นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 149 คมเฉือนคม

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 149 คมเฉือนคม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 149 คมเฉือนคม
เสด็จอาเก้าอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนมองหน้ากันไปมา คนนั้นมองคนนี้ คนนี้มองคนนั้น
พวกเขาไม่ได้ตกใจสถานะของเสด็จอาเก้า แต่ว่า……
งานกวีครั้งนี้ไม่ได้เชิญสมาชิกราชวงศ์คนใดมางานเลย มิใช่ว่าไม่สามารถเชิญได้ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยยกย่องสมาชิกราชวงศ์แห่งตงหลิง
ราชวงศ์แห่งตงหลิงสถาปนามาได้ยังไม่ถึงร้อยปี การสืบทอดทายาทก็ยังไม่ถึง 3 รุ่น ราษฎรจึงไม่ค่อยยอมรับพวกเขาเท่าใดนัก ในงานกวีเช่นนี้ใช่ว่าฐานะผ่านเกณฑ์แล้วจะเข้าร่วมได้ หากไม่มีความสามารถที่เกี่ยวข้อง จะเป็นผู้ดีมีสกุลจากที่ใดก็ไม่อาจเข้าร่วมได้ การเชื้อเชิญมาร่วมงานในครั้งนี้ มีความเคร่งครัดยิ่งกว่าการเชิญไปร่วมงานเทศกาลดอกท้อขององค์หญิงอันผิงเสียอีก
เสด็จอาเก้า ตำแหน่งของเขาก็ไม่ได้สูงส่งเท่าใดนัก แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปยุ่งกับเขา หลายๆคนยกย่องเสด็จอาเก้า สำหรับผู้ที่ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ก็ถือได้ว่าเสด็จอาเก้ารูปโฉมงามสง่าสะดุดตา
งานกวีที่จัดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน มีการทูลเชิญเสด็จอาเก้ามาร่วมงาน แต่เขาก็ไม่เคยปรากฏตัว ครั้งต่อๆมาจึงไม่มีการทูลเชิญเสด็จอาเก้าอีกเลย
งานกวีดังกล่าว เสด็จอาเก้าเป็นคนแรกที่ได้รับเชิญแต่ไม่ยอมมาร่วมงาน
แต่ทำไมคราวนี้ถึงมาโผล่ที่นี่ได้?
หรือว่างานกวีในปีนี้จะมีบางอย่างที่แปลกใหม่?
ทุกคนแววตาเป็นประกาย โดยเฉพาะพวกคุณหนูทั้งหลายที่รีบแจ้นออกไปดู พวกนางอยากเห็นเสด็จอาเก้า แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี
แต่เมื่อออกมาด้านนอกแล้ว ทุกคนก็ต้องสะดุ้งเฮือก เสด็จอาเก้ากำลังรับหญิงสาวนางหนึ่งลงมาจากรถม้า?
หญิงสาวที่เสด็จอาเก้ารับลงมาจากรถม้าคือผู้ใดกันนะ?
การแต่งกายเช่นนั้น บุคลิกท่าทางเช่นนั้น……
“เฟิ่งชิงเฉิน?”
“ทำไมจึงเป็นนางไปได้ล่ะ?”
ไม่รู้ว่าใครอุทานชื่อนั้นออกมา ทำเอาคนอื่นๆที่ได้ยินเกือบลืมถวายความเคารพต่อเสด็จอาเก้าเสียแล้ว
“นางแต่งกายได้……” แล้วก็หยุดพูดไป เพราะคำว่า “งาม” ไม่สามารถนำมาใช้กับสภาพการแต่งกายของเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ได้จริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินเป็นหญิงงาม ไม่ได้งามที่เปลือกนอก แต่งามที่บุคลิกของนาง การที่นางยืนอยู่เคียงข้างเสด็จอาเก้าก็มิได้ทำให้นางดูอับแสงแม้แต่น้อย
เฟิ่งชิงเฉินไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่แต่งกายฟู่ฟ่า นางสวมเพียงชุดด้านในสีม่วงและเสื้อคลุมตัวยาวสีแดงเพียงเท่านั้น
กระโปรงของนางบานแต่ก็ไม่ยาวลากพื้น นางไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับเลยแม้แต่ชิ้นเดียว มีเพียงสายรัดเอวสีดำเพียงเท่านั้น
แขนเสื้อหลวมและกว้าง เมื่อแขนเสื้อกรีดกรายก็ดูพลิ้วไหวน่ามองยิ่งนัก
ผมยาวๆของเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้เกล้าขึ้น แต่ก็ไม่ได้ปล่อยสยาย นางใช้ยางรัดผมมัดรวบธรรมดา ตรงหน้าผากก็ไม่ทำหน้าม้า เผยให้เห็นหน้าผากที่อิ่มสวย มีปอยผมบางๆร่วงลงมาหน้าเนินอกทางฝั่งซ้าย เมื่อสายลมพัดมา ปอยผมนั้นก็ปลิวไสว
การแต่งตัวที่สมถะเรียบง่าย รูปโฉมการออกงานเช่นนี้ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ
การแต่งตัวเช่นนี้ของเฟิ่งชิงเฉินรังสรรค์ขึ้นมาเพื่องานกวีโดยเฉพาะ ไม่ว่านางจะออกงานที่ไหน นางก็แต่งตัวให้เกียรติงานอยู่เสมอ
เสด็จอาเก้าพยักหน้าอย่างพอใจ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกเลยว่าสายตาคู่อื่นที่จับจ้องมานั้นดูเยือกเย็นเพียงใด
ก่อนลงจากรถม้า เขาได้กระซิบที่ข้างหูของเฟิ่งชิงเฉินว่า “อย่าทำให้ข้าขายหน้าล่ะ”
เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินก็ประหม่า แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาพูดแล้วนางก็พยักหน้า และเรียกความเชื่อมั่นมาให้กับตนเอง
“ชิงเฉินเข้าใจแล้วเพคะ”
นางจะไม่ทำให้เสด็จอาเก้าต้องเสียหน้าเป็นอันขาด
“ไปได้แล้ว……”
นางแยกตัวออกมาจากเสด็จอาเก้าแล้วกวาดสายตามองผู้คน และผู้ที่สะดุดตานางมากที่สุดก็คือหวังจิ่นหลิง เขายิ้มให้กับนางเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย
ในขณะที่นางมองผู้คนอยู่นั้น แววตาของนางก็ฉายความงามแบบพิฆาตจนคนอื่นๆรู้สึกตาพร่ามัว
“นี่น่ะหรือเฟิ่งชิงเฉิน?” หญิงสาวนางหนึ่งร้องดังออกมา นางดูตกใจยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าเสด็จอาเก้าเสด็จมาเสียอีก
เฟิ่งชิงเฉิน ทำไมถึงงามอย่างนี้นะ?
เป็นความงามที่มีลักษณะเฉพาะตัว ความงามเช่นนี้เฉิดฉายจากตัวนาง
“ชิงเฉินมาถึงช้า ขออภัยทุกๆท่านด้วยนะคะ” เฟิ่งชิงเฉินค้อมตัวเบาๆ แล้วเดินผ่านฝูงชนไปอย่างไม่ใส่ใจ นางเดินเข้าไปภายในสวนป๋ายฉ่าว แขกคนอื่นๆต่างพากันหลีกทางให้นางเดิน
“เฟิ่งชิงเฉิน ทำไมมากับเสด็จอาเก้าล่ะ?” เซี่ยซานเริ่มตั้งสติได้ เขาเอ่ยถามนางพลางชี้ไปที่กลุ่มทหารส่วนพระองค์ที่ยืนอยู่ไกลๆ
ทางเดินด้านหน้ามีบรรดาคุณหนูยืนอยู่เต็มไปหมด เฟิ่งชิงเฉินจึงหยุดเดินแล้วหันมาตอบว่า “รถม้าข้าเสีย พอดีไปเจอกับเสด็จอาเก้า เขาเลยแวะมาส่งข้า”
“รถม้าเสียแล้วพอดีไปเจอกับเสด็จอาเก้าจนเขามาส่งเจ้าน่ะหรือ?” เซี่ยซานฟังแล้วแทบอยากสะดุดล้ม
นี่เสด็จอาเก้าเป็นคนเอื้อเฟื้อตั้งแต่เมื่อใดกัน เขาใจจืดใจดำชนิดที่ว่ามีคนกำลังจะตายอยู่ตรงหน้าก็ยังขี้เกียจยื่นมือเข้าไปช่วย
“ทำไมล่ะ? ไม่ได้หรืออย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เอ่อ ได้ ได้สิ” เซี่ยซานพยักหน้าหงึกๆ
“เจ้าใช้เล่ห์กลอะไรหรือ เสด็จอาเก้าจึงมาส่งเจ้าได้น่ะ?” ซือหม่าเยียนลุกขึ้นยืนและกัดฟันถามเฟิ่งชิงเฉิน
หากนางรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกก็คงจะใจดีรับเฟิ่งชิงเฉินมาพร้อมกัน ไม่น่าปล่อยให้นางคว้าโอกาสทองเลย
“เล่ห์กล? ข้าจำเป็นต้องใช้ด้วยงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินตอบพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วนางก็เหลือบไปเห็นเซี่ยฮูหยินที่ยืนอยู่ตรงหน้า จึงรีบเดินไปหาในทันที “เซี่ยฮูหยิน ต้องขออภัยด้วยนะคะที่ชิงเฉินมาช้า”
แววตาเฟิ่งชิงเฉินดูเยือกเย็น
วันนี้เสด็จอาเก้ามาส่งนาง นางก็เหมือนตัวแทนของเสด็จอาเก้า ต้องวางมาดกันเสียหน่อย เพื่อเป็นการให้เกียรติต่อเสด็จอาเก้า
พวกงานจำพวกเทศกาลดอกท้อหรืองานกวีประเภทนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินต้องทำให้ทุกคนรู้ว่า อย่ามายั่วโมโหนางเป็นอันขาด
“ไม่เป็นไรจ้ะ แต่ว่าคุณหนูเฟิ่งมาช้า จะต้องถูกลงโทษนะจ๊ะ” ซือหม่าเยียนกล่าวกับเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางใจดี ส่วนเซี่ยฮูหยินก็มองนางและส่งยิ้ม
“ชิงเฉินทราบแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับอย่างนุ่มนวล
คุณชายคนอื่นๆก็เห็นดีเห็นงามด้วย “ใช่ๆๆ จะต้องถูกลงโทษ แต่จะลงโทษอย่างไรดีล่ะ? จริงสิ คนมาช้าจะต้องดื่ม 3 จอก แล้ววันนี้เป็นงานกวี ก็ต้องให้แม่นางเฟิ่งแต่งกลอนเพิ่มอีกสัก 1 บท”
“ข้าว่าลงโทษด้วยการดื่มอย่างเดียวก็พอแล้ว ถ้าจะให้แต่งกลอนคงไม่ไหว ในตงหลิงมีใครไม่รู้บ้างว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ถนัดอ่านเขียน แล้วจะไปแต่งกลอนได้อย่างไร แต่งกลอนบทเดียวยังพอว่า หากจะให้นางแต่งกลอนถึง 2 บท เกรงว่าจะทำให้นางลำบากใจ” หญิงสาวชุดฟ้าครามกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดูเผินๆเหมือนจะช่วยเฟิ่งชิงเฉินให้รอดตัว แต่ก็ดูเหมือนกำลังเหยียบเฟิ่งชิงเฉินให้จมดิน
“คุณหนูเวินพูดถูก ให้เฟิ่งชิงเฉินแต่งกลอน เหอะๆ……ไม่รู้จะฟังได้หรือเปล่า พวกเจ้าอย่าไปแกล้งนางสิ”
หญิงสาวทั้งหลายมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้าริษยา
นางมีสิทธิ์อะไร แค่รถม้าเสีย แต่เสด็จอาเก้ากลับพานางมาส่ง
นางมีสิทธิ์อะไร เฟิ่งชิงเฉินสวมเสื้อผ้าไม่กี่ชั้น เครื่องประดับสักชิ้นก็ไม่มี แต่กลับมาชิงความโดดเด่นจากพวกนาง
หากโชคและเปลือกนอกไม่อาจทำอะไรกับเฟิ่งชิงเฉินได้ เช่นนั้นก็ต้องกดนางให้จมดินด้วยความรู้ความสามารถ จะต้องทำให้นางรู้ว่าภายในงานกวีแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่นางควรเสนอหน้า
เฟิ่งชิงเฉินโปรยยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวเชิงตำหนิแต่แฝงไปด้วยความเข้าใจในสัจธรรม “วิจารณ์ผู้อื่นลับหลัง คนต่ำช้าเขาทำกัน วิจารณ์ผู้อื่นซึ่งๆหน้า เป็นการกระทำของผู้ดี ชนชั้นสูงในตงหลิงโปรดฟัง วันนี้ชิงเฉินค้นพบความจริงแล้ว คนเราล่อลวงเก่งกว่าดอกไม้ ฝีปากคนก็คมคายกว่าคมมีด”
เฟิ่งชิงเฉินกลัวใครเสียที่ไหน
ผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นชนชั้นสูง แม้จะมีอำนาจ แต่ต่อหน้าตัวแทนราชวงศ์ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นดั่งใจคิด คิดจะเล่นงานนางงั้นหรือ มันไม่ง่ายนักหรอกนะ
“เฟิ่งชิงเฉิน นี่เจ้ากล้าด่าพวกข้าเชียวหรือ” ซือหม่าเยียนชี้หน้าเฟิ่งชิงเฉินพร้อมตวาดเสียงดังลั่น โดยไม่สนใจสายตาของเซี่ยฮูหยินที่ยืนอยู่ด้วยกัน……

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *