ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ 1826 หอมปากหอมคอ
โม่ซวนก็งุนงงเช่นกัน คนของราชวงศ์ตงหวงเหล่านี้กำลังร้องเอ็ดตะโรเรื่องอะไรกันอยู่?
ในเวลานี้ มู่เฉียนซีได้กล่าวผ่านกระแสจิตไปที่โม่ซวน “ให้คนของเจ้ากลบจิตสังหารลงซะ จากนั้นก็ถอยออกมา ไม่ต้องเข้าไปยุ่งอีกแล้ว ปล่อยให้พวกเขาค่อย ๆ สร้างความวุ่นวายกันไปเอง”
“เฉียนซี!” โม่ซวนประหลาดใจเล็กน้อย ชัดเจนอยู่แล้วว่านางอยู่ที่ทะเลทรายสิ้นหวังคิดไม่ถึงเลยว่านางจะกลับมาทะเลสาบโยวหมิงได้เร็วถึงเพียงนี้
คำเตือนของมู่เฉียนซี โม่ซวนไม่ลังเลในคำเตือนของมู่เฉียนซีเลยแม้แต่น้อย เขารีบทำตามอย่างรวดเร็ว และได้ให้คนของเขาล่าถอยออกมา
ในเวลานี้มู่เฉียนซีจ้องดูใบหน้าที่สับสนของคนในราชวงศ์ตงหวงด้วยความสนุกสนาน
โม่ซวนกล่าวว่า “เฉียนซี เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นเป็นอะไรกันแน่?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องรู้อยู่แล้ว!”
“พวกเขาเป็นบ้ากันไปแล้วหรือ?”
“เขาจะต้องถูกคนของคุณชายไป๋เจ๋อควบคุมอยู่เป็นแน่ ทำให้พวกเขาหมดสติกันไปก่อนเถิด”
“ลงมือได้…”
ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้จะตรงเข้าไปต่อสู้โดยตรง แต่เป็นคนกลุ่มหนึ่งต่อสู้กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเขาคิดเพียงง่าย ๆ ว่าการทำให้คู่ต่อสู้หมดสติไปนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ทว่าตอนนี้พวกเขาราวกับว่ากำลังเห็นผีเข้าแล้ว เนื่องจากมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นี้ยอดเยี่ยมมากเกินไปจริง ๆ มันสามารถป้องกันได้ และเมื่อบาดเจ็บก็ยังสามารถฟื้นฟูได้ทันที รวมทั้งพลังวิญญาณที่ใช้ไปจนหมดแล้วก็ยังฟื้นฟูกลับมาในทันทีได้อีกด้วย
“มันคือมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จริง ๆ ด้วย! ยอดเยี่ยมมาก จะต้องแย่งชิงมาให้ได้”
“ลงมือ ตรงเข้าไปฆ่าพวกเขาซะ!”
แม้สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าก็คือพวกเดียวกัน แต่พวกเขาก็ยังมีความรู้สึกอย่างสังหารขึ้นมาอยู่ดี
“หากพวกเจ้าลงมืออีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้วจริง ๆ” คนที่ถือคทาแห่งแสงสว่างนั้นกล่าวอย่างเดือดดาล
ปัง ปัง ปัง!
เมื่อความขัดแย้งภายในใจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็สังหารคนผู้นั้นไปได้ แต่จากนั้นก็มีอีกคนหนึ่งถือคทาขึ้นมา
แต่เพียงชั่วอึดใจต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
“พวกเจ้า…พวกเจ้าฆ่าคนได้อย่างไร ในฐานะที่ข้าเป็นผู้เที่ยงธรรมคนหนึ่ง ให้ข้าได้เป็นผู้พิพากษาพวกเจ้าเถิด!”
ตูมมมม!
จัดการไปได้แล้วคนหนึ่งก็มีอีกคนบ้าคลั่งอีกคนหนึ่งขึ้นมาแทน พวกเขาจึงตระหนักได้แล้วว่า นี่ไม่ใช่ศัตรูที่เป็นผู้ลงมือกับพวกเขา ทว่าเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นี่ต่างหากที่มีปัญหา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่มันเป็นเพียงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณสมบัติของแสงสว่างเท่านั้น หากผู้ใดสัมผัสเข้ากับของเล่นชิ้นนี้ ก็จะเปลี่ยนจนลายเป็นผู้มากไปด้วยแสงสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์ เห็นว่าความชั่วร้ายเป็นดั่งศัตรู และสุดท้ายมันก็จะสร้างนักบุญที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งขึ้นมา”
โม่ซวนตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก “โชคดีที่คทาศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกคนของราชวงศ์ตงหวงแย่งเอาไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้น…”
“ความจริงแล้วพลังนี้ไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งมากเท่าไรนัก ขอเพียงยึดมั่นในหลักการของตนเอง และขอเพียงแค่มีเจตนารมณ์ที่แข็งแกร่งก็จะไม่ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ได้แล้ว”
ทางด้านนั้นได้ต่อสู้กันขึ้นมาอีกครั้ง มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ลอบโจมตีเถอะ! กำจัดผู้ที่ถือคทาแห่งแสงสว่างผู้นั้นก่อน แล้วค่อยมาจัดการคนอื่นต่อ”
โม่ซวนกล่าว “ได้!”
“ลงมือได้!”
คนของราชวงศ์ตงหวงถูกชายที่บ้าคลั่งผู้นั้นโจมตีจนฟกช้ำดำเขียวไปหมด และพลังวิญญาณก็ถูกใช้ไปมากแล้วด้วย
แต่ไม่คิดเลยว่าในเวลานี้คุณชายไป๋เจ๋อจะพาคนมาลอบโจมตีด้วย นี่มันเป็นข่าวร้ายชัด ๆ!
และชายคนที่ถือคทาผู้นั้นก็ถูกโจมตีจนหมดสติไป ถึงอย่างไรก็ตามพลังผู้พิทักษ์ของคทาแห่งแสงสว่างนั้นก็ดีเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันสามารถสกัดกั้นการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตไว้ได้
ทันใดนั้นพัดวิหคเฟิงหลิงก็ถูกกาง ออก มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พลังวายุเมฆา ดาวกระจาย!”
ตูมมมม!
และก็เริ่มต่อสู้กับคนของราชวงศ์ตงหวงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันง่ายขึ้นมาก ทั้งยังใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถกำจัดไปได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ตึง!
คนที่ถือคทาแห่งแสงสว่างผู้นั้นล้มลงไปบนพื้น ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสัมผัสมันอีก
บนโลกใบนี้ไม่มีความดีที่แท้จริง และก็ไม่มีความชั่วที่สมบูรณ์แบบ ทว่ามายานิรันดร์กลับแยกความดีและความชั่วอย่างชัดเจนมากจนเกินไป จนทำให้คนที่ได้รับผลกระทบชุลมุนวุ่นวายถึงเพียงนี้
ขอเพียงมีมโนธรรม เท่านั้นก็จะถือว่ามีทั้งความมืดและแสงสว่างอยู่ในตัวแล้ว
มู่เฉียนซีเตรียมที่จะเข้าไปหยิบคทาแห่งแสงสว่างนั้นขึ้นมา แต่โม่ซวนกล่าวด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย “เฉียนซี…”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ตราบใดข้ามีเจตจำนงที่แน่วแน่ มันก็ไม่มีผลต่อข้าหรอก”
และก็เป็นไปตามคาดไว้ หลังจากที่มู่เฉียนซีหยิบคทานั้นขึ้นมา ก็ถามขึ้นมาว่า “โม่ซวน เจ้าต้องการของสิ่งนี้หรือไม่? เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าความสามารถในการรักษาและพลังของผู้พิทักษ์ค่อนข้างดีเลยทีเดียว”
โม่ซวนกล่าวว่า “ถึงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นี้จะดีก็จริง ทว่าในหมู่พวกข้าคงไม่มีผู้ใดที่สามารถควบคุมมันได้หรอก เช่นนั้นก็ให้เฉียนซีเป็นผู้จัดการเถิด!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้ท่านก็แล้วกัน มันคือผลงานชิ้นเอกของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างซึ่งก็น่าจะรับรู้พลังทั้งหมดของมันได้”
“อื้ม!” จิ่วเยี่ยรับคทาแห่งแสงสว่างไป และม่านแสงที่อยู่ด้านบนก้มืดมัวลงทันที
“ในที่สุดข้าก็หาสถานที่บ้า ๆ นี่เจอเสียที”
ร่างเงาที่คุ้นเคยมาถึง จื่อโยวได้พาคนตะลุยเข้ามาจนถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว
“เอ๋! เยี่ย เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
คทาที่อยู่ในมือของหวงจิ่วเยี่ยได้ถูกโยนมาตรงหน้าของจื่อโยว และเมื่อจื่อโยวรีบรับมันไว้อย่างรวดเร็วก็ได้มีเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาดังตามมา
“อ๊ากก! พลังแสงสว่างแข็งแกร่งอะไรเช่นนี้ เยี่ย นี่เจ้าคิดที่จะลอบสังหารข้าอย่างนั้นหรือ?”
หวงจิ่วเยี่ยกล่าวว่า “ของสิ่งนี้สามารถรับรู้ถึงมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างได้ เช่นนั้นเจ้าก็เอาไว้หามันเถอะ”
“เยี่ยเก็บของสิ่งนี้ไว้กับตนเองก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ จะ…เจ้าไม่กลัวว่าข้าถูกพลังแห่งแสงสว่างนี่ชำละล้างจนกลายเป็นนักบุญแห่งแสงสว่างไปหรืออย่างไร?”
“หากเป็นเช่นนั้น มันก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเจ้านั้นอ่อนแอเกินไป แล้วข้าจะเก็บเจ้าไว้เพื่ออันใดกันล่ะ?” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชา
จื่อโยวรู้สึกว่าหัวใจของตนเองกำลังแหลกสลายไปแล้ว หมดหนทางที่จะนำคทาแห่งแสงสว่างนี้คืนกลับไป และทำได้เพียงรับของที่รับมือยากเช่นนี้ แล้วเก็บมันเอาไว้เท่านั้น
จื่อโยวกล่าวว่า “พี่ชายไป๋เจ๋อ เจ้าหามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เจอหรือไม่?”
“ไม่เจอเลย เจอแต่คทานั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เสียด้วย”
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนี้หรอก”
จิ่วเยี่ยโอบกอดมู่เฉียนซีเอาไว้พลางกล่าวว่า “ซี พวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ!”
“อื้ม!”
แผนที่ที่ดึงดูดผู้คนไปยังสถานที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ใดต่างก็ไม่มีทั้งมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หรือเป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างเลย
หนึ่งในสถานที่นั้นมีเพียงเกล็ดของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างหนึ่งแผ่น และอีกส่วนก็มีเพียงแค่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างสร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง
แต่ถึงอย่างไรสิ่งของทั้งสองอย่างนี้ก็สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างได้ เช่นนั้นก็ยังถือว่าได้เบาะแสมาบ้าง
ก่อนหน้านี้มีเพียงนิรันดร์ที่อยู่เคียงข้างมู่เฉียนซี แต่ตอนนี้ดูเหมือนจิ่วเยี่ยจะไม่ได้รีบร้อนกลับไปยังแดนนรกเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ออกมาจากทะเลสาบโยวหมิงมาแล้วอเขาก็เอาแต่ติดตามมู่เฉียนซีเพื่อไปฝึกฝนหาประสบการการณ์อีกสองสามแห่ง และไม่ได้ให้โอกาศนิรันดร์เลยแม้แต่น้อย
นิรันดร์กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “หวงจิ่วเยี่ย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงราชาแห่งคุกโลหิต เจ้าจะไม่เอาการเอางานมากเกินไปแล้ว! ยังไม่รีบไสหัวกลับไปยังเขตแดนของเจ้าอีกหรือ”
จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าอยากอยู่กับซี คนที่พึ่งฟื้นฟูพลังมาได้เพียงน้อยนิดเช่นเจ้า ไม่ควรกลับไปหลับใหลเพื่อพักฟื้นหรอกหรือ?”
“อย่ามายุ่ง!”
“เช่นนั้นเจ้าก็อย่างมายุ่งกับข้า!”
ฉับพลันพลังอันน่าสะพรึงกลัวของพวกเขาทั้งสองก็เริ่มก่อตัวขึ้น และแน่นอนว่าอย่างไรจิ่วเยี่ยก็ต้องกลับไปอยู่ดี
ก่อนจะไปจิ่วเยี่ยก็ได้ปะทะฝีมือกับนิรันดร์อีกครั้ง และเขาทั้งสองก็ต่อสู้กันจนมืดฟ้ามัวดิน
แม้ว่านิรันดร์จะถูกทุบตีอย่างน่าเวทนา แต่เขากลับยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
“หวงจิ่วเยี่ย เจ้าเด็กน้อยนี่ก็ร้ายกาจพอตัว! เพียงแต่ว่าหากเจ้าคิดที่จะผลาญพลังของข้าจนหมดและจะให้ข้ากลับไปหลับใหลแล้วละก็ มันก็ยังอ่อนเกินไปเสียหน่อย เว้นแต่คำสาปของเจ้าจะถูกถอนก็ยังพอมีโอกาสที่จะทำได้บ้าง ทว่าตอนนี้เจ้าทำมันไม่ได้หรอก”
ตูมม!
และมันก็ได้เป็นผลทำให้นิรันดร์ถูกโจมตีอีกครั้ง
ก่อนจะจากไปจิ่วเยี่ยได้เข้ามานัวเนียกับมู่เฉียนซีอีกครั้ง ทั่วทั้งร่างของมู่เฉียนซีนั้นถึงขั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และนางก็กล่าวด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “จิ่วเยี่ย เอาแค่พอหมอปากหอมคอเถิด!”
มือของจิ่วเยี่ยลูบไล้ผ่านรูปดอกบัวสีฟ้าทั้งสามนั้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้ายังมีอีกเรื่องที่จะต้องทำ”
Comments