ท้าทายลิขิตสวรรค์ 70 ไม่คิดค่าธรรมเนียม
นิยาย ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 70 ไม่คิดค่าธรรมเนียม
ตอนที่ 70 ไม่คิดค่าธรรมเนียม
แม้ว่าหยางซื่อเหมยเพื่อนร่วมชั้นของเซี่ยวโม่และยังเด็กแต่เซี่ยวกั่วหุยก็ต้อนรับเธอด้วยตนเองโดยเขาก็ชงชาให้เธออย่างกระตือรือร้นและเอ่ยถามด้วยความกังวลว่าครอบครัวของเธออาศัย อยู่ที่ไหนและบิดามารดาของเธอทําอาชีพอะไร
โดยเธอตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอมาจากชนบทส่วนบิดาของเธอเป็นเพียงครูโรงเรียนประถมและมารดาของเธอตกงาน
แม้เซี่ยวกั่วหุยผู้ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งร้อยล้านได้ยินว่าเธอมาจากครอบครัวธรรมดาแต่ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงความดูถูกเหยียดหยามใดๆขณะที่ท่าทีของเขายังคงเป็นมิตรและสุภาพ
อีกทั้งยังกล่าวกับเธอว่า ตําแหน่งแม่บ้านประจําห้องรับรองของบริษัทเขายังว่างอยู่และสามารถรับสมัครแม่ของ หยางซื่อเหมยได้ถึงแม้เงินเดือนจะไม่สูงแต่ก็ถือว่าเป็นงานที่สบายมาก
เพียงเพราะเขามีท่าทางจริงใจและเป็นมิตร ดังนั้นหยางซื่อเหมยจึงไม่ต้องการให้เขาต้องทนทุกข์กับอุปสรรคต่างๆเนื่องจากต้นป๊อปลาร์ซึ่งแม้แต่สามีภรรยาก็สามารถแยกทางกันได้
“ลุงเซี่ยว ไม่ทราบว่าคุณลุงเชื่อเรื่องฮวงจัยหรือเปล่า?”
เธอมองไปที่เขาและเอ่ยถาม
เนื่องจากเธอพบว่าตระกูลเซี่ยวกับคนในบ้านหยางต้าเจียนั้นแตกต่างกันโดยการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกของบ้านหลังนี้ไม่ได้ใส่ใจกับรูปแบบของฮวงจุ้ยเลยและทุกอย่างเป็นไปตา มอําเภอใจ
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้อาจจะไม่ส่งผลกับทุกสถานที่แต่บังเอิญว่ามันส่งผลต่อบ้านหลังนี้โดยปัญหามันอยู่ที่ต้นขอปลาร์ที่ปลูกใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว
“โอ้! ทําไมหนูถึงถามแบบนี้สําหรับเรื่องฮวงจุ้ยฉันเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาเรื่องนี้เลย”เซี่ยวกั่วหยหัวเราะ
“หนูหยางสนใจเรื่องฮวงจุ้ยหรือ?เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมากไม่ใช่เหรอ?”
“หนูสนใจมากค่ะ และได้ศึกษาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ที่มีประสบการณ์ซึ่งศึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยมากว่าสิบปีและถือ ได้ว่าท่านเป็นปรมาจารย์ท่านหนึ่ง”หยางซื่อเหมยยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“โอ้! แล้วหนูหยางมีความคิดเห็นยังไงกับฮวงจุ้ยที่นี่” เซี่ยวกั่วหุยเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะค่ะว่าแต่ว่าช่วงนี้คุณลุงได้ประสบกับเรื่องเลวร้ายและเพิ่งสูญเสียธุรกิจเงินล้านไปใช่หรือเปล่าคะ?”หยางซื่อเหมยไม่ต้องการอ้อมค้อมจึงเอ่ยถามตามตรง
“ไอ้หยา! หนูรู้ได้ยังไง? ลูกสาวของลุงบอกอย่างนั้นเหรอ?แต่ลุงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเซี่ยวโม่เลยนะ”เซี่ยวกั่วหุยเอ่ยถามด้วยความงงงวย
“พ่อมีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจเหรอ?”เซียวโม่เอ่ยถามอย่างกังวล
เซี่ยวกั่วหุยพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวว่า
“อืม”
“ไม่เป็นไรนะ! เดี๋ยวก็จะค่อยๆดีขึ้น”เซี่ยวโม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างเซี่ยวกั่วหุยปลอบโยน
และเซี่ยวกั่วหุยตบหลังมือของเธอเพื่อต้องการให้บุตรสาวสบายใจ จากนั้นได้เอ่ยถามหยางซื่อเหมยด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“หนูหยางรู้เรื่องเกี่ยวกับลุงได้ยังไง?”
“คุณลุงเซี่ยวคะ จุดหยินบนใบหน้าของคุณหมองคล่ำส่วนดวงตาของคุณก็ไม่สดใสซึ่งมันหมายความว่าช่วงนี้คุณลุงมีโชคร้ายมากและถูกปิดกั้นโชคลาภอีกทั้งอาจจะมีอาจปัญหากับภรรยาจนหันหน้าไปทางอื่นด้วย”
“หยางซื่อเหมย เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง? พ่อแม่ของฉันรักกันมาก แล้วพวกเขาจะเลิกกันได้ยังไง?อันที่จริงฉันสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอมาที่นี่ทําไม?”เซี่ยวโม่ร้องออกมา
ขณะที่บุตรสาวกําลังต่อว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนท่าทางของเซี่ยวกั่วหยกลับชะงักงัน
เนื่องจากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้แม้ว่าภรรยาของเขาจะไม่แสดงท่าที่ว่านอกใจแต่เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าเธอมักจะซื้อชุดสีชมพูที่อ่อนหวาน และให้ความสําคัญกับการแต่งตัวซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก
อันที่จริงสองสามีภรรยารักกันมายี่สิบปีแล้วดังนั้นทั้งสองคนผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยากลําบากมาด้วยกันกว่าจะประสบความสําเร็จอย่างทุกวันนี้อีกทั้งเขายังทะนุถนอมและรักเธอมาก ทําให้เขาปฏิเสธที่จะยอมรับความคิดนี้จากกันบึงของหัวใจแต่ก็ยังคงรู้สึกสงสัย
และตอนนี้เมื่อหยางซื่อเหมยกล่าวแบบนี้ในทันใดหัวใจของเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าดวงตาสีเข้มของเธอเป็นเหมือนกับสิ่งที่สามารถมองทะลุผ่านผู้คนได้
“ลุงเซี่ยวคะ ไม่ทราบว่าคุณลุงเคยได้ยินประโยคที่ว่าอย่าปลูกหม่อนหน้าบ้านอย่าปลูกต้นวิลโลว์หลังบ้านและอย่าปลูกต้นผีปรบมือที่บริเวณหน้าประตูหรือเปล่าคะ?” หยางซื่อเหมยเอ่ยถาม อย่างเปิดเผย
เซี่ยวกั่วหยพยักหน้าเล็กน้อย
“ลุงเคยได้ยินคนสมัยก่อนพูดแบบนี้เหมือนกันแต่ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องล้าหลังจึงไม่ได้ให้ความสําคัญกับมันมากนัก
“ลุงเซียวคะ บางทีสิ่งที่หนูพูดลุงอาจจะไม่เชื่อและขอพูดตามตรงว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับคุณลุงทั้งหมดนี้เป็นเพราะต้นไม้ต้นไม้ที่ชื่อต้นผีปรบมือจริงๆนะคะ ”
“ในบ้านเรามีต้นไม้ที่มีชื่อว่า ต้นผีปรบมือด้วยเหรอ?” เซี่ยวไม่ร้องออกมาอีกว่า
“ซื้อเหมย!เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันนะอย่าแกล้งพูดให้ฉันกลัวสิ”
“ผีปรบมือเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง”
หยางซื่อเหมยอธิบายอย่างอดทนต่อไปว่า
“เมื่อกี้นี้เธอบอกว่า ทันทีที่มีลมพัดมาต้นป๊อปลาร์ก็จะมีเสียงดัง ซึ่งเสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงปรบมือของผีซึ่งสามารถดึงดูดผีและวิญญาณชั่วร้ายได้อย่างง่ายดายแต่นับว่าโชคดีมันยังปลูกได้ไม่นาน ดังนั้นพลังหยินที่แข็งแกร่งจึงยังไม่ได้ก่อตัว
แต่มันสามารถขัดขวางธุรกิจของพ่อของเธอได้และต้นป๊อปลาร์นี้สามารถทําให้คู่รักเปลี่ยนใจได้อย่างไร้เหตุผล”
“ซื้อเหมย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
เมื่อเซี่ยวโม่ได้ยินคําอธิบายเหล่านั้นแล้วเธอก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะท้ายที่สุดเธอก็ยังเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าปีที่มักจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวบนโลกใบนี้อย่างไม่รู้จบ
แต่ตอนนี้สีหน้าของเซี่ยวกั่วหยเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์เพราะเขาคิดถึงวันที่ผ่านมาจึงพบว่าทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่ซื้อเหมยกล่าวทุกประการนับตั้งแต่วันที่เขาย้ายต้นป๊อปลาร์เข้ามาปลูกในบ้านยิ่งไปกว่านั้นร่างกายที่เคยแข็งแรงของเขาก็มักจะอ่อนเพลีย
เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องจริงเหรอ?
แล้วเรื่องที่หยางซื่อเหมยกล่าวว่าวิญญาณชั่วร้ายกําลังรุกราน มันเป็นเรื่องจริงด้วยหรือเปล่า?
หยางซื่อเหมยยิ้มก่อนที่จะกล่าวว่า
“ถ้าเชื่อหนูก็จงรีบย้ายต้นปอปลาร์ตันออกไป แต่ถ้าคุณลุงไม่เชื่อ…ก็ช่วยไม่ได้และถ้าไม่ใช่เพราะเซียวโม่เป็นเพื่อนร่วมชั้นหนูคงจะไม่แนะนําเรื่องนี้ให้กับครอบครัวของคุณลุงแต่เมื่อวานนี้หนูได้ไปตรวจดูฮวงจุ้ยให้กับสํานักงานของคุณฮัวเหวินหัวและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจํานวนหนึ่ง”
“ฮัวเหวินหัวที่เป็นเศรษฐีชาวฮ่องกงคนนั้นใช่หรือเปล่า? โอ้! ซื้อเหมยลูกค้าของเธอเป็นคนมีฐานะระดับนั้นเลยเหรอ?” เซี่ยวโม่หัวเราะ
“หนูสามารถตรวจดูฮวงจุ้ยให้กับเขาได้ก็ถือได้ว่าความสามารถของหนูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
วันนี้เซี่ยวกั่วหุยได้ยินเพื่อนที่ธนาคารของเขากล่าวถึงเรื่องนี้โดยเล่าให้ฟังว่าฮัวเหวินหัวได้เชิญเด็กสาววัยรุ่นมาตรวจดูฮวงจุ้ยและมอบเงินครึ่งล้านให้กับเธอคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นคือหยางซื่อเหมยใช่หรือเปล่า?
จากนั้นเขาก็จ้องมองดูเธออย่างละเอียดอีกครั้งและพบว่านอกจากนัยน์ตาสีดําคู่นั้นแล้วเธอยังมีอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้เปล่งประกายออกมาจากร่างกายซึ่งนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าออร่าที่ทุกคนมักจะกล่าวถึง
เมื่อหมดเรื่องที่จะกล่าว หยางซื่อเหมยจึงเงยหน้าขึ้นมองดูเวลาบนฝาผนังและเห็นว่ามันสายมากแล้วจึงต้องรีบกลับบ้านเพื่อทานอาหารเย็นดังนั้นเธอจึงยืนขึ้นและกล่าวว่า
“ลุงเซี่ยวคะ เซี่ยวโม่ฉันต้องกลับบ้านแล้วส่วนต้นปอปลาร์ก็แล้วแต่พวกคุณจะตัดสินใจแต่ในกรณีที่มันอยู่ที่นั่นนานเวลาหนึ่งเดือน มันจะก่อตัวเป็นออร่าและจิตวิญญาณบางอย่างซึ่งมันจะทําให้เกิดความโกลาหลและจะก่อให้เกิดภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ผ่านมาดังนั้นมันควรจะถูกย้ายไปปลูกที่อื่นจะเป็นการดีกว่าเช่นสวนสาธารณะเพื่อให้สามารถดํารงอยู่ต่อไปได้
เซี่ยวโม่ตกตะลึงทันทีเมื่อได้ฟังสิ่งที่เพื่อนสาวกล่าวจนลืมที่จะลุกขึ้นขณะที่เซี่ยวกั่วหุยพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ขอบคุณมากที่เตือนเดี๋ยวลุงจะรีบย้ายมันออกไปทันทีอ้อ!โปรดรอสักครู่!”
หยางซื่อเหมยยืนดูเขาเดินเข้าไปในห้องจากนั้นเขาก็กลับออกมาพร้อมกับถือถุงสิ่งของในมือแล้วยื่นให้เธอ
“นี่คือค่าตอบแทนสําหรับความช่วยเหลือของหนูในวันนี้”
หยางซื่อเหมยผลักกลับไปทันที
“ลุงเซียวคะวันนี้หนูให้คําแนะนําเพียงแค่เล็กน้อยดังนั้นจึงไม่คิดค่าธรรมเนียมแต่ถ้าคุณต้องการขอให้หนูช่วยทําลายคุณไสยคุณต้องจ่ายเงิน”
เซี่ยวกั่วหุยรู้สึกเกรงใจมาก แต่เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมรับมันจึงไม่ดึงดันอีกต่อไป
“วันนี้ขอบคุณหนูหยางมากครั้งนี้ถือว่าครอบครัวของเราเป็นหนี้บุญคุณที่ไม่อาจลืมได้”
“ไม่เป็นไรคะ”
หยางซื่อเหมยเดินออกจากบ้านไปและหันกลับมาโบกมือให้เซี่ยวโม่ที่ยังคงยืนอยู่ด้านข้างบิดา
เซี่ยวไม่กลับมาหาบิดาเพื่อที่จะเอ่ยถามว่า
“พ่อไม่เชื่อ แล้วจะจ่ายค่าธรรมเนียมให้เธอทําไม?”
“พ่อเชื่อสิ เพราะเธอเป็นคนที่ตรวจดูฮวงจัยให้กับฮัวเหวินหัว”
เซี่ยวกัวหุยพยักหน้าและเดินออกไปดูต้นป๊อปลาร์และเรียกให้คนมาย้ายมันออกไปทันที
แรงมันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
จากทันทีที่ต้นไม้ชนิดหนึ่งถูกย้ายออกไปลูกค้าที่เมื่อวานนี้เคยยกเลิกคําสั่ง ซื้อก็กลับมาหาเขาเพื่อลงนามในคําสั่งซื้อครั้งใหญ่อีกครั้งและนับตั้งแต่นั้นมาโชคชะตาทางธุรกิจของชายผู้นี้ก็ดีวันดี คืน
สําหรับภรรยาของเขาก็เลิกแต่งตัวเลิศหรูและออกไปข้างนอกแต่เธอกลับมาเอาอกเอาใจสามีและกลับมาเป็นมารดาที่ดีดังเดิมอีกทั้งยังปรนนิบัติสามีกับบุตรสาวดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำอย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกอย่างได้กลับมาเป็นปกติสุขเหมือนเดิมแล้ว
Comments
ท้าทายลิขิตสวรรค์ 70 ไม่คิดค่าธรรมเนียม
นิยาย ท้าทายลิขิตสวรรค์ ตอนที่ 70 ไม่คิดค่าธรรมเนียม
ตอนที่ 70 ไม่คิดค่าธรรมเนียม
แม้ว่าหยางซื่อเหมยเพื่อนร่วมชั้นของเซี่ยวโม่และยังเด็กแต่เซี่ยวกั่วหุยก็ต้อนรับเธอด้วยตนเองโดยเขาก็ชงชาให้เธออย่างกระตือรือร้นและเอ่ยถามด้วยความกังวลว่าครอบครัวของเธออาศัย อยู่ที่ไหนและบิดามารดาของเธอทําอาชีพอะไร
โดยเธอตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอมาจากชนบทส่วนบิดาของเธอเป็นเพียงครูโรงเรียนประถมและมารดาของเธอตกงาน
แม้เซี่ยวกั่วหุยผู้ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งร้อยล้านได้ยินว่าเธอมาจากครอบครัวธรรมดาแต่ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงความดูถูกเหยียดหยามใดๆขณะที่ท่าทีของเขายังคงเป็นมิตรและสุภาพ
อีกทั้งยังกล่าวกับเธอว่า ตําแหน่งแม่บ้านประจําห้องรับรองของบริษัทเขายังว่างอยู่และสามารถรับสมัครแม่ของ หยางซื่อเหมยได้ถึงแม้เงินเดือนจะไม่สูงแต่ก็ถือว่าเป็นงานที่สบายมาก
เพียงเพราะเขามีท่าทางจริงใจและเป็นมิตร ดังนั้นหยางซื่อเหมยจึงไม่ต้องการให้เขาต้องทนทุกข์กับอุปสรรคต่างๆเนื่องจากต้นป๊อปลาร์ซึ่งแม้แต่สามีภรรยาก็สามารถแยกทางกันได้
“ลุงเซี่ยว ไม่ทราบว่าคุณลุงเชื่อเรื่องฮวงจัยหรือเปล่า?”
เธอมองไปที่เขาและเอ่ยถาม
เนื่องจากเธอพบว่าตระกูลเซี่ยวกับคนในบ้านหยางต้าเจียนั้นแตกต่างกันโดยการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกของบ้านหลังนี้ไม่ได้ใส่ใจกับรูปแบบของฮวงจุ้ยเลยและทุกอย่างเป็นไปตา มอําเภอใจ
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้อาจจะไม่ส่งผลกับทุกสถานที่แต่บังเอิญว่ามันส่งผลต่อบ้านหลังนี้โดยปัญหามันอยู่ที่ต้นขอปลาร์ที่ปลูกใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว
“โอ้! ทําไมหนูถึงถามแบบนี้สําหรับเรื่องฮวงจุ้ยฉันเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาเรื่องนี้เลย”เซี่ยวกั่วหยหัวเราะ
“หนูหยางสนใจเรื่องฮวงจุ้ยหรือ?เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมากไม่ใช่เหรอ?”
“หนูสนใจมากค่ะ และได้ศึกษาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ที่มีประสบการณ์ซึ่งศึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยมากว่าสิบปีและถือ ได้ว่าท่านเป็นปรมาจารย์ท่านหนึ่ง”หยางซื่อเหมยยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“โอ้! แล้วหนูหยางมีความคิดเห็นยังไงกับฮวงจุ้ยที่นี่” เซี่ยวกั่วหุยเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะค่ะว่าแต่ว่าช่วงนี้คุณลุงได้ประสบกับเรื่องเลวร้ายและเพิ่งสูญเสียธุรกิจเงินล้านไปใช่หรือเปล่าคะ?”หยางซื่อเหมยไม่ต้องการอ้อมค้อมจึงเอ่ยถามตามตรง
“ไอ้หยา! หนูรู้ได้ยังไง? ลูกสาวของลุงบอกอย่างนั้นเหรอ?แต่ลุงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเซี่ยวโม่เลยนะ”เซี่ยวกั่วหุยเอ่ยถามด้วยความงงงวย
“พ่อมีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจเหรอ?”เซียวโม่เอ่ยถามอย่างกังวล
เซี่ยวกั่วหุยพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวว่า
“อืม”
“ไม่เป็นไรนะ! เดี๋ยวก็จะค่อยๆดีขึ้น”เซี่ยวโม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างเซี่ยวกั่วหุยปลอบโยน
และเซี่ยวกั่วหุยตบหลังมือของเธอเพื่อต้องการให้บุตรสาวสบายใจ จากนั้นได้เอ่ยถามหยางซื่อเหมยด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“หนูหยางรู้เรื่องเกี่ยวกับลุงได้ยังไง?”
“คุณลุงเซี่ยวคะ จุดหยินบนใบหน้าของคุณหมองคล่ำส่วนดวงตาของคุณก็ไม่สดใสซึ่งมันหมายความว่าช่วงนี้คุณลุงมีโชคร้ายมากและถูกปิดกั้นโชคลาภอีกทั้งอาจจะมีอาจปัญหากับภรรยาจนหันหน้าไปทางอื่นด้วย”
“หยางซื่อเหมย เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง? พ่อแม่ของฉันรักกันมาก แล้วพวกเขาจะเลิกกันได้ยังไง?อันที่จริงฉันสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอมาที่นี่ทําไม?”เซี่ยวโม่ร้องออกมา
ขณะที่บุตรสาวกําลังต่อว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนท่าทางของเซี่ยวกั่วหยกลับชะงักงัน
เนื่องจากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้แม้ว่าภรรยาของเขาจะไม่แสดงท่าที่ว่านอกใจแต่เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าเธอมักจะซื้อชุดสีชมพูที่อ่อนหวาน และให้ความสําคัญกับการแต่งตัวซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก
อันที่จริงสองสามีภรรยารักกันมายี่สิบปีแล้วดังนั้นทั้งสองคนผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยากลําบากมาด้วยกันกว่าจะประสบความสําเร็จอย่างทุกวันนี้อีกทั้งเขายังทะนุถนอมและรักเธอมาก ทําให้เขาปฏิเสธที่จะยอมรับความคิดนี้จากกันบึงของหัวใจแต่ก็ยังคงรู้สึกสงสัย
และตอนนี้เมื่อหยางซื่อเหมยกล่าวแบบนี้ในทันใดหัวใจของเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าดวงตาสีเข้มของเธอเป็นเหมือนกับสิ่งที่สามารถมองทะลุผ่านผู้คนได้
“ลุงเซี่ยวคะ ไม่ทราบว่าคุณลุงเคยได้ยินประโยคที่ว่าอย่าปลูกหม่อนหน้าบ้านอย่าปลูกต้นวิลโลว์หลังบ้านและอย่าปลูกต้นผีปรบมือที่บริเวณหน้าประตูหรือเปล่าคะ?” หยางซื่อเหมยเอ่ยถาม อย่างเปิดเผย
เซี่ยวกั่วหยพยักหน้าเล็กน้อย
“ลุงเคยได้ยินคนสมัยก่อนพูดแบบนี้เหมือนกันแต่ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องล้าหลังจึงไม่ได้ให้ความสําคัญกับมันมากนัก
“ลุงเซียวคะ บางทีสิ่งที่หนูพูดลุงอาจจะไม่เชื่อและขอพูดตามตรงว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับคุณลุงทั้งหมดนี้เป็นเพราะต้นไม้ต้นไม้ที่ชื่อต้นผีปรบมือจริงๆนะคะ ”
“ในบ้านเรามีต้นไม้ที่มีชื่อว่า ต้นผีปรบมือด้วยเหรอ?” เซี่ยวไม่ร้องออกมาอีกว่า
“ซื้อเหมย!เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันนะอย่าแกล้งพูดให้ฉันกลัวสิ”
“ผีปรบมือเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง”
หยางซื่อเหมยอธิบายอย่างอดทนต่อไปว่า
“เมื่อกี้นี้เธอบอกว่า ทันทีที่มีลมพัดมาต้นป๊อปลาร์ก็จะมีเสียงดัง ซึ่งเสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงปรบมือของผีซึ่งสามารถดึงดูดผีและวิญญาณชั่วร้ายได้อย่างง่ายดายแต่นับว่าโชคดีมันยังปลูกได้ไม่นาน ดังนั้นพลังหยินที่แข็งแกร่งจึงยังไม่ได้ก่อตัว
แต่มันสามารถขัดขวางธุรกิจของพ่อของเธอได้และต้นป๊อปลาร์นี้สามารถทําให้คู่รักเปลี่ยนใจได้อย่างไร้เหตุผล”
“ซื้อเหมย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
เมื่อเซี่ยวโม่ได้ยินคําอธิบายเหล่านั้นแล้วเธอก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะท้ายที่สุดเธอก็ยังเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าปีที่มักจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวบนโลกใบนี้อย่างไม่รู้จบ
แต่ตอนนี้สีหน้าของเซี่ยวกั่วหยเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์เพราะเขาคิดถึงวันที่ผ่านมาจึงพบว่าทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่ซื้อเหมยกล่าวทุกประการนับตั้งแต่วันที่เขาย้ายต้นป๊อปลาร์เข้ามาปลูกในบ้านยิ่งไปกว่านั้นร่างกายที่เคยแข็งแรงของเขาก็มักจะอ่อนเพลีย
เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องจริงเหรอ?
แล้วเรื่องที่หยางซื่อเหมยกล่าวว่าวิญญาณชั่วร้ายกําลังรุกราน มันเป็นเรื่องจริงด้วยหรือเปล่า?
หยางซื่อเหมยยิ้มก่อนที่จะกล่าวว่า
“ถ้าเชื่อหนูก็จงรีบย้ายต้นปอปลาร์ตันออกไป แต่ถ้าคุณลุงไม่เชื่อ…ก็ช่วยไม่ได้และถ้าไม่ใช่เพราะเซียวโม่เป็นเพื่อนร่วมชั้นหนูคงจะไม่แนะนําเรื่องนี้ให้กับครอบครัวของคุณลุงแต่เมื่อวานนี้หนูได้ไปตรวจดูฮวงจุ้ยให้กับสํานักงานของคุณฮัวเหวินหัวและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจํานวนหนึ่ง”
“ฮัวเหวินหัวที่เป็นเศรษฐีชาวฮ่องกงคนนั้นใช่หรือเปล่า? โอ้! ซื้อเหมยลูกค้าของเธอเป็นคนมีฐานะระดับนั้นเลยเหรอ?” เซี่ยวโม่หัวเราะ
“หนูสามารถตรวจดูฮวงจุ้ยให้กับเขาได้ก็ถือได้ว่าความสามารถของหนูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
วันนี้เซี่ยวกั่วหุยได้ยินเพื่อนที่ธนาคารของเขากล่าวถึงเรื่องนี้โดยเล่าให้ฟังว่าฮัวเหวินหัวได้เชิญเด็กสาววัยรุ่นมาตรวจดูฮวงจุ้ยและมอบเงินครึ่งล้านให้กับเธอคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นคือหยางซื่อเหมยใช่หรือเปล่า?
จากนั้นเขาก็จ้องมองดูเธออย่างละเอียดอีกครั้งและพบว่านอกจากนัยน์ตาสีดําคู่นั้นแล้วเธอยังมีอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้เปล่งประกายออกมาจากร่างกายซึ่งนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าออร่าที่ทุกคนมักจะกล่าวถึง
เมื่อหมดเรื่องที่จะกล่าว หยางซื่อเหมยจึงเงยหน้าขึ้นมองดูเวลาบนฝาผนังและเห็นว่ามันสายมากแล้วจึงต้องรีบกลับบ้านเพื่อทานอาหารเย็นดังนั้นเธอจึงยืนขึ้นและกล่าวว่า
“ลุงเซี่ยวคะ เซี่ยวโม่ฉันต้องกลับบ้านแล้วส่วนต้นปอปลาร์ก็แล้วแต่พวกคุณจะตัดสินใจแต่ในกรณีที่มันอยู่ที่นั่นนานเวลาหนึ่งเดือน มันจะก่อตัวเป็นออร่าและจิตวิญญาณบางอย่างซึ่งมันจะทําให้เกิดความโกลาหลและจะก่อให้เกิดภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ผ่านมาดังนั้นมันควรจะถูกย้ายไปปลูกที่อื่นจะเป็นการดีกว่าเช่นสวนสาธารณะเพื่อให้สามารถดํารงอยู่ต่อไปได้
เซี่ยวโม่ตกตะลึงทันทีเมื่อได้ฟังสิ่งที่เพื่อนสาวกล่าวจนลืมที่จะลุกขึ้นขณะที่เซี่ยวกั่วหุยพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ขอบคุณมากที่เตือนเดี๋ยวลุงจะรีบย้ายมันออกไปทันทีอ้อ!โปรดรอสักครู่!”
หยางซื่อเหมยยืนดูเขาเดินเข้าไปในห้องจากนั้นเขาก็กลับออกมาพร้อมกับถือถุงสิ่งของในมือแล้วยื่นให้เธอ
“นี่คือค่าตอบแทนสําหรับความช่วยเหลือของหนูในวันนี้”
หยางซื่อเหมยผลักกลับไปทันที
“ลุงเซียวคะวันนี้หนูให้คําแนะนําเพียงแค่เล็กน้อยดังนั้นจึงไม่คิดค่าธรรมเนียมแต่ถ้าคุณต้องการขอให้หนูช่วยทําลายคุณไสยคุณต้องจ่ายเงิน”
เซี่ยวกั่วหุยรู้สึกเกรงใจมาก แต่เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมรับมันจึงไม่ดึงดันอีกต่อไป
“วันนี้ขอบคุณหนูหยางมากครั้งนี้ถือว่าครอบครัวของเราเป็นหนี้บุญคุณที่ไม่อาจลืมได้”
“ไม่เป็นไรคะ”
หยางซื่อเหมยเดินออกจากบ้านไปและหันกลับมาโบกมือให้เซี่ยวโม่ที่ยังคงยืนอยู่ด้านข้างบิดา
เซี่ยวไม่กลับมาหาบิดาเพื่อที่จะเอ่ยถามว่า
“พ่อไม่เชื่อ แล้วจะจ่ายค่าธรรมเนียมให้เธอทําไม?”
“พ่อเชื่อสิ เพราะเธอเป็นคนที่ตรวจดูฮวงจัยให้กับฮัวเหวินหัว”
เซี่ยวกัวหุยพยักหน้าและเดินออกไปดูต้นป๊อปลาร์และเรียกให้คนมาย้ายมันออกไปทันที
แรงมันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
จากทันทีที่ต้นไม้ชนิดหนึ่งถูกย้ายออกไปลูกค้าที่เมื่อวานนี้เคยยกเลิกคําสั่ง ซื้อก็กลับมาหาเขาเพื่อลงนามในคําสั่งซื้อครั้งใหญ่อีกครั้งและนับตั้งแต่นั้นมาโชคชะตาทางธุรกิจของชายผู้นี้ก็ดีวันดี คืน
สําหรับภรรยาของเขาก็เลิกแต่งตัวเลิศหรูและออกไปข้างนอกแต่เธอกลับมาเอาอกเอาใจสามีและกลับมาเป็นมารดาที่ดีดังเดิมอีกทั้งยังปรนนิบัติสามีกับบุตรสาวดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำอย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกอย่างได้กลับมาเป็นปกติสุขเหมือนเดิมแล้ว
Comments