ท่านเทพมาแล้ว 51

Now you are reading ท่านเทพมาแล้ว Chapter 51 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ไปเดินเล่นกันไหม?

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่ห่างออกไป เห็นเพียงทางช้างเผือกอยู่ตรงหน้า แต่เห็นประตูสวรรค์แดนใต้อย่างคลุมเครือ ที่ขอบฟ้ามีเสียงดนตรีเส้า กับเสียงขับขานของหงส์ตัวผู้ดังมาไม่ขาดสาย ที่แท้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถึงสวรรค์แล้ว

ดังนั้นนางจึงเก็บความกังวลไป ให้ลู่ยาซ่อนกายเดินนำไปก่อน ตนเองก็ลงที่ประตูสวรรค์แดนใต้ ปลุกหลินเจี้ยนหรู ก่อนก้าวเท้ากลับไปยังหอวิหคแดง

ขณะที่พวกเขารีบไปปฏิบัติหน้าที่ ในวังมังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งที่ห่างออกไปหมื่นลี้ หงส์ไฟผู้งดงามกำลังถือผ้าเช็ดหน้าร้องไห้อย่างโศกเศร้า เถียนเจ๋อผู้เป็นราชามังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งตบโต๊ะชาด้านข้างที่ทำจากปะการังแหลกเป็นผุยผง!

“ไปหามา! ถึงแม้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องหาฆาตกรที่ฆ่าองค์ชายให้เจอ!”

มีเซียนผู้ยิ่งใหญ่อย่างลู่ยาช่วยเหลือ มู่จิ่วกับหลินเจี้ยนหรูย่อมไม่ไปทำงานสายเป็นธรรมดา

ถึงแม้สติจะยังไม่ค่อยคืนกลับมาดีนัก แต่การลาดตระเวนตลอดคืนก็ไม่เป็นปัญหา

หลินจี้ยนหรูฟื้นมาก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องที่ตนถูกช่วย เพื่อปิดบังเรื่องลู่ยาไว้ มู่จิ่วจึงแบมือแสดงออกไปว่านางก็ไม่รู้ บางทีอาจจะเป็นเทพแห่งทะเลช่วยพวกเขาไว้ก็เป็นได้ หลินเจี้ยนหรูพึมพำกับตัวเองอยู่นาน สติสัมปชัญญะไม่สามารถสืบสาวเรื่องราวให้ลึกลงไปอีกได้ไหว ดังนั้นจึงไม่ถามมากแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีดอกบัวกลีบม่วงที่สุดท้ายก็เก็บกลับมาได้อยู่ด้วย

หลินเจี้ยนหรูรู้สึกผิดต่อมู่จิ่วอย่างมาก ยิ่งเศร้าใจขึ้นอีกเมื่อตนบุ่มบ่ามเข้าไปจนเป็นสาเหตุทำให้นางตกลงไปในน้ำ ทั้งยังรู้สึกขอบคุณ เพราะถ้าไม่มีการช่วยเหลือของนาง เกรงว่าตนเองคงจะไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ และคงไม่สามารถเก็บพืชเซียนเพิ่มพลังนี้มาได้

“บุญคุณของเจ้า ข้าไม่รู้จะตอบแทนคืนอย่างไรดี” เขาพูด

“ไม่ต้องหรอก” มู่จิ่วโบกมือ “สำหรับข้าแล้วไม่เป็นไรจริงๆ เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดต่างก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย”

“แม้บุญคุณเท่าหยดน้ำก็ต้องใช้คืนกลับทบเท่าทวี เจ้าปฏิบัติต่อข้ามากขนาดนี้ บุญคุณหนักดุจขุนเขา” หลินเจี้ยนหรูขมวดคิ้วมองนาง เม้มปากก่อนพูด “ข้าคนแซ่หลินถึงแม้จะไร้ความสามารถ แต่เรื่องบุญคุณต้องทดแทนข้าเข้าใจนัก ข้าหวังว่าวันข้างหน้าจะมีสักวันที่ข้าช่วยเจ้าทำอะไรบางอย่างได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย ถึงแม้จะแค่ทำธุระให้เจ้าก็ยังดี”

มู่จิ่วไม่อยากให้เขากดดันขนาดนี้ จึงรีบพูดปลอบใจอย่างเต็มที่

ยังดีที่เขาไม่ใช่คนหัวรั้นขนาดนั้น ได้ยินนางพูดจบก็ปล่อยวางเรื่องเหล่านั้นลง

วัดถัดมามู่จิ่วนอนหลับเต็มอิ่ม

ตอนบ่ายก็นำพืชเซียนไปที่ภูเขาสูงแถวประตูสวรรค์แดนใต้กับหลินเจี้ยนหรู ให้เขากินดอกบัวกลีบม่วงลงไป จากนั้นก็ช่วยเขาปรับลมปราณให้เป็นปกติ

รากฐานของเขาแข็งแกร่ง ถึงแม้ครั้งแรกที่กินพืชเซียนเข้าไปพลังจะตีกลับอยู่บ้าง แต่ก็ยังสามารถทนได้ มู่จิ่วประมือกับเขาสองกระบวนท่า แต่ก่อนดาบหนึ่งเขาอย่างมากก็แทงต้นไม้ได้หนึ่งหรือสองต้น มาวันนี้กลับใช้มือเปล่าหักต้นไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบเรียงแถวกันหลายต้นลงได้

จากนั้นลองกระบี่ ก็ยังพอถูไถไปได้

มู่จิ่วปลาบปลื้มใจอย่างมาก รอจนเขาเลื่อนขั้น บุญกุศลของนางคงเพิ่มขึ้นไม่น้อยแล้วกระมัง?

ภายหลังเสี่ยวซิงเพิ่งรู้เรื่องที่นางไปพบเจออันตรายที่เกาะเป่ยอี๋ ก็ร้องไห้อยู่ทั้งวัน ทั้งเช้าค่ำอาฝูไม่เห็นนาง ก็มาเกาะติดนางอยู่นานทีเดียว

หลังอาหารเย็นลู่ยาเรียกนางเข้ามาในเขตพลัง เอาหนังสือเล่มหนึ่งให้ “เอาหนังสือเล่มนี้ไปให้คนแซ่หลินคนนั้นของเจ้าศึกษา ตั้งใจหน่อย ภายในสองเดือนจะเลื่อนขั้นได้”

ถึงแม้เขาไม่อาจรับปากนางรับหลินเจี้ยนหรูเป็นศิษย์ได้ แต่การที่นางทำนู่นทำนี่อย่างลับๆ ทำให้เขายิ่งปวดหัว เหมือนอย่างคราวนี้ หากเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว เขาจะไปหาคนที่เหมาะสมจะอำพรางตัวเขาได้จากที่ไหนอีก? นี่เป็นผลร้ายต่อเขาหรอกไม่ใช่หรือ? คิดไปคิดมา จึงทำได้เพียงประนีประนอมให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้นางออกไปก่อเรื่องอะไรอีก

มู่จิ่วกลับไม่พอใจกับคำเรียกขานของเขา ทำไมต้องเรียกคนแซ่หลินของนาง? หลินเจี้ยนหรูเป็นศิษย์ของสำนักแรกพยับชัดๆ ไปเป็นของนางตอนไหน?

แต่คนขี้งกอย่างเขารับปากจะช่วยชี้แนะหลินเจี้ยนหรู นางก็ดีใจแล้ว

นางพูด “ข้าจะไปพูดกับเขา รอจนเขาเลื่อนขั้นแล้ว เดี๋ยวค่อยให้เขาเลี้ยงข้าวเจ้า”

ลู่ยาสีหน้าคล้ำลงเล็กน้อย

แม่จอมจุ้น นี่ช่วยเขาจนถึงเรื่องตอบแทนบุญคุณแล้วหรือ?

ตอนมู่จิ่วส่งหนังสือให้หลินเจี้ยนหรู แน่นอนว่านางต้องเล่นลิ้นนิดหน่อย นี่คือความหวังดีของลู่ยา นางไม่สามารถลบล้างความดีความชอบของเขา ทว่าก็ไม่อาจพูดออกไปตรงๆ ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นการแพร่งพรายการซ่อนตัวของเขาออกไป

ดังนั้นนางจึงพูดแบบนี้ “นี่คือของซึ่งนักพรตเต๋าอาวุโสที่ข้ารู้จักแถวตีนเขาเคยให้มา แต่ตอนนั้นข้านำกลับมาก็ใช้ไม่ได้แล้ว เขาให้ข้ามอบให้คนที่มีวาสนา ข้าจึงนำมาให้เจ้า”

หลินเจี้ยนหรูยินดีที่ได้รับความใส่ใจ “ให้ข้า?”

มู่จิ่วตัดสินใจยกยอลู่ยา “ตอนนั้นนักพรตเต๋าอาวุโสท่านนี้ได้บอกข้าไว้ ให้ตั้งใจทำตามหนังสือนี่ ดูจากสถานการณ์ของเจ้าแล้ว สักราวครึ่งปีก็คงเลื่อนขั้นได้” ลู่ยาบอกว่าอย่างมากสองเดือนก็สามารถผ่านด่านเคราะห์เลื่อนขั้นได้ แต่นางรู้สึกว่าเป็นการคุยโวเกินไป ไม่มีทางที่จะเร็วขนาดนี้ เพื่อเป็นการรับรองอานุภาพของหนังสือเล่มนี้ นางบอกเกินไปสักสามเดือนน่าจะปลอดภัยกว่า

หลินเจี้ยนหรูรับมาทั้งสองมือ พลิกไปมาก่อนเก็บเข้าไปในอก แล้วพูดขึ้นว่า “ปกติเวลาที่ไม่ได้เข้างาน เจ้าทำอะไรรึ?”

“ข้า?” มู่จิ่วเอียงคอคิด “อาบแดด ฝึกกระบี่ จากนั้นก็พาอาฝูไปเดินเล่นรอบๆ อะไรแบบนั้น”

อยู่บนสวรรค์ยังสามารถทำอะไรได้อีก? ไม่เหมือนตอนอยู่หงชาง สามารถวิ่งไปทั่วภูเขา ไม่มีเรื่องอะไรก็เรียกปีศาจมาเต้นระบำให้นางดู

หลินเจี้ยนหรูยิ้มพูด “ข้าคิดจะลาพักไปเดินเล่นเมืองมนุษย์ ไม่รู้ว่าเจ้ามีเวลาหรือไม่?”

ไปโลกมนุษย์? มู่จิ่วอึ้ง

เขาพูดต่ออีก “ข้าได้ยินมาว่าสามวันหลังจากนี้จะเป็นเทศกาลซ่างซื่อ ของโลกมนุษย์ เป็นเวลาที่ทิวทัศน์บนโลกมนุษย์งามที่สุด ชายหนุ่มหญิงสาวในเมืองไปเที่ยวชมริมแม่น้ำได้ หนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงานสามารถล้อมวงร้องเพลงเต้นรำ คึกคักอย่างมาก พอดีข้าคิดว่าจะไปซื้อของใช้เสียหน่อย ถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็ไปดูด้วยกันได้”

ทุกเดือนพวกเขามีวันหยุดสองวัน ปกติต้องหยุดตามลำดับ แต่ถ้ามีเรื่องก็สามารถขอลาหยุดได้

จะว่าไปเดือนนี้นางยังไม่ได้หยุดพัก ไปเดินเล่นก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้

แต่นางละทิ้งคนในบ้านมากมายไปเดินเล่น แบบนี้จะดีหรือ?

นางถาม “เจ้าไปโลกมนุษย์ไหน? ไปราชวงศ์ใด?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นราชวงศ์ปัจจุบัน ยุคกษัตริย์ซุ่ยสี่แห่งราชวงศ์หนิง” หลินเจี้ยนหรูได้ยินคำพูดนี้ก็อึ้งไป “ยังมีราชวงศ์ไหนได้อีก?”

มู่จิ่วจึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เซียนแต่ละคนไม่ใช่จะเดินทางข้ามเวลากันได้ตามใจ แต่ก่อนหลิวหยางเคยพานางกับพวกเหล่าศิษย์พี่ไปยัง จงกู่[3] จิ้นกู่[4] จิ้นไต้[5] และเวลาอื่นๆ จักรวาลคู่ขนานก็ไปมาแล้วราวหนึ่งหรือสองครั้ง

อย่างเช่น ความฝันในหอแดงที่ลู่ยาต่อว่าไว้นั้นนางก็นำมาจากห้วงเวลาในชาติก่อนของนาง แต่ห้วงเวลาคู่ขนานของชาติที่แล้วนั้นยังมีอีกหลายห้วงเวลา ถึงแม้พัฒนาการของยุคกับผู้คนในประวัติศาสตร์นั้นๆ จะไม่เหมือนกัน แต่โดยคร่าวๆ วิวัฒนาการก็ใกล้เคียงกัน วัฒนธรรมก็คล้ายๆ กัน

ตอนนั้นหลิวหยางพาพวกเขาไปก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จนนางคิดว่าเทพเซียนทุกคนจะสามารถเดินทางเข้าออกแต่ละห้วงเวลาได้ตามใจนึก

“อ้อ” นางลูบผมที่ทิ้งตัวลงมาบนหน้าอก “ข้ากลับลืมไปเลย”

แต่จะว่าไป ทำไมหลิวหยางในความทรงจำของนางเหมือนไม่ใช่จินเซียนธรรมดาเสียแล้ว?

…………………………………………………

 ดนตรีเส้า คือ ศิลปะชั้นสูงของจีนโบราณ มักบรรเลงในพระราชวัง เป็นศาสตร์ที่รวมกวี ดนตรี และศิลปะการร่ายรำเข้าไว้ด้วยกัน

 เทศกาลซ่างซื่อ เป็นเทศกาลรำลึกถึงกษัตริย์ของจีนโบราณ ต่อมากลายเป็นเทศกาลสำหรับหญิงสาว

 จงกู่ หมายถึง ราวๆ ศตวรรษที่ 3 ถึง 9

 จิ้นกู่ หมายถึง ช่วงราชวงค์ซ่ง หยวน หมิง ชิง ถึงกลางศตวรรษที่ 19

 จิ้นไต้ หมายถึง ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ประมาณค.ศ. 1840 ถึงปีค.ศ. 1919

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด