นายน้อยเจ้าสำราญ 1170 การตัดสินใจของชายอ้วน
ตอนที่ 1170 การตัดสินใจของชายอ้วน
ในราตรีเดียวกันนั้นเอง ชายอ้วนได้นำซูม่อและคนอื่น ๆ ข้ามภูเขาหิมะลูกใหญ่ ข้ามผ่านที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาล และเข้าไปเหยียบบนอาณาเขตของจักรวรรดิโมริยะในที่สุด
กองทัพของชายอ้วนเลือกปักหลักค้างคืนห่างจากเมืองการ์แลนด์เมืองชายแดนเล็ก ๆ ราว 10 ลี้ เพราะทั้งกองทัพรวมถึงชายอ้วนต่างก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
เมื่อหันกลับไปมองยอดเขาหิมะดำสนิทที่ตั้งอยู่มิไกลมากนัก ชายอ้วนพลันตบอกด้วยความหวาดผวา
“มิแปลกเลยที่พวกเราจะมิรู้ว่ามีแคว้นแบบนี้อยู่ด้วย ทหารทั่วไปคงข้ามภูเขานั่นมามิได้เป็นแน่”
ชายอ้วนหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองซูเจวี๋ยแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “บัดนี้เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าพวกเรามาผิดทาง ? ”
ซูเจวี๋ยจัดหมวกให้เป็นระเบียบ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “อาจารย์อารอง พวกเรามาผิดทางจริง ๆ หรือว่า…พวกเราจะเดินทางกลับดีขอรับ ? ข้าคิดว่าข้าจำทางที่พวกเราเดินมาได้”
ชายอ้วนจ้องซูเจวี๋ยเขม็ง “ให้ตายเยี่ยงไรข้าก็มิกลับหรอก พวกเราเพิ่งจะพบเมืองมิใช่หรือ ? ทั้งยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่เป็นประเทศแบบใด…” ดวงตาของชายอ้วนเป็นประกายขึ้นมาทันใด เขาเอ่ยกับซูเจวี๋ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “หรือว่า…พวกเราจะบุกเข้าไปแล้วยึดประเทศนี้มาเป็นของพวกเราดีหรือไม่ ? ”
“เยี่ยงไรเสียข้าก็เป็นถึงจักรพรรดิพระเจ้าหลวงแห่งต้าเซี่ย พวกเราจะไปตีแคว้นที่รกร้างนี้มาเป็นของพวกเราเสีย จากนั้นพวกเราก็จะอยู่ที่นี่มิย้ายไปที่ใดอีก ข้าจะเป็นจักรพรรดิ ส่วนพวกเจ้าก็มาเป็นเสนาบดีของข้า พวกเจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
เมื่อเกาหยวนหยวนได้ยินดังนั้นก็กระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันใด ขอเพียงมิย้ายไปที่ใดอีกก็พอแล้ว เพราะกว่าจะมาถึงที่นี่ น้ำหนักของเขาลดลงไปหลายจินเลยทีเดียว
เมื่อซูเจวี๋ยได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “ท่านอาจารย์อารอง พวกเรามีกันแค่ 3,000 คนเองนะขอรับ ที่สำคัญคือพวกเรามิมีเสบียงหนุน นี่มันหนึ่งประเทศเลยนะขอรับ ! ”
“หนึ่งประเทศแล้วเยี่ยงไร ? ทหารทั้งสามพันนายนี้เป็นถึงทหารดาบเทวะมิใช่หรือ ? พวกเขาย่อมรบมิมีวันแพ้ ! ส่วนเรื่องเสบียงน่ะหรือ ? เสบียงหาได้มิยากหรอก ไป ๆ ๆ พวกเราไปชิงเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่เบื้องหน้ากันเถิด ! ”
“ซูม่อ ซูม่อ…” ชายอ้วนแผดเสียงเรียก ซูม่อที่กำลังตั้งกระโจมรีบวิ่งเข้าไปหาผู้บังคับบัญชา
“มิต้องกางกระโจมแล้ว ราตรีนี้พวกเราจะไปนอนในเมืองกัน ! ”
“…พักผ่อนก่อนสักคืนแล้วค่อยไปมิดีกว่าหรือขอรับ ? ”
“พักอันใดกัน พวกอ่อนแอทั้งหลาย แย่งเมืองนี้มาให้ได้แล้วค่อยพัก ! หลังจากนั้น…พวกเราจะใช้เมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อรุดหน้ายึดครองประเทศนี้ ข้าจะแย่งชิงประเทศนี้มาเป็นของข้า ข้าจะเป็นสุดยอด… อ่า…ไม่สิ ! ข้าจะเป็นเศรษฐีที่ดินที่ยิ่งใหญ่เป็นลำดับที่สองในใต้หล้า ! ”
ในขณะที่ชายอ้วนกำลังกระตือรือร้นที่จะพิชิตผืนปฐพีอยู่นั่นเอง จี้หยุนกุยหัวหน้าหอเทียนจีก็ได้มาถึงในเวลาที่เหมาะเจาะพอดี
เพื่อมิให้ชายอ้วนหาเรื่องขุดหลุมฝังศพตนเอง เมื่อเขารู้ข่าวคราวของชายอ้วน เขาจึงรีบตรงมาที่นี่ทันที เขาได้เข้าไปสำรวจจักรวรรดิโมริยะและทำความเข้าใจแคว้นนี้อย่างคร่าว ๆ แล้ว
แคว้นแห่งนี้แตกต่างกับแคว้นที่ตั้งอยู่อีกฝากของภูเขาหิมะ !
แคว้นแห่งนี้มีอาณาเขตพอ ๆ กับต้าเซี่ย
แคว้นแห่งนี้มีประชากรมหาศาลมิเป็นรองจากต้าเซี่ย !
และที่สำคัญที่นี่มีกองทัพมากมาย ประชากรของจักรวรรดิโมริยะนั้นมีเกือบห้าร้อยล้านคน กองกำลังของพวกเขามีมากถึงห้าล้านนายด้วยกัน !
ในกองกำลังห้าล้านนายนี้ประจำการอยู่ที่แนวชายแดนกว่าสี่ล้านนาย โดยกระจายทั่วทั้งแปดทิศของจักรวรรดิโมริยะและสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับจี้หยุนกุยเป็นอย่างยิ่งก็คือ ทหารทั้งสี่ล้านนายนี้ล้วนติดอาวุธปืนคาบศิลา !
และสิ่งที่ทำให้ความกังวลของจี้หยุนกุยทวีคูณขึ้นมาอีกก็คือกองทัพโมริยะอีกหนึ่งล้านนายที่เหลือนั้น !
กองทัพนี่แหละถึงจะเป็นกองกำลังหลักของจักรวรรดิโมริยะ แม้ว่าอาวุธปืนของพวกเขาจะมิอาจเทียบเคียงกับปืนเหมาเซ่อของต้าเซี่ยได้ ทว่าพลังทำลายล้างของมันนั้นมีมากกว่าปืนคาบศิลาธรรมดามากนัก ปืนชนิดนี้จักรวรรดิโมริยะเรียกกันว่า…ปืนไรเฟิล มันใช้กระสุนที่ทำมาจากโลหะเช่นเดียวกัน
แม้ว่าพลังทำลายล้างของปืนคาบศิลามิเพียงพอที่จะทะลุชุดเกราะสีเงินได้ แต่จี้หยุนกุยคิดว่าปืนไรเฟิลนี้มีพลังทำลายล้างมากพอที่จะทะลุชุดเกราะสีเงินได้
แม้ปืนไรเฟิลจะสู้ปืนเหมาเซ่อของต้าเซี่ยมิได้ ทว่าพวกเขาก็เหนือกว่าตรงที่มีกำลังพลเยอะกว่า !
ชายอ้วนนำทหารมาเพียงแค่สามพันนาย ถ้าหากบุกเข้าไปในจักรวรรดิโมริยะแล้วเกิดการปะทะขึ้นมา พวกเขาจะต้องส่งกองทัพโมริยะทั้งหนึ่งล้านนายออกมาอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นกองทัพของชายอ้วนก็คงจะถูกยิงจนพรุนเหมือนกระชอนเป็นแน่
“จี้หยุนกุย ? ” ชายอ้วนขานชื่อผู้เยือนด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาแทบจะมิเชื่อสายตาว่าจี้หยุนกุยหัวหน้าหอเทียนจีจะเดินทางมาไกลถึงที่นี่ ทั้งยังยืนอยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้อีกต่างหาก !
นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
นี่หมายความว่าทางหอเทียนจีรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเขาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว ซ้ำยังมาถึงที่นี่เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าวอีกต่างหาก
“จักรพรรดิพระเจ้าหลวง กระหม่อมได้รับคำสั่งให้รอการเสด็จมาถึงของพระองค์อยู่ที่นี่” จี้หยุนกุยโค้งตัวคารวะ เขาเงยหน้าขึ้นมองชายอ้วนแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเสด็จออกสำรวจ บัดนี้ยังมิเสด็จกลับ กระหม่อมได้รับพระเสาวนีย์จากไทเฮา พระนางทูลเชิญพระองค์เสด็จกลับต้าเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เสี่ยวกวนออกไปสำรวจที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ชวยอ้วนผงะ
“ฝ่าบาททรงเสด็จสำรวจมหาสมุทรพ่ะย่ะค่ะ”
“ลูกชายข้าสำรวจมหาสมุทร ส่วนตัวข้าสำรวจทางบก นี่มิใช่การดีหรอกหรือ ? อีกอย่าง…ข้าอุตส่าห์ค้นพบประเทศใหม่ได้แล้วเชียว ข้าจะขอลิ้มรสสักหน่อยมิได้หรือเยี่ยงไรกัน ? ”
“ทูลจักรพรรดิพระเจ้าหลวง กระหม่อมเกรงว่า…การลิ้มรสครานี้จะพาลทำให้ฟันหักเอาได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อเอ่ยเสร็จ จี้หยุนกุยก็หยิบปืนไรเฟิลบนหลังของตนออกมา “นี่คืออาวุธที่แคว้นแห่งนี้ใช้ป้องกัน บัดนี้พวกเราลองยิงเพื่อทดสอบพลังทำลายล้างของมันสักหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสิ้นเสียง จี้หยุนกุยก็ให้ซูม่อนำชุดเกราะสีเงินออกมา จากนั้นก็นำไปตั้งไว้ในระยะที่ห่างออกไป 30 จั้ง พวกเขาใช้คบไฟคอยให้แสงสว่าง จี้หยุนกุยเล็งไปที่ชุดเกราะ เหนี่ยวไกแล้วลั่นปืน
เขาเดินเข้าไปหยิบชุดเกราะสีเงินมาสำรวจอย่างละเอียด กระสุนยิงทะลุชุดเกราะสีเงินเหมือนที่เขาคาดเอาไว้จริง ๆ ด้วย
“พวกเรามีกองกำลังเพียงแค่สามพันนาย ส่วนศัตรูนั้น…มีมากถึงห้าล้านนาย ! ฝ่าบาทนี่มิเท่ากับการนำไม้ซีกมางัดไม้ซุงเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชายอ้วนประคองชุดเกราะด้วยสองมือพร้อมกับสำรวจชุดเกราะอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาใช้มือลูบชุดเกราะที่ถูกกระสุนเจาะผ่าน จากนั้นก็หันไปมองเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลออกไป
“ให้ตายเถิด เหมือนว่าประเทศนี้จะเก่งกาจมิเบา มันมีนามว่าประเทศอันใด ? ”
“จักรวรรดิโมริยะพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วของชายอ้วนขมวดเข้าหากันแน่น สีหน้าของเขาปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นมา เหตุใดประเทศนี้ถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้เล่า ถ้าหากปล่อยให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป จะเป็นการนำภัยคุกคามมาสู่ต้าเซี่ยหรือไม่ ?
มิได้การ ! ลูกชายของข้าเป็นถึงเศรษฐีที่ดินแห่งต้าเซี่ย บัดนี้เขายังอยู่ในมหาสมุทร ถ้าหากจักรวรรดิโมริยะอันใดนี่ยกทัพไปตีต้าเซี่ย พวกเขามีกำลังทหารมากถึงห้าล้านนายเชียว ! ทหารบกของต้าเซี่ยมีเพียงแค่แปดแสนนายเท่านั้น แม้ว่าจะรบชนะ ต้าเซี่ยก็อาจจะเต็มไปด้วยไฟสงครามสร้างความเสียหายจนแผ่ขยายเป็นวงกว้าง
ชายอ้วนมิคิดว่าทหารสามพันนายของเขาจะต้องตกตายบนจักรวรรดิโมริยะหรือไม่ สิ่งที่เขาคิดก็คือประเทศแห่งนี้อาจจะสร้างภัยคุกคามให้กับต้าเซี่ยเข้าสักวันหนึ่ง
มิได้การ ! ยิ่งเป็นแบบนี้ข้าก็ยิ่งอยากให้จักรวรรดิโมริยะเกิดความโกลาหล
เมื่อคิดได้ดังนี้ ชายอ้วนจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
“อืม…เจ้าเอ่ยได้ถูกต้อง ! ” ชายอ้วนส่งชุดเกราะสีเงินคืนให้ซูม่อ จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างกายของจี้หยุนกุย “ข้ามิอยากข้ามภูเขาหิมะกลับไปแล้ว มีทางที่เดินได้สะดวกกว่านี้หรือไม่ ? ”
จี้หยุนกุยส่ายศีรษะและทันใดนั้นเอง มือของชายอ้วนก็ได้แตะเข้ากับลำตัวของจี้หยุนกุย จี้หยุนกุยเบิกตาโพลงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็ล้มตึงลงไปกองกับพื้น
ชายอ้วนเบ้ปากแล้วชี้ไปทางเมืองการ์แลนด์พลางหันไปสั่งการซูม่อ “ออกเดินทาง ไปยึดเมืองนั่นมาให้ได้ ! ”
ซูม่ออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง “ท่านอาจารย์อารอง ทหารของพวกเราแต่ละคนเหลือกระสุนติดตัวมิถึงสิบนัดแล้วนะขอรับ ! ”
“แล้วจะเป็นอันใดไป ? มิมีปืนเจ้าก็รบมิได้แล้วหรือ ? เจ้าลืมวรยุทธ์ที่ติดตัวพวกเจ้าไปหมดแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
ซูม่ออับจนหนทางอย่างแท้จริง เขายังสามารถทำอันใดได้อีกเล่า ?
ทหารดาบเทวะสามพันนายได้ออกเดินทางอีกคราภายใต้การนำของซูม่อ พวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองการ์แลนด์ภายใต้ราตรีที่มืดมิด
ที่นี่มีภูเขาหิมะสูงใหญ่เป็นป้อมปราการทางธรรมชาติ สำหรับชาวโมริยะทุกคนแล้ว ผืนปฐพีแห่งนี้มีความปลอดภัยอย่างหาที่สุดมิได้ จึงมิจำเป็นต้องมีการป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น
เมืองการ์แลนด์มีทหารป้องกันเมืองเพียงแค่สิบกว่านายเท่านั้น และพวกเขาก็มิได้ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองแต่อย่างใด
การบุกเข้าโจมตีของชายอ้วนในราตรีที่เงียบสงัดนี้ เขาสามารถบุกเข้าไปถึงตัวเมืองได้อย่างง่ายดาย โดยที่มิมีชาวเมืองการ์แลนด์คนใดรับรู้เลยสักคน
Comments