นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 834 วางใจ การดำรงอยู่อย่างพิเศษ

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 834 วางใจ การดำรงอยู่อย่างพิเศษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 834 วางใจ การดำรงอยู่อย่างพิเศษ

หลังจากหวังจิ่นหลิงพาเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินไปส่งยังจวนเฟิ่ง จากนั้นก็เตรียมตัวกลับจวนของตนเอง แต่เมื่อรู้ว่ารถม้าของหวังจิ่นหลิงมีปัญหา ไม่ว่าพูดอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ยอมให้หวังจิ่นหลิงนั่งรถม้าของตระกูลหวังกลับจวน นางสั่งให้คนของจวนเฟิ่งพาหวังจิ่นหลิงกลับจวน ส่วนรถม้าของตระกูลหวังจะให้คนขับรถม้าขับกลับไปหรือจะเอาไว้ที่จวนเฟิ่งก็ได้

เฟิ่งชิงเฉินยืนกรานเสียขนาดนี้ หวังจิ่นหลิงเองก็ไม่กล้าปฏิเสธ พยักหน้าตอบรับ คนขับรถม้ารู้อยู่แก่ใจว่าปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่รถม้า แต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกไป ปล่อยให้ปัญหาตกอยู่ที่รถม้าตามที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าว และในตอนเดินทางกลับ คนขับรถม้าเลือกที่จะขับรถม้ากลับไป หวังจิ่นหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เหลือบมองคนขับรถม้า เห็นด้วยตามสิ่งซึ่งคนขับรถม้าเลือก จากนั้นก็หันมายิ้มให้เสด็จอาเก้า

เฟิ่งชิงเฉินลังเลอยู่คู่หนึ่ง พยักหน้าและสั่งให้คนของนางไปส่งหวังจิ่นหลิงอย่างระมัดระวัง

ส่งหวังจิ่นหลิงกลับไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินหันมาถามเสด็จอาเก้าว่าต้องการกลับจวนอย่างไร ต้องการให้คนของนางไปส่งหรือไม่ อย่าคิดว่านางไม่รู้ เสด็จอาเก้าไม่ได้รอนางอยู่หน้าประตูพระราชวังตั้งแต่แรก แต่หากบอกว่าหวังจิ่นหลิงตั้งใจมารอนาง นางคงรู้สึกเชื่อมากกว่า

“เจ้าเป็นห่วงหวังจิ่นหลิงมากอย่างนั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าไม่ได้ตอบคำถามเรื่องกลับจวนอย่างไร แต่ถามกลับไปแทน

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าและตอบกลับไปตามตรง “ใช่ ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา”

“หากเกิดเรื่องขึ้นกับข้าและเขาพร้อมกัน เจ้าจะช่วยใคร?” เสด็จอาเก้ายอมรับว่าตนเองหึง ตอนอยู่หน้าประตูวัง เฟิ่งชิงเฉินเลือกขึ้นรถม้าของตระกูลหวัง ซึ่งทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

นั่นคือการแข่งขันระหว่างเขากับหวังจิ่นหลิง และผลลัพธ์ก็คือ เขาเป็นฝ่ายแพ้

“ช่วยหวังจิ่นหลิง” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับมาโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น ตอนแรกคิดว่าเสด็จอาเก้าจะมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่เสด็จอาเก้ากลับตอบกลับมาด้วยใบหน้าอันเยือกเย็น “เขาดีขนาดนั้นเลยงั้นหรือ เจ้าถึงเลือกช่วยเขา ไม่ช่วยข้า”

แก้วในมือถูกบีบแน่นขึ้น ชาในแก้วสั่นจนหกออกมาลวกหลังมือ แต่เสด็จอาเก้าไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด เขาแค่จ้องมองเฟิ่งชิงเฉินและหวังว่าจะได้ยินอะไรบางอย่าง ได้ยินคำตอบที่ใจของเขาต้องการ

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ดีหรือไม่ดี สำหรับข้าแล้วจิ่นหลิงนั้นต่างออกไป ในตอนที่ข้าถูกดูหมิ่นจากคนภายนอก เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มองข้าด้วยสายตาซึ่งต่างออกไป เขาปฏิบัติต่อข้าอย่างเท่าเทียม มีแค่เขาที่มอบโอกาสให้ข้า เจ้ากับหวังจิ่นหลิงนั้นไม่เหมือนกัน เจ้าคือคนที่ข้าชอบ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพวกเจ้าพร้อมกัน ข้าจะเลือกช่วยจิ่นหลิงก่อน แต่ข้าจะตายไปพร้อมกับเจ้า” หากไม่ใช่เพราะความเชื่อที่หวังจิ่นหลิงมีให้นางในตอนแรก ยอมเดิมพันชื่อเสียงของตระกูลหวังเพื่อให้นางรักษาดวงตาให้ นางคงไม่มีจุดยืนที่มั่นคงในเมืองจักรพรรดิอย่างในตอนนี้

หวังจิ่นหลิงเห็นว่านางเป็นผู้มีพระคุณ คิดว่าการที่นางรักษาดวงตาของเขา ทำให้เขามีชีวิตใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน หวังจิ่นหลิงก็เป็นผู้มีพระคุณสำหรับนาง หากไม่มีความเชื่อใจของหวังจิ่นหลิง ต่อให้ทักษะทางการแพทย์ของนางสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถแสดงออกมาให้ใครเห็นได้ และไม่มีใครจะมาเชื่อถือนาง

คนในใต้หล้าต่างกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้สร้างหวังจิ่นหลิง แต่ใครจะรู้ว่าหากไม่มีหวังจิ่นหลิงก็คงไม่มีเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้ ไม่มีเวทีให้นางแสดงความสามารถ ต่อให้นางมีความสามารถมากแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์

“เป็นเพราะเหตุผลนี้งั้นหรือ?” ความโกรธในใจของเสด็จอาเก้าลดลงไปไม่น้อย โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยอมตายไปพร้อมกับเขา เสด็จอาเก้ารู้สึกว่าทุกอย่างมันดีของมันอยู่แล้ว

สำหรับความพิเศษที่เฟิ่งชิงเฉินมีต่อหวังจิ่นหลิง เสด็จอาเก้าเองก็สามารถเข้าใจได้ ตอนนั้นเฟิ่งชิงเฉินเป็นศัตรูกับทุกคนในใต้หล้า ทุกคนต่างเหยียบย้ำนาง มีเพียงหวังจิ่นหลิงคนเดียวเท่านั้นที่ยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือนาง เรื่องนี้ถือว่าเป็นความพิเศษอย่างหาที่สุดไม่ได้

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น มองมายังเสด็จอาเก้าด้วยดวงตาที่ลุกโชนพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า “ไม่ใช่ ข้าปฏิบัติกับจิ่นหลิงต่างออกไปก็เพราะว่าตอนที่ทุกคนไม่เห็นคุณค่าของข้า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นมัน และเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นว่าข้าเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทำให้ข้ารู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิต ข้าเองก็มีศักดิ์ศรีมีความภาคภูมิใจ ไม่ใช่มดปลวกที่ใครก็สามารถเหยียบย้ำ”

นางในตอนนั้นยากลำบากแค่ไหน มีแค่นางเท่านั้นที่รู้ หากนางเดินผิดไปแม้แต่ก้าวเดียว ทุกอย่างทุกดับสลาย แม้เรื่องราวทั้งหมดจะผ่านไปแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องราวที่เจ็บปวดและติดอยู่ในหัวใจ เรื่องเหล่านั้นสำหรับนางแล้ว มันเป็นสิ่งซึ่งยากจะลืมเลือน

เสด็จอาเก้าจ้องมองเฟิ่งชิงเฉิน ความโกรธในใจของเขาจางหายไป อดีตของหวังจิ่นหลิงกับเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ในสถานการณ์เช่นนั้นหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหวังจิ่นหลิงเป็นคนดีโดยแท้จริง

“ข้าเข้าใจแล้ว” เข้าใจว่าทำไมเฟิ่งชิงเฉินถึงดีกับหวังจิ่นหลิงถึงขนาดนี้

เฟิ่งชิงเฉินในตอนนั้นถูกบีบบังคับจนไร้หนทาง นางจนปัญญา มีเพียงหวังจิ่นหลิงผู้เดียวเท่านั้นที่ให้ความเท่าเทียบกับนาง เห็นความสำคัญในตัวนาง

ในเวลานั้น……

เสด็จอาเก้าหลับตาลง เฟิ่งชิงเฉินพูดถูก ในเวลานั้นคนที่เห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นมนุษย์คนหนึ่งคงมีเพียงหวังจิ่นหลิงคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากเด็กหญิงที่อ่อนแอและไร้กำลังอย่างเฟิ่งชิงเฉิน ไม่มีใครเห็นนางอยู่ในสายตา มีแค่……

เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าก็รู้ ที่หวังจิ่นหลิงเห็นเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งก็เพราะการเลี้ยงดูของเขาในเวลานั้น ในตอนนั้นหวังจิ่นหลิงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายใด ๆ ในตระกูลหวัง สำหรับคนอื่นในตระกูลหวัง เขาไม่ใช่คู่แข่ง หวังจิ่นหลิงในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กชายผู้ใสสะอาด คนเช่นนั้นไม่มีทางรังเกียจหรือทำเรื่องชั่วร้ายกับผู้หญิงที่น่าสงสาร และเขาจะไม่เหยียบย่ำผู้หญิงอ่อนแอที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

บางทีเฟิ่งชิงเฉินเองก็อาจจะรู้ ดังนั้นนางจึงปฏิเสธการแต่งงานกับหวังจิ่นหลิง แต่สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว คนที่ปฏิบัติกับนางอย่างเท่าเทียมในเวลานั้น มันถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่สำหรับนาง

เสด็จอาเก้าหลับตาลง นึกถึงทัศนคติที่เขามีต่อเฟิ่งชิงเฉินในเวลานั้น สูดลมหายใจเข้า ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ ไม่มีใครเอ่ยปากออกมา คำถามนี้เป็นคำถามซึ่งไร้ผู้สนใจ จะให้เปลี่ยนหัวข้อการสนทนามันก็ดูแข็งกระด้างเกินไป ดังนั้นความเงียบจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

หวังจิ่นหลิงออกมาได้ครึ่งทาง จู่ ๆ ก็นึกได้ว่าที่ตนเองไปหาเฟิ่งชิงเฉินวันนี้ก็เพราะต้องการพูดเรื่องจวนซุ่นหนิงโหวกับนาง สุดท้ายเสด็จอาเก้ากลับเข้ามาขัดจังหวะ จึงทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

หวังจิ่นหลิงรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก แอบถอนหายใจว่าตนเองมีความตั้งใจไม่เพียงพอ แต่จะถึงตระกูลหวังอยู่แล้ว ให้กลับไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ควร เขาทำได้เพียงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจและหาวันอื่นไปคุยกับเฟิ่งชิงเฉินแทน

คนขับรถม้าขับรถตามหลังหวังจิ่นหลิงมา ขับมาอย่างราบรื่นตลอดทาง แต่เมื่อถึงย่านใจกลางเมือง ม้าที่ลากเกวียนก็บ้าดีเดือดอย่างกะทันหัน วิ่งอย่างบ้าคลั่ง อาละวาดไปทั่วย่านใจกลางเมือง

“เร็ว เร็วเข้า มาพยศ”

“หลบ หลบไป ม้าพยศ มันเสียการควบคุม”

……

โชคดีที่คนรับรถและองครักษ์ป้องกันไว้ตั้งแต่แรก ในตอนที่ม้าพยศ คนขับรถม้าและองครักษ์ลงมือพร้อมกัน ใช้มีดและดาบในมือปลิดชีพม้าทันที

บูม……

รถม้าล้มลงกับพื้น เนื่องจากจัดการได้ทันท่วงทีจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ มีแค่ร้ายแผงลอยไม่กี่ร้านเท่านั้นที่ได้รับความเสียหาย คนขับรถม้าลงมาจากรถ มองฉากดังกล่าวด้วยความตื่นตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้สติกลับคืนมา จากนั้นเดินไปยังรถม้าอีกคันที่หวังจิ่นหลิงนั่งอยู่ คุกเข่าพร้อมกล่าวว่า “คุณชาย……”

เสียงนี้ทำให้หวังจิ่นหลิงเข้าใจได้ทันทีว่าม้าตัวดังกล่าวมีปัญหา ก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะการกระทำบางอย่างของคนขับรถม้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่

หวังจิ่นหลิงหัวเราะเยาะตนเอง ในขณะเดียวกันก็คร่ำครวญถึงชีวิตของเขา หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ระวัง รถม้าชนไปทั้งอย่างนั้น ไม่ตายก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจำเป็นต้องกลับมาฟื้นฟูที่ตระกูลหวัง และก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปและกลับมาคุมอำนาจได้อีกหรือไม่

“กลับไป” หวังจิ่นหลิงลูบคิ้วแล้วพูดด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้า

วันนี้ถือเป็นโชคดีของเขา หากไม่ใช่เพราะเขาสงสัยว่าคนขับรถม้าทำให้ม้าพยศ เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเห็นร่องรอย จึงไม่กล้าเปิดเผยความคิดของตนเอง และนั่งรถม้าของจวนเฟิ่งมาเช่นนี้ เช่นนั้นเวลานี้เขาก็คงอยู่ในรถม้าคันดังกล่าว และล้มลงอยู่บนพื้น

รถม้าคันนี้เป็นของเขาโดยเฉพาะ ปกติแล้วมีแค่คนสนิทของเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้มันได้ มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างปัญหาให้แก่รถม้า ดูเหมือนว่าคราวนี้คงไม่ใช่แค่คนในตระกูลหวัง แต่ยังรวมถึงคนรอบข้างของเขาด้วยที่ต้องได้รับการสะสาง เขาควรที่จะเรียนรู้จากจักรพรรดิ ลงมืออย่างเหี้ยมโหด ต้องสังหารอีกฝ่ายและห้ามปล่อยไปเป็นอันขาด……

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *