนางได้
กู้เสี่ยวหวานมาถึงที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว ก็เห็นขันทีฉียืนพักสายตาอยู่ที่นั่น
ผู้คนที่รอดูเรื่องสนุกมากมายเมื่อครู่ได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว
เซี่ยงหย่วนหลินพร้อมกับองค์รักษ์ได้กลับไปแล้ว
ตอนนี้เกี้ยวที่ส่งมาจากวังได้หยุดลงหน้าประตูของสวนชิง ขันทีฉีรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานออกมา ตอนที่เซี่ยงหย่วนหลินจากไป เดิมทีเขาคิดว่าจะต้องรออีกสักพักหนึ่ง แต่นางกลับไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานถึงเพียงนั้น
อีกทั้งเมื่อมองเครื่องแต่งกายและใบหน้าที่ถูกแต่งเติม ก็พบว่านางแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าและหวีผมใหม่ ไม่ได้แต่งตัวโดดเด่นจนเกินงาม
มองดูใกล้ ๆ ชุดสีฟ้า ใบหน้าขาวสะอาดปราศจากแป้งนั้นดูสง่างาม สูงศักดิ์ บริเวณเอวผูกด้วยผ้าคาดเอวสีเดียวกันยิ่งขับให้ร่างนั้นดูผอมบาง รูปร่างที่สง่างามและรอยยิ้มล้วนทำให้ทุกสิ่งสดใส ประกายแวววาวในดวงตากลมโตคู่นั้นก็ทำให้คนมองแล้วรู้สึกสดชื่น
หลังจากที่ขันทีฉีมองอย่างเงียบ ๆ ในใจก็รู้สึกประทับใจมากยิ่งขึ้น
งดงามพราวเสน่ห์ สง่างามแต่ไม่อ่อนช้อย มีสง่าราศี ดูสูงส่งอย่างหาได้ยาก
เกิดมารูปร่างงดงามขนาดนี้ หากได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้เป็นการส่วนพระองค์ หากเป็นสตรีจากตระกูลอื่นคงแต่งตัวงดงามชดช้อยไปแล้ว
แต่นางกลับเคร่งขรึมเย็นชา
“เสี้ยนจู่รวดเร็วจริง ๆ ข้ายังคิดว่าต้องรออีกสักพัก” ขันทีฉีพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขันทีเป็นผู้อาวุโส เสี่ยวหวานเป็นเด็ก ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้อาวุโสจะต้องรอเด็ก” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยความเคารพ
พ่อกู้และแม่กู้เข้มงวดมากในเรื่องการศึกษา ให้ความสำคัญกับการศึกษาของกู้เสี่ยวหวานแต่ก็สนใจชีวิตของกู้เสี่ยวหวานด้วย
การเรียนรู้มีความสำคัญพอ ๆ กับการใช้ชีวิต และสำคัญกว่าการเรียนรู้ด้วยซ้ำ
การใช้ชีวิตนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เคารพนับถือผู้อาวุโสและรักเด็กเป็นคุณธรรมดั้งเดิม กู้เสี่ยวหวานถูกสอนให้เคารพผู้อาวุโสตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ควรให้ผู้ใหญ่รอตัวเองเว้นแต่กรณีพิเศษ
ขันทีฉีคนนี้ดูเหมือนจะมีอายุสามสิบกว่า ดังนั้นจึงไม่เป็นไรที่กู้เสี่ยวหวานจะเรียกเขาว่าผู้อาวุโส
นอกจากนี้ เขายังเคารพตนเองมาก และไม่เอาใจเราไปวัดใจกับคนอื่น นางจึงไม่แสดงอำนาจบาตรใหญ่
ถึงแม้เขาเป็นขันที แต่นางจะไม่ทำตัวดูถูกคนพิการและฐานะต่ำต้อยเป็นอันขาด
ขันทีฉีก้มหัวลง ตอนที่ได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวานก็เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างลึกซึ้ง แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเคารพ ไม่เหมือนคนในวังที่หน้าไหว้หลังหลอก ปากก็พูดสรรเสริญประจบ แต่แววตาดูถูกเยียดหยาม
เสี้ยนจู่อันผิงท่านนี้เรียกตัวเองว่าผู้อาวุโสด้วยท่าทางจริงจัง
ไม่มีท่าทางหยิ่งยโส
อยู่ในวังเขาล้วนเห็นคนหน้าไหว้หลังหลอกมาเยอะแล้ว ขันทีฉีเจอแบบนี้จึงรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ
ครั้นมองกู้เสี่ยวหวาน ก็มีความคิดแวบเข้ามาว่าต้องดูแลสาวน้อยคนนี้ให้ดี
ในใจของขันทีฉี ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาตั้งแต่เข้ามาในวัง รู้สึกว่าตัวเองได้รับความเคารพเป็นครั้งแรก มองไปที่แววตาของกู้เสี่ยวหวานที่เต็มไปด้วยความเคารพ และดูเหมือนจะมีความห่วงใยเล็กน้อย “เสี้ยนจู่ เชิญขึ้นเกี้ยว”
พูดจบก็ไม่รอการความช่วยเหลือจากนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง แต่เขาตรงไปเปิดม่านด้วยตนเอง และรอกู้เสี่ยวหวานก้าวขึ้นบนเกี้ยว
นางกำนัลและขันทีที่เห็นการกระทำเช่นนั้นก็ตะลึงเล็กน้อย ขันทีที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้แสดงท่าทีเป็นมิตรต่อเสี้ยนจู่อันผิงระดับห้า เสี้ยนจู่อันผิงคนนี้มีความสามารถอะไรเขาต้องมองเห็นอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ คนเหล่านั้นที่พามาจากในวังก็เคารพเสี้ยนจู่มากขึ้น และไม่กล้าที่จะทำตัวเกียจคร้านอีกต่อไป
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานขึ้นเกี้ยวแล้ว ถานอวี้ซูที่อยู่ด้านนอกเกี้ยวก็ถามขันทีฉีอย่างเป็นห่วง “ขันทีฉี ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เรียกพี่สาวข้าไปพบด้วยเรื่องอันใด”
กู้เสี่ยวหวานและขันทีฉีมองไปที่ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ที่กำลังเป็นกังวล และมองคุณหนูที่อยู่ข้าง ๆ พลางมองดูการแต่งกายของนาง แม้ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่แน่นอนว่าต้องเป็นคุณหนูในเมืองหลวงแน่นอน
สตรีผู้มีฐานะสูงศักดิ์สองท่านเป็นห่วงเสี้ยนจู่อันผิง และสาวรับใช้ผู้ที่จงรักภักดีคนนั้น เสี้ยนจู่อันผิงคนนี้ต้องมีความสามารถมาก
……….
Comments