ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] 279 ไม่มีความคิดชายเป็นใหญ่
ตอนที่ 279 ไม่มีความคิดชายเป็นใหญ่
“ฉันเองก็อยากช่วยเหมือนกัน แต่ฉันออกเงินได้พอ ๆ กับที่พี่มีนะ” สะใภ้รองซูว่าเสียงเรียบ
แน่นอนว่าสะใภ้ใหญ่ซูไม่พอใจนัก หล่อนต้องการขอให้อีกฝ่ายช่วยออกเงินมากกว่านี้ จะออกเงินมากเท่าที่หล่อนจ่ายได้อย่างไรกัน?
ซูตานหงทำเพียงหัวเราะใส่พี่สะใภ้ทั้งสอง เธอไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวฝ่ายแม่แต่อย่างใด
หากแต่สะใภ้ใหญ่ซูคงไม่ยอมปล่อยเธอไป และบอก “สามีเธอเป็นคนกตัญญูรู้คุณ เขาน่าจะเห็นแก่แม่ยาย น้องสามี เธอคิดว่ายังไงล่ะ? เธอน่าจะช่วยออกให้ได้บ้างสักนิดนะ”
“พี่สะใภ้คงพูดเล่นแน่ ขนาดพ่อแม่สามีของฉันยังไม่ได้สร้างบ้านเลยค่ะ” ซูตานหงบอก
ขนาดแม่สามียังไม่ได้สร้างบ้าน แต่จะให้เธอนำเงินมาให้ครอบครัวเดิมสร้างบ้าน เธอเป็นคนใจกว้างก็จริง หากแต่ไม่ได้ใจกว้างถึงเพียงนั้น
“สามีเธอเป็นคนรู้คุณคน และเขาคงจะไม่คิดมากเรื่องนี้หรอก” สะใภ้ใหญ่ซูเอ่ย
“จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้เป็นคนดูแลเรื่องการเงินค่ะ เป็นฉันเองที่ดูแลเรื่องนี้” ซูตานหงมองหน้าหล่อนและเลิกคิ้วขึ้น
สะใภ้ใหญ่ซูถึงกับชะงัก และเอ่ย “น้องสามี เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเธอด้วยนะ มันเป็นเรื่องของครอบครัวเธอนี่!”
“เป็นเรื่องของครอบครัวเดิมฉันแล้วทำไมเหรอคะ? ฉันแต่งงานออกไปแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองก็ไปคุยเรื่องนี้กับครอบครัวเดิมของพี่บ้างสิคะ” ซูตานหงกล่าวเสียงเรียบ
มันเป็นการบอกเป็นนัยว่าเงินที่เธอไม่สมควรจ่ายเธอก็จะไม่ยอมจ่ายเด็ดขาด
สะใภ้ใหญ่ซูเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อ แม้สีหน้าของหล่อนจะไม่สู้ดีนัก แต่ซูตานหงกลับไม่ได้สนใจมองหน้าอีกฝ่าย “ถ้าจะสร้างบ้านปีหน้า ก็ควรให้พี่ใหญ่มาช่วยสร้างบ้านด้วยไม่ใช่เหรอคะ? ฉันว่าให้พี่ใหญ่อยู่ที่บ้านดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันจะให้คนงานสักคนมาช่วยงานในสวนแทนเขา”
รอยยิ้มเจื่อนปรากฎบนใบหน้าสะใภ้ใหญ่ซู “อย่างที่น้องสามีบอก ถ้าอยากจะสร้างบ้าน ฉันจะอยู่ช่วยเอง ไม่ต้องลำบากพี่ชายใหญ่ของเธอหรอก ยังไงฉันก็มาช่วยได้อยู่แล้ว”
“ถ้าทำไม่ไหว ฉันจะเรียกคนอื่นมาช่วยแล้วกันค่ะ” ซูตานหงบอก
สะใภ้ใหญ่ซูไม่กล้าปากเก่งอีกต่อไป
ซูตานหงเอ่ย “ฉันมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับพี่สะใภ้รองตามลำพังค่ะ ถ้ายังไงรบกวนพี่สะใภ้ใหญ่ออกไปก่อนนะคะ”
แม้ว่าสะใภ้ใหญ่ซูต้องการจะอยู่ฟังเรื่องที่น้องสามีจะพูด หล่อนก็ทำได้เพียงออกมา ตอนนี้น้องสามีมีความเป็นอยู่ดีขึ้นทุกวัน และกล้าตัดบทหล่อนอย่างหน้าตาเฉย
หากแต่เรื่องไม่จบเพียงเท่านั้น หล่อนนำเรื่องนี้ไปเล่าให้สามีของซูตานหงฟังด้วย!
“พี่สะใภ้รองเองก็อยากสร้างบ้านที่บ้านเกิดเหรอคะ?” ซูตานหงถาม
“ใช่แล้ว” สะใภ้รองซูพยักหน้ารับ “พอถึงเวลานั้น เราก็จะต่อเติมชั้น 2 กัน มีห้องส่วนตัวคนละห้อง และก็จะพาคุณแม่ไปอยู่กับเราที่ชั้น 1 ด้วย”
หล่อนพอจะหาเงินสร้างบ้านสักหลังได้อยู่ เนื่องจากต่อไปลูก ๆ ก็จะเติบโตขึ้น อีกทั้งบ้านที่บ้านเกิดยังค่อนข้างทรุดโทรมแล้ว
แน่นอนว่าการจะทำเช่นนั้นได้ หล่อนจะต้องร่ำรวยกว่านี้
แต่ต้องบอกว่าหล่อนเก็บเงินกับซูจิ้นตั๋งได้อยู่บ้าง หากต้องการสร้างบ้าน หล่อนจะต้องเก็บเงินให้มากกว่านี้
เพียงแค่เงินที่ใช้สร้างบ้านต้องช่วยกันออกอย่างเท่าเทียม ไม่มีเหตุผลที่ครอบครัวของหล่อนจะต้องออกเงินมากกว่า เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้
อีกทั้งการสร้างบ้านไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในวัน 2 วัน พอพี่สะใภ้มีเงิน ค่อยคุยกันเรื่องบ้านก็ยังไม่สาย ตอนนี้เงินเก็บของหล่อนไม่พอซื้ออิฐด้วยซ้ำ
น้องสามีกับพี่สะใภ้คุยกันในห้อง ในขณะที่สะใภ้ใหญ่ซูมาคุยกับจี้เจี้ยนอวิ๋นเรื่องแผนจะสร้างบ้าน
คุณแม่ซูอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด นางก็เอ่ยขึ้น “พวกเธอมาฉลองงานปีใหม่กัน อย่าจงใจก่อเรื่องสิ!”
นางรู้ดีว่าสะใภ้ใหญ่ต้องการอะไร คงเป็นเพราะหล่อนต้องการเงินจากลูกเขยของนาง ซึ่งคุณแม่ซูเองก็วางแผนจะสร้างบ้านเช่นกัน หากแต่นางไม่เคยคิดรบกวนลูกเขยแต่อย่างใด
จี้เจี้ยนอวิ๋นส่งยิ้มและบอก “ถ้ามีเงินสร้างบ้านไม่พอ ผมก็ยังพอมีอยู่บ้างครับ”
สำหรับแม่ยายของเขา เขายังใจกว้างไม่น้อย และไม่ได้ถือสาเรื่องนี้นัก
แม้คุณแม่ซูจะไม่คิดเอาเปรียบลูกเขย แต่ความคิดของลูกเขยก็ทำให้เธอรู้สึกยินดี
“ไม่ต้องหรอก ฉันมีเงินของตัวเองอยู่บ้าง และยังมีส่วนของลูกคนโตกับลูกคนรองอีก ถึงเวลานั้น ทั้งครอบครัวเอาเงินมารวมกัน ก็คงจะเพียงพอแล้ว ถึงยังไงเธอก็จำเป็นต้องใช้เงิน เธอต้องดูแลทั้งเหรินเหริน ฉีฉี แล้วก็ตานหง ลูกอีกคนในท้องตานหงก็จะคลอดปีหน้าแล้ว เดี๋ยวลูกทั้ง 3 คนก็จะโตขึ้น เธอจินตนาการไม่ออกหรอกว่ามีค่าใช้จ่ายมากขนาดไหน ตอนนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนอย่างที่เธอเคยเป็น ทำไมไม่เก็บเงินไว้เป็นเงินค่าเล่าเรียนลูกล่ะ?” คุณแม่ซูโบกมือ
จี้เจี้ยนอวิ๋นส่งยิ้ม และไม่ได้พูดอะไร
สะใภ้ใหญ่ซูนึกไม่ถึงว่านางจะออกปากสั่งสอน นี่เป็นแค่ช่วงเริ่มต้น หากแต่แม่สามีกลับทำลายความตั้งใจของหล่อนเสียแล้ว
เหรินเหรินกับฉีฉีเล่นกับลูกพี่ลูกน้องที่บ้านคุณยายอย่างสนุกสนาน ก่อนจะเดินทางกลับหลังมื้อเที่ยง
จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดถึงเรื่องที่ได้ยินกับซูตานหง “ถ้าคุณแม่ขาดเงิน คุณก็ช่วยออกบ้างก็ได้นะครับ”
“ถ้าขาดเหลืออะไรก็ให้พี่ใหญ่กับพี่รองของฉันไปหาทางเองเถอะค่ะ ไม่ใช่หน้าที่ของฉันหรอก” ซูตานหงบอกไปตามตรง เธอเข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร จึงหันไปมองหน้าเขาและถามขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่มาพูดเรื่องนี้กับคุณเหรอคะ?”
“หล่อนบอกครับ แต่คุณแม่ก็ได้ยินเหมือนกัน” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ซูตานหงบอก “หล่อนเป็นคนหน้าใหญ่ค่ะ เราไม่ได้สร้างบ้านใหม่ด้วยซ้ำ แต่หล่อนกลับอยากให้เราช่วยออกเงินค่าสร้างบ้านให้หล่อน”
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มให้ภรรยาที่แสนขี้เหนียวในบางครั้งของตน
วันที่ 2 หลังขึ้นปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว คนงานประจำของพวกเขาแวะมาพูดคุยที่บ้าน ช่วงปีใหม่นี้มีคนแวะเวียนมาไม่ขาดสาย ทำให้บรรยากาศครื้นเครงไม่น้อย
จี้กวงซงพาหยางต้าหยามาเช่นกัน
ปีนี้หยางต้าหยาอายุได้ 16 ปีแล้ว ที่ผ่านมาเด็กสาวเติบโตขึ้นมาก เนื่องจากหล่อนได้อยู่ดีกินดี ผิวขาวหมดจดและเนียนนุ่ม ส่วนเรื่องการแต่งงานได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ทั้งสองต่างอยู่หมู่บ้านเดียวกัน และได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข
ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นภรรยาที่จี้กวงซงเป็นคนเลือกเอง
พวกเขายังหนุ่มสาวกันอยู่ จึงไปถึงเมืองเจียงสุ่ยเพื่อดูหนังในช่วงปีใหม่
อีกทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ของกวงซงยังเห็นหยางต้าหยาเป็นลูกสะใภ้คนหนึ่ง พวกเขาประทับใจในตัวหยางต้าหยา ได้ยินว่าทุกเดือนพอหยางต้าหยากลับมา นางจะเชือดไก่มาทำอาหารบำรุงร่างกายให้หล่อน หมายจะเลี้ยงหล่อนให้อุดมสมบูรณ์ จะได้มีหลานชายจ้ำม้ำให้นางได้
หยางต้าหยากังวลเรื่องนี้ไม่น้อย หล่อนแอบคุยเรื่องนี้กับสะใภ้รองซูที่ร้าน หากต่อไปหล่อนแต่งงานแล้วมีลูกสาวจะทำอย่างไรล่ะ?
สะใภ้รองซูเข้าใจเรื่องนี้ดี “มีลูกสาวแล้วเป็นยังไงล่ะ? ได้ลูกสาวแล้วไม่ดีเหรอ? ถ้าฉันมีลูกสาวอย่างเธอ ก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว! สังคมสมัยใหม่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ไม่เห็นต้องไปสนใจเรื่องแบบนั้นเลย ถ้ามีลูกชายแล้วต่อไปเขาโตมาเป็นคนเสเพลล่ะ?”
หยางต้าหยาคิดได้ทันที ใช่แล้ว หากมีลูกชายจะเป็นการดีที่สุด แต่หากเป็นลูกสาว หล่อนจะอบรมสั่งสอนให้ดี ในอนาคตจะได้ไม่น้อยหน้ากัน
หากแต่หล่อนยังคงไปถามจี้กวงซงว่าเขาอยากมีลูกสาวหรือลูกชาย
คำตอบของจี้กวงซ่งยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกสุขใจ “จะมีลูกชายหรือลูกสาวก็ดีทั้งนั้นครับ แค่พวกเขาเติบโตมาแข็งแรงก็พอ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้นะ ไม่ต้องสนใจความคิดคร่ำครึโบราณของคนรุ่นแม่หรอก คนในหมู่บ้านเรามีลูกชายกันตั้งกี่คน? พวกเขาต่างก็เนรคุณกันทั้งนั้นนี่? แล้วจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะครับ?”
เขาเป็นคนเปิดกว้างและไม่มีความคิดแบบชายเป็นใหญ่แม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดูแลพี่สาวทั้ง 6 คนของเขามากถึงเพียงนี้ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ความเป็นอยู่ของพวกหล่อนดีขึ้น เขาจึงไม่ได้รับผิดชอบดูแลอีก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
รักคุณแม่ซู ทำดีมากค่ะ อยากสร้างบ้านก็หากู้เงินเองสิสะใภ้ใหญ่ซู ทำไมต้องไปรบกวนคนอื่นด้วย
ผช.แบบกวงซงนี่หายากเหมือนกันนะคะ คิดดูว่าในสมัยนั้นนี่ความคิดชายเป็นใหญ่จะขนาดไหน ขนาดที่พอรู้เพศเด็กในท้องว่าเป็นผู้หญิงก็จัดการทำแท้งน่ะ
ไหหม่า(海馬)
Comments