นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 144 นี่จึงเรียกว่าการช่วยชีวิต

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 144 นี่จึงเรียกว่าการช่วยชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 144 นี่จึงเรียกว่าการช่วยชีวิต
คาดว่านายพลเว่ยคงจะรู้สึกตกอกตกใจไม่น้อย เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะจัดเตรียมของเสร็จเขาก็ได้อุ้มเด็กคนนั้นเดินตรงเข้ามาแล้ว
เด็กคนนั้นเป็นไปดังที่เขากล่าว ลมหายใจค่อนข้างรวยริน ใบหน้าซีดเซียว บนศีรษะมีรอยช้ำขนาดใหญ่ บัดนี้ยังเลือดไหลไม่หยุด
มองไปแล้วคาดว่าอายุน่าจะประมาณสี่ห้าขวบ เจ้าหนูหดอยู่ในอ้อมแขนของนายพลเว่ยไม่ขยับเขยื้อนดุจเช่นลูกแมวตัวน้อย
“วางเขาลงเถิด” เฟิ่งชิงเฉินไม่แม้แต่จะหันมามอง นายพลเว่ยผู้ที่เหงื่อออกท่วมกายเหลือบมอง แต่บัดนี้ดวงตาของนางมีเพียงแค่เด็กน้อยที่หายใจรวยริน
ต้องช่วยเขา นางต้องช่วยชีวิตเขาให้ได้!
ไม่รู้ว่าเพราะสิ่งใดความเชื่อนี้จึงค่อนข้างจะแข็งแกร่งกว่าในครั้งก่อนๆ นางรู้สึกว่าชุดเครื่องมือการรักษาของนางเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ และบีบบังคับให้นางรักษาคนไข้คนนี้ให้ได้
“อืม” ในกระท่อมไม้หลังเล็กๆ นี้บรรยากาศค่อนข้างเคร่งขรึม
นายพลเว่ยไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา
“ระวังด้วย” เฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางอันงุ่มง่ามของนายพลเว่ยที่รีบก้าวเข้ามาช่วยจึงได้กล่าวเอาไว้
ทันใดนั้นเอง แม่ของเด็กน้อยคนนี้ก็คือสะใภ้เถี่ยก็ตามมาถึง เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินนางก็คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า
“เฟิ่งซิ่ว ได้โปรดเถิดท่านผู้มีความเมตตา ช่วยลูกชายของข้าด้วย ข้าขอร้อง!”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
สะใภ้เถี่ยยืมเงินสิบตำลึงมาจากตระกูลเว่ย จากนั้นอุ้มพาลูกชายหาที่รักษาไปทั่ว แต่หมอล้วนส่ายหน้ากล่าวว่าไม่รอดแน่ พวกเขากล่าวว่าจะต้องใช้โสมพันปีในการยื้อชีวิต
โสมพันปี……พวกเขาจะมีเงินซื้อมันได้อย่างไร
หากไม่มีโสมพันปี เด็กคนนี้ก็ได้แต่รอความตาย
ลูกหลานของครอบครัวที่ยากจนล้วนมีชีวิตสั้นเช่นนี้ สองสามีตระกูลเถี่ยรู้สึกสิ้นหวัง สะใภ้เถี่ยอุ้มลูกน้อยเอาไว้แล้วร้องไห้ไม่หยุด นางรู้สึกเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ และสงสารเจ้าหนูเหลือเกิน……
แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆ นายพลเว่ยก็วิ่งไปที่บ้านของพวกเขาแล้วกล่าวว่าเฟิ่งซิ่วสามารถช่วยลูกของพวกเขาได้
ในตอนแรกพวกเขาก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งนายพลเว่ยอุ้มลูกเข้ามาที่จวนเฟิ่งจึงได้รู้เรื่องราวอันแท้จริง สะใภ้เถี่ยดีใจจนพูดไม่ออก เนิ่นนานทีเดียวกว่านางจะได้สติกลับคืนมา ตอนที่เธอตั้งสติได้นั้นนายพลเว่ยก็อุ้มลูกของนางมาที่จวนเฟิ่งแล้ว
สะใภ้เถี่ยรีบวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว…..
“โจวสิง พาพวกเขาออกไปไม่ให้ใครเข้ามาทั้งนั้น”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ลุกขึ้นไปปลอบโยนใคร นางเข็นเตียงผ่าตัดออกมา จากนั้นปิดประตูลงด้วยท่าทางอันเยือกเย็น ดูไม่เหมือนหมอที่กำลังจะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
สะใภ้เถี่ยได้แต่ตกตะลึง นางลืมไปเลยว่าร้องไห้อยู่ แม่ทัพเว่ยเองก็ทำตัวไม่ถูก
นางกำลังจะช่วยชีวิตคนหรือ?
เหตุใดจึงได้เฉยเมยเช่นนี้?
มีเพียงแค่โจวสิงเท่านั้นที่ทำท่าทางสงบนิ่งแล้วเชิญทุกคนออกไปอย่างมีมารยาท ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามารบกวนเฟิ่งชิงเฉินเลย
เฟิ่งชิงเฉินทำการตรวจอาการให้เด็กน้อย นับตั้งแต่ตอนแรกด้วยการหยุดเลือด รักษาบาดแผล ระหว่างนั้นนางได้ออกมาครั้งหนึ่งและเรียกสองสามีภรรยาตระกูลเถี่ยเข้าไป ก่อนจะใช้ผ้าปิดตาห้องทั้งสองคนแล้วเจาะเลือดของพวกเขาเพื่อทำการตรวจ จากนั้นก็ได้ให้พวกเขาออกมาโดยไม่ได้เอ่ยถามหรืออธิบายสิ่งใดสักคำ
สองสามีภรรยาตระกูลเถี่ยรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลยแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถาม เพราะความหวังทุกอย่างของพวกเขาขึ้นอยู่กับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว
นายพลเว่ยและเว่ยฮูหยินก็ไม่กล้าเดินทางจากไปไหน ได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอกตั้งแต่เช้าจนเย็น เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงไม่ได้ออกมา
จึงทำให้สองสามีภรรยารู้สึกตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น น้ำตาเมื่อครู่ที่หยุดลงแล้วได้ไหลลงมาอีกครั้ง พวกเขาพยายามสอบถาม แต่โจวสิงก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจึงทำได้แต่รอคอย
ภายในห้องผ่าตัด เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้กระทั่งวันเวลา
เจ้าเด็กน้อยยังเล็กมากเหลือเกิน และได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก ประกอบกับการที่เสียเลือดมากจนเกินไป ดังนั้นทุกวินาทีจึงเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ละวินาทีที่ผ่านพ้นไปดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินกำลังต่อสู้กับเทพเจ้าแห่งความตาย นางไม่มีเวลาพอที่จะไปกังวลเรื่องของผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านนอกห้องผ่าตัดเลย
นางรู้เพียงแค่ว่าจะต้องช่วยเหลือเด็กคนนี้ให้ได้ เด็กคนนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้ จะเกิดเรื่องไม่ได้ขึ้นเด็ดขาด!
ส่วนเหตุผลนั้นที่จริงเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง ว่าหากนางไม่ช่วยเด็กคนนี้ให้รอด ทั้งชีวิตนี้นางจะพบแต่ความเสียใจ ต่อให้ถูกองค์จักรพรรดิบีบบังคับให้ช่วยเหลือตงหลิงจื่อลั่ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้มีความรู้สึกแรงกล้าเช่นนี้
แม้ว่าจะค่อนข้างรีบร้อน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงทำทุกอย่างมีระบบระเบียบไม่ได้ลนลาน ทั้งการเคลื่อนไหวและมือของนาง ไม่ได้ดูตื่นตระหนกไปด้วย
หลังจากการผ่าตัด เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ได้ออกไปโดยทันควัน นางเฝ้ารออยู่ที่นี่จนกระทั่งเช้าตรู่ ชุดเครื่องมือการแพทย์อัจฉริยะของนางตรวจสอบพบว่าผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้วนางจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วทรุดตัวลงบนเก้าอี้
แต่สิ่งที่นางไม่ได้สนใจก็คือ ที่กระเป๋าแพทย์อัจฉริยะของนางใบนั้นมีตัวอักษรวาบขึ้นมาแสดงว่า จริยธรรมทางการแพทย์+1
เมื่อพักผ่อนเป็นเวลาประมาณสิบห้านาที เฟิ่งชิงเฉินก็ลุกขึ้นยืนแล้วเก็บห้องผ่าตัดให้สะอาดสะอ้านพลางน้ำตาไหล
เฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจแล้วว่านางจะต้องหาผู้ที่นางไว้ใจได้มากที่สุดมาคนหนึ่ง คอยสั่งสอนให้เป็นผู้ช่วยผ่าตัด ไม่เช่นนั้นการผ่าตัดแต่ละครั้งเมื่อนางทำคนเดียวก็เหนื่อยมากเหลือเกิน
แขนขาอ่อนล้าปวดเมื่อยและง่วงยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินจับไปที่หน้าของตนเองพยายามทำให้ดูสดชื่น แล้วเดินเข็นเตียงผู้ป่วยออกไป เมื่อประตูถูกเปิดออกนางก็ตกใจกับสถานการณ์ข้างหน้า
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ด้านนอกห้องผ่าตัดมีผู้คนมากมาย แต่ละคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง โดยมากเป็นผู้พิการและคนชราอ่อนแอสตรีและเด็กๆ ดวงตาแดงเรื่อ ใบหน้าซูบผอม มองไปแล้วช่างน่าสงสารเหมือนกับผู้หลบลี้หนีภัย
เฟิ่งชิงเฉินพอจะเข้าใจบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“เฟิ่งซิ่ว เฟิ่งซิ่ว ลูกของข้า……” สะใภ้เถี่ยรีบวิ่งตรงเข้าไปอันดับแรกและมองดูเด็กน้อยที่อยู่บนเตียง น้ำตาของนางนองหน้าและเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังพร้อมกับความหวังเล็กๆ ในดวงตาแต่ก็ยังไม่กล้าก้าวไปใกล้นัก
ข้างกายของนางมีชายวัยกลางคนถือไม้ค้ำยืนอยู่ข้างๆ มองไปแล้วอายุยังไม่มากเท่าไหร่แต่ผมกลับหงอกขาว เห็นได้ชัดว่าชีวิตอยู่อย่างยากลำบากยิ่งนัก
ที่แท้บรรดาทหารพิการเหล่านี้มีชีวิตที่ลำบากลำบน เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
“พวกเจ้าคือพ่อแม่ของเด็กหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยถาม
แม่ทัพเว่ยก็ได้อยู่เป็นเพื่อนพวกเขาทั้งคืน เมื่อเห็นสิ่งนี้เขาจึงได้รีบเข้าไปด้านหน้าแล้วอธิบาย “เฟิ่งซิ่ว พวกเขาคือสองสามีตระกูลเถี่ย เด็กคนนั้นชื่อว่าเถี่ยโถว เป็นลูกของพวกเขา คนเหล่านี้อาศัยอยู่กับตระกูลเถี่ย พวกเขาล้วนเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายพลเฟิ่งในตอนนั้น”
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“ลุงเถี่ยและสะใภ้เถี่ย พวกเจ้าลุกขึ้นมาเถิด เถี่ยโถวไม่เป็นไรแล้ว พักผ่อนไม่กี่วันก็หาย”
“เฟิ่งซิ่ว เจ้ากล่าวจริงหรือ เถี่ยโถวไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้วจริงหรือ?” สองสามีภรรยาตระกูลเถี่ยดูไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินเลย
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเป็นการยืนยัน สองสามีภรรยาจึงรีบคุกเข่าลง “เฟิ่งซิ่วขอบใจเจ้ามากขอบใจจริงๆ เจ้าเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ของพวกเรา เฟิ่งซิ่ว ความเมตตานี้พวกเราจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต เราสองสามีภรรยายินดีรับใช้เจ้าดุจดั่งวัวและม้า”
“ลุกขึ้นมาเถิด นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ” เฟิ่งชิงเฉินพยุงสองสามีภรรยาตระกูลเถี่ยให้ลุกขึ้น ในใจของนางรู้สึกปวดใจนัก
ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ผู้ป่วยมักไม่มีเงินในการรักษา หากเป็นโรคร้ายแรงขึ้นมาก็ไม่มีเงินรักษาและทำได้เพียงแบกรับร่างกายนั้น หากไม่ไหวก็ตายไป
อาการบาดเจ็บของเถี่ยโถวไม่ได้รุนแรงเท่ากับตงหลิงจื่อลั่วสักครึ่ง แต่หากไม่ได้รักษาอย่างทันท่วงที ชีวิตของเขาก็อาจจะต้องสูญเสียไป
เมื่อมองไปยังบิดามารดาของเถี่ยโถว ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงสัมผัสได้ถึงการอยากจะช่วยเหลือเด็กคนนี้เหลือเกิน
เนื่องจากว่าเด็กคนนี้ หากนางไม่ช่วยก็จะตายแน่……
การช่วยเด็กคนนี้ทำให้นางรู้สึกภาคภูมิใจกว่าการช่วยตงหลิงจื่อลั่วมากนัก
เมื่อมองเห็นชีวิตอันยากลำบากของทหารผ่านศึกเหล่านี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงตั้งใจจะพยายามดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดแทนบิดาของตน อย่างน้อยให้ผู้เจ็บป่วยได้รักษาอย่างทันท่วงที
“ข้า……”
เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะกล่าวออกมาได้เพียงคำหนึ่งก็รู้สึกว่าท้องฟ้าหมุน ร่างของนางล้มลงไปอย่างรวดเร็ว……
“เฟิ่งซิ่ว……!”
“เฟิ่งชิงเฉิน……!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *