นายน้อยเจ้าสำราญ 1125 ราตรีที่มืดมิด
ตอนที่ 1125 ราตรีที่มืดมิด
“ดังนั้น สุดท้ายแล้วข้าถือเป็นแม่ของเจ้าหรือไม่ ? ”
สวี่หยุนชิงจ้องมองไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง ฟู่เสี่ยวกวนเก็บกระดาษหนังแกะลงไป ทว่ามิกล้าสบตากับสวี่หยุนชิง
เขาทำเพียงพยักหน้าเบา ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกพลางเอ่ยว่า “เดิมทีท่านคือมารดาของข้า ! ”
รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของสวี่หยุนชิง นางดึงสายตากลับมา และมองออกไปนอกรถม้า
ข้านอกได้มืดมิดแล้ว แสงไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งเมืองเซียอี๋
ฟู่เสี่ยวกวนได้ให้คำตอบกับนางแล้ว และนางก็ได้รับคำตอบที่นางอยากได้แล้ว เรื่องราวทั้งหมดนี้ราวกับละครก็มิปาน จิตใจของเขามิใช่บุตรชายของตน แต่ร่างกายของเขายังคงเป็นบุตรชายของตน
คำเอ่ยนี้ขัดแย้งกัน แต่ก็เป็นไปตามที่สวี่หยุนชิงคิดไว้ทั้งหมด
เรื่องนี้มิใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือคนที่สวรรค์ลิขิต !
นางบีบแขนเสื้อตนเองเบา ๆ โดยที่มิอาจสังเกตเห็นได้ ข้างในนั้นมีกระดาษหนังแกะอยู่อีกหนึ่งใบ ซึ่งเป็นข้อความลับเช่นกัน ซึ่งถูกจารึกไว้โดยปรมาจารย์ของสำนักเต๋า
“สิ่งที่เรียกว่าคนที่สวรรค์ลิขิต ก็คือคนที่ถูกส่งมาจากสถานที่ไกลแสนไกล”
“พวกเขาเข้าใจในอารยธรรมที่ล้ำหน้ากว่า พวกเขามีความคิดที่ล้ำหน้ากว่ายุคสมัย”
“หากพวกเขาเป็นอันตรายต่อสังคม ก็จะนำพาหายนะที่ใหญ่หลวงมาสู่สังคม หอเทียนจีเรียกพวกนั้นว่าผู้ทำลาย”
“หากพวกเขาเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ก็จะผลักดันให้สังคมพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หอเทียนจีเรียกพวกเขาว่าผู้บุกเบิก”
“มิมีผู้ใดทราบว่าพวกเขามาได้เยี่ยงไรและมาเพื่อเหตุใด ? ”
“ทว่าการปรากฏตัวของผู้ที่สวรรค์ลิขิตทุกคน ใต้หล้านี้อาจจะถูกทำลายอย่างบ้าคลั่ง หรืออาจจะได้ต้อนรับการเปลี่ยนแปลงคราใหม่ก็ขึ้นอยู่ที่พวกเขาแล้ว”
“การคงอยู่ของสำนักเต๋า เพื่อสังหารผู้ทำลายและปกป้องผู้บุกเบิก”
เห็นได้ชัดว่าฟู่เสี่ยวกวนคือผู้บุกเบิก !
ซูฉางเซิงใช้ความตายของตนเอง เป็นการพิสูจน์ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ที่สวรรค์ลิขิต ที่ชายอ้วนพาลูกศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปดจากไป… มิใช่เพราะเขามิต้องเฝ้าปกป้องผู้บุกเบิกอีกต่อไปแล้ว ทว่าเป็นเพราะการคงอยู่ของชายอ้วน จะนำพาความยุ่งยากมาสู่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิรู้จบ เรื่องยุ่งยากนี้ได้เกี่ยวข้องไปถึงความลับที่ยิ่งใหญ่ !
สวี่หยุนชิงลอบถอนหายใจยาว ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมายิ้ม ๆ “ลูกเอ๋ย เจ้าทราบหรือไม่ว่าเจ้ามีเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ด้านนอกอีกด้วย ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด เขาย่อมทราบดี เถิงหยวนจี้เซียงที่อยู่เมืองเซียอี๋แห่งนี้ได้คลอดบุตรีให้เขาหนึ่งคน
“เรื่องนี้…เสด็จแม่ ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว”
“นางเป็นถึงองค์หญิงของประเทศต้าเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ จะให้มาคลุกคลีอยู่กับสามัญชนได้เยี่ยงไร ทั้งยังเป็นสถานที่ห่างไกลอย่างหยวนตงเต้าอีกด้วย ! ”
“แต่ว่า…” ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสับสนมากยิ่งนัก เรื่องระหว่างเขาและเถิงหยวนจี้เซียง มิได้เกิดขึ้นมาเพราะความรัก เยี่ยงไรเสียเขาก็ได้กระทำความผิดที่ผู้ชายหลาย ๆ คนได้กระทำกัน
เขามิเคยคิดที่จะรับเถิงหยวนจี้เซียงเข้าวังหลวงแล้วแต่งตั้งให้นางเป็นสนมเลย ที่เขามาในครานี้ก็เพราะต้องการพบเถิงหยวนจี้เซียงด้วยเช่นกัน หากเถิงหยวนจี้เซียงยินยอม เขาคิดว่าจะพาบุตรีของตนกลับไป
แน่นอนว่า หากเถิงหยวนจี้เซียงมิยินยอม เขาก็มิคิดจะใช้กำลัง
“ข้าได้มอบค่าชดเชยให้นางเป็นจำนวนมากแล้ว”
สวี่หยุนชิงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน “แม่เข้าใจความตั้งใจของเจ้าแล้ว เรื่องขององค์หญิงน้อยแม่จะจัดการเอง พวกเรากลับมายังหัวข้อเมื่อครู่เถิด… ความสงสัยอาจทำให้แมวตายได้มีความหมายว่าเยี่ยงไร ? ”
“…เรื่องนี้ ต้นกำเนิดของมันมาจากนิทานของชาวตะวันออก พวกเขาเล่ากันว่าแมวนั้นมีเก้าชีวิต มิว่าเยี่ยงไรก็จะมิตายง่าย ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องตกม้าตายด้วยความอยากรู้ของตนเอง… เรื่องนี้มีไว้เพื่อเตือนผู้คน ว่าความอยากรู้ควรมีอย่างมีขีดจำกัด มิเช่นนั้นอาจจะนำพาอันตรายอันใหญ่หลวงมาสู่ตน”
“ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ เจ้ายังคิดที่จะเปิดชั้นสิบแปดของหอเทียนจีอยู่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนใคร่ครวญอยู่เนิ่นนานก่อนจะพยักหน้า “เสด็จแม่ ข้าอยากจะไปเห็นผู้ที่สวรรค์ลิขิตให้มาที่โลกนี้เป็นคนแรก ประการที่หนึ่งเพื่อดูว่ามีร่องรอยที่พวกเขาหลงเหลือเอาไว้หรือไม่ ประการที่สอง…ข้าอยากรู้ว่าเบื้องหลังของประตูบานนั้น แท้จริงแล้วมีความลับอันใดซ่อนอยู่กันแน่”
“ดังนั้นมิว่าเยี่ยงไรเจ้าก็จะไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สวี่หยุนชิงจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง นางรู้สึกกังวลมากยิ่งนัก ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นเช่นกัน “จำต้องไป ! ”
“เคยคิดถึงตอนกลับมามิได้หรือไม่ ? ”
นางมิได้รั้งรอคำตอบจากฟู่เสี่ยวกวน สวี่หยุนชิงเอ่ยถามต่ออีกว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าในกรณีที่กลับมามิได้ เหล่าภรรยาของเจ้าจะทำเยี่ยงไร ประเทศนี้จะเป็นเยี่ยงไรต่อไป แล้วราษฎรในประเทศนี้จะเป็นเยี่ยงไรต่อไป ? ”
“ข้าได้จัดทำแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สองขึ้นมาแล้ว กลุ่มจินเฟิ่งต้าเซี่ยก็หาเงินให้ได้มากจนเพียงพอแล้ว เมล็ดพันธุ์ของวิทยาศาสตร์แห่งประเทศต้าเซี่ยก็ได้หว่านออกไปแล้ว ต่อจากนี้ก็คือรอให้มันหยั่งรากและรอวันที่มันผลิดอกออกผล ข้ามิสามารถชี้นำมากจนเกินไปได้”
“และข้าก็ได้ร่างราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทไว้แล้ว หากเกิดอันใดขึ้นกับข้า ประเทศต้าเซี่ยก็จะได้ต้อนรับจักรพรรดิพระองค์ใหม่ แน่นอนว่าจักรพรรดิยังคงเยาว์วัย ทว่าในราชโองการ…ข้าได้สั่งให้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นมา”
“เสด็จแม่ แท้จริงแล้วการคงอยู่ของข้า ได้สร้างอุปสรรคให้แก่การพัฒนาของประเทศต้าเซี่ย เหล่าข้าราชบริพารในราชสำนักต่างพึ่งพิงข้ามากจนเกินไป นี่มิใช่เรื่องที่ดีแต่อย่างใด”
“การเปลี่ยนแปลงก้าวต่อไปของประเทศต้าเซี่ยก็คือการจากไปของข้า หากสามารถแยกสามอำนาจของศูนย์กลางราชสำนักออกจากกันได้ ต้าเซี่ยจะเปลี่ยนจากการปกครองโดยคนเป็นกฎหมายทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้คือสิ่งที่ข้ากำลังทำ ข้าเชื่อว่าการจากไปของข้าจะช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้แก่สวี่หยุนชิงโดยละเอียด จนถึงขั้นเอ่ยว่า…ต่อให้หาอันใดบนชั้นสิบแปดมิเจอเลยก็ตาม เขาก็จะสละราชบัลลังก์ดังเดิม เพราะอุดมการณ์ตั้งแต่ต้นของเขามิใช่การเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
“สิ่งที่ข้าคิดเอาไว้แต่แรกคือการออกสำรวจทะเล เพื่อไปตามหาสถานที่สักแห่ง เพื่อค้นหาผืนปฐพีที่ยังมิถูกค้นพบ ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ในภายภาคหน้า ข้าและเหล่าภรรยาของข้า… แน่นอนว่าหากเสด็จแม่ยินยอมจะไปด้วยกัน ก็จะดีมากยิ่งนัก… พวกเราจะไปใช้ชีวิตร่วมกันบนผืนปฐพีที่มิมีผู้ใดรู้จักและเป็นเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระ”
“เมื่อปีนั้น ยามที่ข้ายังอยู่ที่หลินเจียงอุดมการณ์นี้มิได้เด่นชัดมากนัก สิ่งที่คิดเอาไว้ยามนั้นคืออยู่รับใช้ที่นาเหล่านั้นของตระกูลฟู่ของเราก็พอแล้ว ทว่าบัดนี้ข้ากลับต้องหนีไปให้ไกลเพราะประเทศต้าเซี่ยมิจำเป็นต้องมีจักรพรรดิพระเจ้าหลวง”
สวี่หยุนชิงจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง จนถึงตอนนี้…นางเพิ่งเข้าใจถึงความคิดที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน
“ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ แม่ก็จะมิขวางให้เจ้าออกทะเลอีก”
“ทว่าตอนนี้ข้าได้เปลี่ยนความตั้งใจแล้ว… เรื่องการออกทะเลสามารถมอบหมายให้เฮ้อซานเตาไปทำภารกิจแทนได้ ข้า…พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางกลับไปยังเมืองกวนหยุน”
สวี่หยุนชิงขมวดมุ่น “รีบกลับไปดูถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
“มิว่าจะช้าหรือเร็วเยี่ยงไรก็ต้องไปดูอยู่แล้ว สู้ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้มิดีกว่าหรือ ? ”
“แม่จะไปกับเจ้าด้วย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะเบา ๆ แล้วเอ่ยออกมาว่า “พรุ่งนี้เสด็จแม่ยังต้องคอยอยู่ปกปิดให้แก่ข้า เรื่องที่ข้าจะกลับไปยังเมืองกวนหยุน นอกจากเสด็จแม่แล้ว มิสามารถให้ผู้ใดรับรู้ได้อีก”
“หากข้ายังสบายดี ข้าจะกลับวังหลวงอย่างครึกโครมแน่นอน”
“แต่หากข้าขาดการติดต่อไปจริง ๆ …” ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของสวี่หยุนชิงเอาไว้ น้ำเสียงแปรเปลี่ยนไปจนหนักอึ้ง
“เหล่าภรรยาของข้า…ข้าอาวรณ์พวกนางมากยิ่งนัก หากข้ามิกลับออกมาอย่างแท้จริง ก็ต้องขอให้เสด็จแม่บอกกับพวกนางด้วย ให้บอกว่า…บอกว่าข้าถูกสังหารระหว่างการออกสำรวจครานี้”
ทันใดนั้นสวี่หยุนชิงก็รู้สึกเสียใจมากยิ่งนักที่บอกความลับนี้ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
เดิมนางหวังว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ฟู่เสี่ยวกวนถอยห่างออกไปได้ แต่คาดมิถึงว่าจะเป็นการผลักฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปแทน
เมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้ นางนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งรถม้าได้หยุดลง นางถึงเอ่ยปากขึ้นมาหนึ่งประโยค “ประเทศที่งดงามเยี่ยงนี้ หากสามารถกลับมาได้…ก็จงกลับมา”
Comments