นายน้อยเจ้าสำราญ 1177 จักรพรรดิทรงกริ้ว
ตอนที่ 1177 จักรพรรดิทรงกริ้ว
มีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถหลบหนีออกไปจากสงครามอันน่าสลดที่เทือกเขาไทเออร์ได้
พวกเขาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อหลบหนีจากนรกบนดินแห่งนั้น พวกเขาเดินทางไปยังเมืองแห่งหนึ่ง มินานหลังจากนั้นข่าวสงครามบนเทือกเขาไทเออร์ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งจักรวรรดิโมริยะทันที
กองทัพสามแสนนายถูกข้าศึกโจมตีจนแตกพ่าย นี่ย่อมเป็นข่าวใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน !
ผู้รักษาการณ์เมืองแต่ละแห่งต่างส่งรายงานด่วนไปยังราชสำนักส่วนกลางซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไป 800 ลี้ ตามมาด้วยการปิดประตูเมืองจนแน่นสนิท นายทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองติดอาวุธปืนคาบศิลาอย่างครบครัน ต่างคอยรักษาความปลอดภัยอยู่บนกำแพงเมือง พวกเขากลัวว่าศัตรูทั้งสามพันคนจะเข้ามาโจมตีเมืองของตน
พวกมันเป็นอสุรกายจากที่ใดกันแน่ ?
เหตุใดถึงเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ ?
นั่นทหารตั้งสามแสนนายเชียวนะ !
ลือกันว่าตรงหุบเขาที่เทือกเขาไทเออร์แห่งนั้นมีซากศพกองทัพถมกันสูงราว 3 จั้งเลยทีเดียว !
ลือกันว่าไฟได้โถมเข้าไปในในหุบเขา กองศพถูกแผดเผาในทะเลเพลิง กลิ่นไหม้เกรียมลอยตามลมไปไกลถึง 10 ลี้
แม้แต่เจ้าเมืองสีจินก็ต้องจบชีวิตลงที่นั่น บัดนี้ร่างของเขาคงมอดเป็นเถ้าธุลีไปแล้วเช่นกัน
ข้าศึกพวกนี้ต้องให้ฝ่าบาทส่งกองทัพโมริยะมาปราบปรามพวกมันเสียให้สิ้น !
ชายอ้วนได้ทราบข่าวคราวจากโลกภายนอกผ่านสายลับของหอเทียนจี
ครานี้เขายอมเชื่อฟังคำแนะนำของจี้หยุนกุย ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลหลัก ๆ ก็เพราะว่านี่คือคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน
เขานำกองทัพออกจากสนามรบ แล้วเดินทางเข้าไปยังส่วนลึกของภูเขาไทเออร์ เขาได้พบกับสถานที่ที่เหมาะต่อการปักหลักเป็นอย่างยิ่ง เป็นหุบเขาเช่นเดียวกัน ทว่าทั้งสี่ทิศนั้นเต็มไปด้วยภูเขา มีเพียงทางทิศเหนือเท่านั้นที่พอจะมีช่องให้เข้าออก
ด้านในหุบเขามีทะเลสาบ มีดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง
เหล่าทหารแยกย้ายกันไปตัดไม้มาสร้างที่พักอาศัย ส่วนชายอ้วนและจี้หยุนกุยยืนอยู่ริมทะเลสาบ
“ลูกชายข้า…จะมาถึงเมื่อใดกัน ? ”
“คาดว่าอีกหนึ่งเดือนคงจะมาถึง”
จี้หยุนกุยหันไปมองชายอ้วน เพราะช่วงหลายวันมานี้ชายอ้วนมิได้เอ่ยถามอันใดต่อเขา ทว่าบัดนี้เขาคงทนมิไหวแล้วจึงได้เอ่ยถามออกมา ฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุคคลสำคัญของเขา แม้แต่สวี่หยุนชิงก็ยังจนปัญญาที่จะโน้มน้าวชายอ้วนให้เปลี่ยนใจได้ ทว่าเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขอ เขาก็ยอมรับฟังแต่โดยดี
“กองทัพของจักรวรรดิโมริยะนั้นยิ่งใหญ่มีกองกำลังนับล้านนาย บัดนี้พวกเขาได้ส่งทหารมุ่งหน้ามาทางนี้นับหนึ่งแสนนาย ทว่าเจ้ากำจัดกองกำลังของศัตรูได้มากถึงสามแสนนายในคราเดียว ข้าคาดว่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมริยะจะต้องส่งทหารตามมาอีกแน่นอน”
“อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ประเทศโมริยะมี…เจ้าเองก็รู้ดี ดังนั้นฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะทำศึกกับศัตรูในพื้นที่ป่าเช่นกัน โชคดีที่ประเทศโมริยะมีพื้นที่ป่าเขามากมายนัก นี่ถือเป็นข้อได้เปรียบของต้าเซี่ย”
“ดังนั้น…หลังจากที่ฝ่าบาททรงเสด็จมาถึงจักรวรรดิโมริยะเมื่อใด ทางหอเทียนจีจะพาพระองค์มารวมทัพที่เทือกเขาไทเออร์แห่งนี้ สงครามต่อจากนี้จะเป็นเยี่ยงไรก็มิอาจทราบได้ ฝ่าบาทอาจจะอาศัยเทือกเขาแห่งนี้เป็นฐานทัพ ทำให้ทหารของจักรวรรดิโมริยะสูญสิ้นเสบียงและอดตายอยู่ที่นี่… มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำเกิดความเสียหายในกองทัพต้าเซี่ยน้อยที่สุด ดังนั้นฝ่าบาทจึงรับสั่งให้เจ้าปักหลักอยู่บนเทือกเขาแห่งนี้”
“ทหารตั้งสี่แสนนาย จะไปเอาเสบียงมาจากที่ใดกัน ? ”
“หอเทียนจีได้สำราจเมืองโดยรอบแล้ว บัดนี้ข้าวสาลีใกล้สุกงอมเต็มที เมื่อถึงเวลานั้นค่อยส่งคนไปแย่งชิงกลับมา”
“…เยี่ยม ! จำต้องก่อตั้งหน่วยรักษาการณ์และสร้างที่พักอาศัยให้มากขึ้นกว่านี้แล้วสิ ลูกชายข้า…เตรียมการที่จะประจำอยู่ที่นี่โดยมิเคลื่อนทัพไปที่ใดแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พระประสงค์ของฝ่าบาทคือต้องการใช้เทือกเขาไทเออร์เป็นสนามรบ หลังจากที่กำจัดกองกำลังของกองทัพโมริยะได้พอสมควรแล้วค่อยมุ่งทัพไปทางเหนือ วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ของพระองค์ก็คือทำให้ประเทศโมริยะถดถอยไปหนึ่งร้อยปี ! ”
ชายอ้วนผงะ “เท่ากับว่าจะตีประเทศนี้ให้ราบเป็นหน้ากลองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ให้ราบเป็นหน้ากลอง ! ”
……
……
ณ พระราชวังเมืองปาฎลีบุตร เมืองหลวงประจำจักรวรรดิโมริยะ
พระเจ้าอโศกนั่งอ่านรายงานด่วนที่ถูกส่งมาจากทางใต้ จากนั้นก็ทรงพิโรธโกรธกริ้วเป็นอย่างมาก
“สามพันคน ! ”
“คนเพียงสามพันคนสามารถกำจัดกองทัพขนาดใหญ่ถึงสามแสนนายของข้าได้ ! ”
“สีจิน…” เขากัดฟันกรอดพร้อมส่งเสียงคำรามออกมา “เจ้ามันสมควรตายอย่างแท้จริง เจ้าคิดว่าตนเองตายไปแล้ว เรื่องทุกอย่างจะจบสิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“จงถอดตำแหน่งเจ้าเมืองแล้วประหารพวกมันเก้าชั่วโคตร ! ”
พระเจ้าอโศกมีพระชนมพรรษาราว 30 พรรษา เขาถลึงตาจนแทบจะหลุดออกจากเบ้าด้วยความโมโห เสนาบดีทุกคนเงียบกริบ ต่างก็ก้มหน้าลงด้วยความขลาดกลัว
ตั้งแต่ราชวงศ์โมริยะก่อตั้งมา 80 ปี ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกนี้ถือเป็นยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุด
พวกเขามีกองทัพทหารที่แข็งแกร่ง พวกเขาเป็นผู้ชนะสิบทิศบนผืนปฐพีแห่งนี้ ทว่าบัดนี้ตำนานดังกล่าวถูกทำให้หมดความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย ว่ากันว่ากองทัพที่บุกรุกเข้ามาทางภูเขาหิมะมีกำลังพลเพียงแค่ 3,000 นาย ทว่าพวกมันก็ยังแผลงอิทธิฤทธิ์เหิมเกริมไปทั่วอาณาเขตตะวันออกเฉียงใต้ราวกับว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นดินแดนไร้ผู้คน
พวกมันบุกโจมตีหลาย ๆ เมือง และบัดนี้ก็ได้กำจัดกองทัพของสีจินที่มีกำลังพลมากถึง 300,000 นายจนราบเป็นหน้ากลอง !
มิแปลกใจเลยที่พระเจ้าอโศกจะโกรธเกรี้ยวได้ถึงเพียงนี้
กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่และหยิ่งผยองราวกับถูกตบเข้าที่หน้าอย่างจัง เสียงดังสนั่น น่าอับอายถึงที่สุด
“……”
“อโศลา”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
แม่ทัพสวมชุดเกราะอายุราวสี่สิบกลาง ๆ ลุกขึ้นยืน
“จงรับคำสั่ง ให้เจ้านำกองทัพโมริยะสี่แสนนายมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาไทเออร์ ให้กองทัพโมริยะหนึ่งแสนนายของอับดุลรอซู อยู่ในการควบคุมของเจ้า ! ”
“เจ้าจงจำเอาไว้ว่าเป้าหมายของข้ามิได้มีเพียงแค่ข้าศึกสามพันคนเท่านั้น ! ”
“หลังจากที่เจ้ากำจัดข้าศึกสามพันคนนี้จนสิ้นซากแล้ว เจ้าจงนำกองทัพห้าแสนนายข้ามภูเขาหิมะไป ข้าชักฉงนใจแล้วสิว่าอีกฝั่งของภูเขานั้นเป็นเยี่ยงไร ! ”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
พระเจ้าอโศกสูดลมหายใจเข้าลึก สองมือค้ำยันโต๊ะทรงพระอักษร แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร “จงเดินทัพไปยังประเทศของผู้รุกราน และจงกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก ! ”
“จงจำเอาไว้ว่า…อย่าให้เหลือแม้แต่ผู้เดียว ! ”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ในวันเดียวกันนั้นเอง กองทัพโมริยะสี่แสนนายที่ประจำการอยู่ในเมืองปาฎลีบุตรก็ได้เคลื่อนทัพออกจากเมืองโดยมีอโศลาเป็นแม่ทัพ
จักรวรรดิโมริยะมิได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลขนาดใหญ่เช่นนี้มาหลายปีแล้ว ข่าวคราวได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ราษฎรชาวโมริยะต่างก็โห่ร้องด้วยความดีใจและต่างเห็นพ้องต้องกันว่ากองทัพโมริยะย่อมกำราบผู้บุกรุกได้อย่างแน่นอน
และในวันนั้นเช่นกัน กองทัพสี่แสนนายของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ข้ามเทือกเขาหิมาลัยและกำลังมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิโมริยะ
และในวันนั้นกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้นำกองทัพข้ามแม่น้ำเณลัมเข้าไปทำศึกกับอาณาจักรบอสโปรัน
เกิดความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์มากมายบนโลกใบนี้ บนโลกที่ฟู่เสี่ยวกวนจากมา กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ออกสำราจอาณาเขตทางตะวันออกด้วยกองทัพเพียงสี่หมื่นนายเท่านั้น ทว่าในโลกใบนี้ เขามีกำลังพลมากถึงสี่แสนนาย !
อาณาจักรบอสโปรันต้านการรุกรานได้เพียงสองวัน จากนั้นก็ประกาศยอมแพ้ กองทัพของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มุ่งหน้าไปทางตะวันออกต่อไป เพื่อไปยังแม่น้ำฟาสิส
หากมีจานดาวเทียนหมุนเหนือพื้นโลก พวกเราก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขณะนี้กำลังมีกองทัพขนาดมหึมาสามกองทัพกำลังเคลื่อนไหวอย่างโจ่งครึ่ม
กองทัพต้าเซี่ยสี่แสนนายมุ่งหน้าไปทางเหนือ กองทัพโมริยะห้าแสนนายมุ่งหน้าลงใต้ กองทัพของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์สี่แสนนายมุ่งหน้าไปทางตะวันออก น่าเสียดายที่มิมีผู้ใดรู้เรื่องทั้งหมดที่ดำเนินอยู่ในตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิรู้เช่นกัน
เมื่อความมืดมิดของราตรีกาลมาเยือน กองทัพของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสี่แสนนายก็ได้ค้นหาที่หลบลมแล้วปักหลักค้างคืน
ในกระโจมของเขามีเฮ้อซานเตา กวนเสี่ยวซี เว่ยอู๋ปิ้งและเฉินป๋อกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ บนโต๊ะตัวนั้นมีแผนที่ของแคว้นโมริยะวางอยู่
“ที่นี่ ! ” ฟู่เสี่ยกวนชี้นิ้วลงไปที่เทือกเขาไทเออร์ “บิดาของข้านำกองทัพสามพันนายปักหลักอยู่ที่นี่”
“แผนกลยุทธ์ของศึกครานี้จะมิเปลี่ยนแปลง พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาไทเออร์ และในขณะเดียวกันก็จะกวาดล้างทุกเมืองที่พวกเราเดินทางผ่าน แย่งชิงเสบียงอาหารจากพวกมันมาให้หมด ต้องให้ศัตรูรับรู้ว่าพวกเรามาถึงแล้ว”
“พวกเราจะทำศึกกับกองทัพโมริยะบนเทือกเขาไทเออร์แห่งนี้ จนกว่า…พวกเราจะกำจัดกำลังสำคัญของจักรวรรดิโมริยะได้จนหมดสิ้น ! ”
Comments