ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] 153 เข้าเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อดูแลร้าน
ตอนที่ 153 เข้าเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อดูแลร้าน
สิ่งที่จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดนับว่าเป็นปัญหาจริง ๆ
นิสัยใจคอของเหอเจี่ยนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือ หล่อนสามารถช่วยตัดสินใจได้ว่าควรจะขนผลไม้จากที่นี่ไปในปริมาณมากเพียงใดและตั้งขายในราคาเท่าไร
แม้จะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้างก็ไม่ถือว่ามากมายนัก
แต่ประเด็นสำคัญคือครอบครัวของเหอเจี่ย
ตอนนี้ลูกทั้งสามคนของหล่อนยังเล็ก อีกทั้งสามีของหล่อนต้องออกไปทำงาน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้พวกเขาดูแลบ้าน ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับเหอเจี่ยเพียงคนเดียว
“ถ้าเราจะตั้งร้านที่นั่นก็ควรทำให้มันใหญ่ขึ้นนะคะ เหอเจี่ยอยู่คนเดียวคงยุ่งมาก หากเป็นไปได้ก็ให้เรียกสามีของหล่อนมาช่วย” ซูตานหงกล่าว
จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกว่าสิ่งนี้สมเหตุสมผลมาก เมื่อถึงเวลาที่ธุรกิจเติบโตขึ้น คงไม่ปลอดภัยนักหากจะพึ่งพาเหอเจี่ยซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็หาเวลาไปคุยกับเหอเจี่ยนะครับ หากหล่อนเต็มใจให้สามีลาออกจากงานในเมือง ผมจะให้เงินเดือนละ 30 หยวน เขากับเหอเจี่ยสองคนจะมีรายได้ 60 หยวนต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีค่าอาหารอีก 10 หยวน ถ้าพวกเขาจะไปอยู่ที่นั่น ผมคงจะหาหน้าร้านที่กว้างขวางพอสำหรับอยู่อาศัยได้”
จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็ยินดีเช่นกัน หากอยากได้พวกเขามาทำงานก็ควรจะใจกว้างให้มาก
“ฉันจะไปคุยกับเหอเจี่ยเองค่ะ” ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า “แล้วก็ควรทำบัญชีให้ชัดเจน คุณต้องคุยกับเหอเจี่ยให้ละเอียด จะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง”
“เรื่องนี้ฉันรู้ค่ะ”
ขณะที่พูดคุยกันทั้งคู่ก็รดน้ำต้นกล้าผลไม้จนเกือบหมด เธอไม่อยากมาที่นี่ทุกวัน ดังนั้นจึงใช้น้ำพุวิเศษรดไปค่อนข้างมาก แม้จะเทียบไม่ได้กับบนภูเขาของครอบครัวเธอ แต่ก็เพียงพอสำหรับให้ต้นกล้าเหล่านี้มีชีวิตรอด
จากนี้ไปก็แค่มาดูแลบ้างเป็นครั้งคราว
ซูตานหงสังเกตเห็นบางอย่างจึงเอ่ยถามขึ้น “ทำไมปลูกเชอร์รี่เยอะจังคะ?”
“เชอร์รี่ขายดีมากน่ะ คุณเองก็ชอบกินด้วย” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกเหตุผล
ซูตานหงยิ้มให้เขาด้วยความพึงพอใจ ส่วนจี้เจี้ยนอวิ๋นก็มองและยิ้มให้ภรรยาของตนด้วยความรักใคร่ ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจูงมือกันกลับไป
เมื่อเผชิญกับสายของคนอื่น จึงค่อยปล่อยมือออกจากกัน
งานในวันนี้ใกล้เสร็จแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงให้ทุกคนหยุดพักและค่อยมาทำงานต่อในเช้าวันพรุ่งนี้
วันรุ่งขึ้น ซูตานหงฝากเหรินเหรินให้คุณแม่จี้ช่วยเลี้ยง ส่วนเธอจับฉีฉีนั่งรถเข็นเข้ามาหาเหอเจี่ยในเมือง
ช่วงนี้เหอเจี่ยไม่ได้เข้ามาทำงานในห้างสรรพสินค้าแล้ว ซูตานหงจึงประเมินว่างานนี้คงใกล้ถึงคราวสิ้นสุด
เธอถามคนละแวกนั้นที่พอรู้จักมักคุ้นกับเหอเจี่ย พวกเขาจึงบอกทางไปบ้านของเหอเจี่ยให้กับเธอ
ซูตานหงเข็นรถเข็นของฉีฉีที่มีสตรอเบอรี่แขวนอยู่ราว 2-3 ชั่งเดินไปจนถึงหน้าบ้านที่คนบอก
“พี่เหอ พี่อยู่บ้านหรือเปล่าคะ?” เมื่อซูตานหงมาถึง เธอจึงเอ่ยถามพร้อมกับเคาะประตู
“มาแล้วจ้ะ” เหอเจี่ยร้องตอบเสียงดัง จากนั้นไม่นานก็เดินออกมาเปิดประตู
เหอเจี่ยดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือซูตานหง “ตานหง? ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้? เธอรู้ทางเหรอ?”
“ฉันถามคนรู้จักมาค่ะ” ซูตานหงยิ้ม
“ฉีฉีเหรอนี่?” เหอเจี่ยมองดูฉีฉีที่นั่งนิ่งอยู่ในรถเข็นด้วยรอยยิ้ม “เป็นเด็กดีจริง ๆ ผิวของเขาขาวมากเลย อย่างกับเด็กในเมืองแน่ะ”
เหอเจี่ยรีบเชิญสองแม่ลูกเข้าบ้านหลังจากทักทายกันเสร็จ
“สตรอเบอรี่นี้ฝากให้หลานสาวกับหลานชายนะคะ” ซูตานหงยื่นสตรอเบอรี่ให้
“ไม่ต้อง ๆ เด็กสามคนนั้นไม่ต้องกินของพวกนี้หรอก เธอเอากลับไปให้เหรินเหรินกินเถอะ” เหอเจี่ยรีบปฏิเสธทันที
“ที่บ้านฉันปลูกเอง มีเหรอคะที่เหรินเหรินจะไม่ได้กิน?” ซูตานหงยิ้ม “อีกอย่างฉันหอบหิ้วมาตั้งไกล พี่ยังจะให้ฉันแบกมันกลับไปอีกเหรอคะ?”
เหอเจี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นเอามานี่มา จะต้องเกรงใจกันไปถึงไหน?”
“ขนาดพี่เองก็ยังทำเสื้อผ้าให้เหรินเหรินกับฉีฉีตั้งเยอะแยะเลยค่ะ” ซูตานหงหัวเราะ
ทั้งสองคนต่างเกรงใจกัน ซูตานหงเอ่ยถามถึงสถานการณ์ทางบ้านของเหอเจี่ย ว่าเหตุใดถึงไม่ไปทำงานและสนทนาเรื่องต่าง ๆ ตามประสาผู้หญิง
เหอเจี่ยไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบัง “คงไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าไม่ได้แล้วล่ะจ้ะ เงินเดือนสามเดือนก่อนหน้าก็ยังค้างอยู่ พี่ไม่รู้จะไปทำงานโดยเปล่าประโยชน์เพื่ออะไร?”
ไม่เพียงแต่ที่นี่ ยังรวมถึงโรงงานที่สามีเธอทำงานอยู่ด้วย ซึ่งตอนนี้ไม่สามารถฟื้นฟูได้แล้ว ทั้งที่เคยเป็นชามข้าวเหล็ก*ที่ใครต่อใครต่างอิจฉา
*งานที่ปลอดภัยและมีรายได้มั่นคงตลอดชีวิต
เมื่อมองดูแนวโน้มดังกล่าวในปัจจุบันนี้ เกรงว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความลับ เพียงแต่ไม่มีใครพูด คนนอกจึงยังไม่รู้ แต่อีกไม่นานข่าวคราวที่ชามข้าวเหล็กนี้ถูกทุบคงแพร่กระจาย
“แล้วต่อไปจะทำยังไงคะ? หลานชายกับหลานสาวทั้งสามคนกำลังเรียนอยู่ด้วย จะให้พวกเขาออกจากโรงเรียนไม่ได้นะคะ”
“คงทำได้แค่เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่” เหอเจี่ยพูดออกมาอย่างอัดอั้น “เดิมทีพี่ตั้งใจจะเปิดร้านตัดเสื้อในเมือง แต่สามีพี่บอกว่าธุรกิจไม่มีแนวโน้มที่จะเติบโต แล้วค่าใช้จ่ายในบ้านใครจะเป็นคนจ่าย?”
“ถ้าเปิดร้านตัดเสื้อ หากได้กำไรดี อย่างมากก็เดือนละ 10 หยวน” ซูตานหงพูดต่อ “แต่หลังจากหักค่าเช่าแล้วคงเหลือเงินไม่มาก”
“พี่ไม่จำเป็นต้องเช่าร้าน เพราะว่ามีร้านที่บ้านตัวเอง แม้จะไม่ใหญ่โตมาก แต่ถ้าทำร้านตัดเสื้อก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพียงแต่ว่ายังไม่มีแผนที่จะทำ เลยปล่อยให้เช่าไปหมดแล้วน่ะ” เหอเจี่ยกล่าว
ค่าเช่าร้านเดือนละ 3 หยวน แม้จะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ตอนนี้ทั้งครอบครัวไม่มีรายได้อื่นแล้วนอกจากการเก็บค่าเช่า
“พี่เหอเคยคิดจะย้ายไปเติบโตที่ต่างเมืองไหมคะ?” ซูตานหงเปิดประเด็น
เหอเจี่ยตกตะลึง “หมายความว่ายังไงจ๊ะ?”
“เจี้ยนอวิ๋นสามีของฉันตั้งใจจะซื้อร้านในเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อขายผลผลิตของครอบครัวฉัน ทั้งไข่ ไก่ และผลไม้ตามฤดูกาล แต่เหลือแค่ยังขาดแคลนคนช่วยจัดการ พี่เหอลองคิดดูได้นะคะเผื่อจะสนใจ ฉันให้เงินเดือนละ 30 หยวนค่ะ” ซูตานหงกล่าว
“เดือนละ 30 หยวน?” เหอเจี่ยอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ค่ะ แม้ว่าจะเหนื่อยสักหน่อย เพราะชื่อเสียงของเจี้ยนอวิ๋นค่อนข้างเป็นที่รู้จักที่นั่น บรรดาคุณลุงคุณป้าต่างก็รู้จักร้านแผงลอยของเจี้ยนอวิ๋นกันทั้งนั้น” ซูตานหงกล่าวต่อ
“อะไรนะ? เดือนละ 30 หยวน เงินเยอะขนาดนี้ต้องทำงานให้คุ้มค่ากับเงินเดือน ตานหง ที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงเหรอ?” เหอเจี่ยขอคำยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หล่อนไม่เกรงใจตานหงอีกต่อไป เพราะตอนนี้ครอบครัวหล่อนต้องการงานนี้จริง ๆ อีกอย่างสามีของหล่อนแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นครอบครัวใหญ่จะไม่อดตายกันหมดเหรอ? ยังมีพ่อแม่สามีที่ต้องเลี้ยงดู แม้จะไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ก็ยังต้องมีก๋วยเตี๋ยวให้กินทุกเดือน ทั้งหมดนี้ล้วนต้องใช้เงิน
“เป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ว่าที่บ้านยังมีหลานชายกับหลานสาวอีกนี่คะ แล้วนี่?” ซูตานหงละคำพูดไว้
“ไม่เป็นไร พี่จะขอให้แม่สามีมาช่วยทำอาหารให้พวกเขา ที่เหลือก็จัดการกันเองได้ พวกเขาไม่ใช่เด็กเล็กกันแล้ว” เหอเจี่ยพูดอย่างจริงจัง
เงินตั้ง 30 หยวนต่อเดือน หล่อนเคยทำงานในห้างสรรพสินค้าได้เงินเดือนเพียง 17 หยวนเท่านั้น นับว่าดีมากที่ตานหงต้องการให้หล่อนไปช่วยดูแลร้านค้าในเมืองมหาวิทยาลัย โดยจ่ายค่าจ้างเดือนละ 30 หยวน จากนี้ชีวิตของหล่อนคงมีความสุขมากโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก
ส่วนลูก ๆ ของหล่อนนั้นไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร ปีนี้ลูกชายคนโตอายุ 15 ปีแล้ว คนที่สองอายุ 13 ปี ส่วนลูกสาวคนสุดท้องอายุ 10 ปี พวกเขาต่างโตพอที่จะดูแลตัวเองกันหมดแล้ว
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อย เธอหมดสิทธิ์แล้วล่ะอวิ๋นอวิ๋น
ไหหม่า(海馬)
Comments