นายน้อยเจ้าสำราญ 1185 เสมือนมาพักผ่อน

Now you are reading นายน้อยเจ้าสำราญ Chapter 1185 เสมือนมาพักผ่อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1185 เสมือนมาพักผ่อน

ศึก ณ เทือกเขาไทเออร์ได้จบลงไปแล้วเดือนกว่า ๆ

หากดูจากเวลา คาดว่ารายงานผลสงครามน่าจะส่งถึงเมืองปาฎลีบุตรเมืองหลวงของจักรวรรดิโมริยะเนิ่นนานแล้ว

หลังจากที่พระเจ้าอโศกได้รับรายงานว่าฝ่ายตนพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงครานี้ เขาควรจะส่งทหารเข้ามาปราบสิถึงจะถูกต้อง ทว่าจากรายงานของสายลับหอเทียนจี พวกเขาบอกว่า…แม้พระเจ้าอโศกจะทรงพิโรธโกรธกริ้ว ทว่าเขาก็มิได้ส่งทหารออกมาแก้แค้นแม้แต่กองทัพเดียว

จะเอ่ยว่ามิส่งมาเลยก็มิถูกต้องนัก พระเจ้าอโศกได้ส่งสายลับมาที่เทือกเขาไทเออร์จำนวนมาก สายลับพวกนี้มิได้เข้ามาในเทือกเขา ทว่ากลับประจำการอยู่ที่คูเมือง ราวกับกำลังจับตาดูว่าทหารต้าเซี่ยได้ออกมานอกเขตเทือกเขาบ้างหรือไม่

หรือว่าเขาจะมิยอมขยับจนกว่าฝ่ายตนจะลงมือก่อน ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก เพราะก่อนหน้านี้เขาได้วางแผนหลอกล่อให้อโศกส่งกองทัพมายังสนามรบแห่งนี้ บัดนี้เห็นทีจะต้องเปลี่ยนแผนการรบเสียแล้ว

ทว่าก็มิได้รีบร้อนอันใดมากมายนัก เพราะกองทัพของซูม่อกำลังตระเวนสร้างความโกลาหลในจักรวรรดิโมริยะอยู่ รออีกสักหน่อยก็แล้วกัน รอให้ซูม่อเล่นงานอโศกจนเขาจิตตก ดูสิว่าครานี้เขาจะยังสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ได้อีกหรือไม่

สายลับของหอเทียนไร้หนทางที่จะแฝงตัวเข้าไปในพระราชวังเมืองปาฎลีบุตร พวกเขามิรู้ว่าพระเจ้าอโศกกำลังตกอยู่ในสภาวะกดดันอย่างหนักหน่วง

หลังจากที่เขาส่งกองทัพโมริยะห้าแสนนายไปจัดการกับฟู่เสี่ยวกวนได้มินาน เขาก็ได้ทราบข่าวร้ายอีกข่าวหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือมีกองทัพสี่แสนนายจากทิศตะวันตกกำลังมุ่งหน้าเข้ามาทางอาณาเขตของตน !

พวกเขาได้เคลื่อนทัพมาถึงแม่น้ำฟาสิส ดูจากเส้นทางการเดินทัพแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาคือจักรวรรดิโมริยะ !

ปีนี้เป็นปีดวงตก ทำให้พระเจ้าอโศกจิตใจแห้งเหี่ยว ปกติข้ารุกรานเพียงแคว้นเล็กรอบ ๆ เท่านั้น เหตุใดปีนี้ถึงมีกองทัพขนาดใหญ่จากแดนไกลตั้งสองกองทัพเข้ามาบุกโจมตีได้เล่า ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพต้าเซี่ยที่ข้ามภูเขาหิมะนั่นมา พวกเขาข้ามภูเขาหิมะที่ใหญ่โตถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไรกัน ?

ตอนแรกหวังให้กองทัพของอโศลากำจัดกองทัพนั่นเสีย จากนั้นให้ข้ามภูเขาหิมะไปดูบ้านเมืองอีกฝั่ง ทว่าบัดนี้กลับเป็นอโศลาที่ถูกพวกมันโจมตีจนย่อยยับ !

พวกเขาพ่ายแพ้ภายในวันเดียวเท่านั้น !

กองทัพห้าแสนนายถูกทหารต้าเซี่ยปราบจนราบคาบตั้งเเต่เช้าตรู่จนถึงยามโพล้เพล้ !

เมื่อรายงานผลของสงครามครานี้ถูกส่งมาถึงพระราชวัง พระเจ้าอโศกที่อ่านรายงานจนถี่ถ้วนแล้วก็ตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง ส่วนเหล่าเสนาบดีแทบจะมิอยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อศพของอโศลาผู้บัญชาการทัพถูกนำเข้ามาที่ท้องพระโรง พวกเขาถึงได้เชื่อว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง !

ทหารที่เหลืออีกห้าแสนนายถูกส่งไปจัดการกับกองทัพจากทิศตะวันตกนั่นแล้วเช่นกัน บัดนี้จะทำเยี่ยงไรดี ?

ถ้าหากทหารต้าเซี่ยเดินทัพต่อไปทางเหนือ…ทหารรักษาการณ์พวกนั้นมิใช่คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับทหารต้าเซี่ยเลยสักนิด !

พวกเขาจะเดินเข้าเมืองปาฎลีบุตรได้อย่างสง่าผ่าเผย !

และจักรวรรดิโมริยะก็คงถึงคราอวสาน !

ทว่าจากรายงานของสายลับทหาร ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ เพราะดูเหมือนต้าเซี่ยจะถูกใจเทือกเขาไทเออร์เข้าแล้ว เพราะพวกมันมิโผล่หัวออกมาด้านนอกเลย !

นี่ย่อมเป็นเรื่องดีเพราะอโศลาหวังว่ากองทัพนี้จะมิออกมาสู่โลกภายนอกตลอดกาล ถ้าหากพวกมันชอบเทือกเขาไทเออร์ก็ยกให้พวกมันไปคงมิได้เสียหายอันใด

บัดนี้เขาหวังว่ากองทัพของตนที่เหลืออีกห้าแสนนายจะคว้าชัยชนะจากการทำศึกทางทิศตะวันตกมาได้ หากชนะ…กองทัพก็จะมีโอกาสกลับมาป้องกันเมืองปาฏลีบุตร

เขาย่อมทราบว่าทหารต้าเซี่ยกำลังกวาดล้างอาณาเขตทางตอนใต้ของจักรวรรดิในขณะนี้ บัดนี้เขาทำได้เพียงให้ทหารประจำเมืองคอยป้องกันเอาไว้เท่านั้น

การป้องกันของทหารประจำเมืองทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก เพราะทหารหลายหมื่นนายมิสามารถทำร้ายข้าศึกได้แม้แต่ปลายเล็บ

“บัดนี้คือช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของจักรวรรดิโมริยะ ! ”

พระเจ้าอโศกเรียกขุนนางมาประชุมในท้องพระโรงอย่างเร่งด่วน

“ข้าขอสั่งให้มีการเกณฑ์ทหารทั่วจักรวรรดิ ให้เกณฑ์มาทุกครัวเรือน ! บ้านใดมีบุรุษสองคนให้เกณฑ์มาหนึ่งคน บ้านใดมีบุรุษสามคนให้เกณฑ์มาสองคน ! ”

“ให้ขยายการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และต้องผลิตระเบิดจำนวนมหาศาล ! ”

“มอบหมายให้ซันเจียอี้ชินอ๋องเป็นผู้คุมทัพของทหารรักษาการณ์เมืองของทุกเมือง จำต้องล้างบางพวกหนูสกปรกต้าเซี่ยนั่นให้หมดจด ! ”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมาทันใด เมื่อเงยหน้ามองแสงจันทราสว่างเรืองรอง

กาลเวลาได้เดินทางมาถึงสิบห้าค่ำเดือนแปดกลางฤดูใบไม้ร่วงโดยมิรู้ตัว

เขาย้อนคิดถึงเมืองจินหลิงเมื่อหลายปีก่อน ปีนี้ที่หลานถิงจี๋บนทะเลสาบเว่ยยางมิรู้ว่าจะมีบัณฑิตมาประพันธ์กวีมากน้อยเพียงใด ?

เฮ้อซานเตาก็กลัดกลุ้มมิแพ้กัน เพราะเพิ่งจะรบได้มิทันไรสงครามก็จบลงเสียแล้ว หลังจากนั้นก็ทำได้เพียงแค่รอคอยอย่างเบื่อหน่ายเช่นนี้

“ฝ่าบาท…ให้ข้านำทหารนาวิกโยธินออกไปก่อความวุ่นวายในจักรวรรดิโมริยะดีหรือไม่ ? ”

เฮ้อซานเตาที่นั่งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ หันไปมองฟู่เสี่ยวอย่างรอคอย “ว่างมิมีอันใดทำเช่นนี้มันน่าเบื่อจะตายไป เสบียงของทหารก็ใกล้หมดเต็มที ให้ข้าออกไปชิงเสบียงกลับมาดีหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจงไปเรียกกวนเสี่ยวซีและแม่ทัพที่เหลือออกมา หยิบแผนที่จักรวรรดิโมริยะมาให้ข้าด้วย”

เฮ้อซานเตาลุกขึ้นอย่างเร็วไวพร้อมส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ ดูเหมือนว่าจะมีภารกิจให้ทำเสียแล้วสิ “รับทราบ แต่ว่าฝ่าบาท…ถ้าหากคราหน้ามีภารกิจอันใดอีกส่งมาให้พวกข้าทำก่อนได้หรือไม่ ? ”

“เจ้าเอ่ยเองมิใช่หรือว่าโจ่งหยูรอคลอดบุตรให้เจ้าอีกสามคน ? ”

“ฮ่า ๆ ฝ่าบาทสบายใจได้ ข้าดวงแข็งมิตายง่าย ๆ หรอก กลับไปถึงต้าเซี่ยเมื่อใด ข้าสามารถลงมือทำลูกได้เลยทันที ! ”

มินานนัก เฮ้อซานเตาก็ได้นำกวนเสี่ยวซีและแม่ทัพคนอื่น ๆ เดินเข้ามาบนเนินเขาเตี้ย ๆ มีแสงจากโคมไฟสีแดงส่องสว่าง จากนั้นทุกคนก็นั่งล้อมวงกัน

ฟู่เสี่ยวกวนกางแผนที่ไว้บนพื้น จากนั้นก็ศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

“จากหุบเขาที่พวกเราพำนักอยู่ มีระยะห่างจากเมืองปาฎลีบุตรแห่งจักรวรรดิโมริยะราว 1,500 ลี้ จากเส้นทางนี้จำต้องผ่านเมืองใหญ่ถึงหกเมือง และยังมีเมืองเล็กอีกยี่สิบกว่าเมือง”

“ทว่าปัญหาในตอนนี้ก็คือในเมื่อแคว้นโมริยะยังมีกองทัพอีกห้าแสนนาย เหตุใดอโศกถึงยังมิส่งกองทัพออกมา ? ”

“อโศลาพ่ายแพ้ต่อกองทัพต้าเซี่ยที่นี่ คาดว่าบัดนี้อโศกคงจะรู้ถึงแผนการของข้าแล้ว เขากำลังแข่งความอดทนกับข้า ทว่าเขาชนะแล้วล่ะ นั่นมิใช่เพราะข้ามิมีความอดทนที่จะรอต่อไป แต่เป็นเพราะเสบียงอาหารของพวกเราร่อยหรอลงเต็มที พวกเราจึงมีความจำเป็นต้องออกไป”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นพลางกวาดสายตามองทุกคนในวง สีหน้าของเหล่าแม่ทัพดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด เอาเหอะ…เยี่ยงนั้นพวกเราก็ไปประจันหน้ากับอโศกสักตั้ง

“ในเมื่อจะออกไปแล้ว วันพรุ่งให้เวลาทุกคนเก็บของหนึ่งวัน และต่อไปนี้คือแผนการของข้า”

เฮ้อซานเตาและคนอื่น ๆ ตั้งใจฟังฟู่เสี่ยวกวนที่ค่อย ๆ สาธยายแผนการออกมา “จงส่งกองนาวิกโยธินหนึ่งหมื่นนายของเฮ้อซานเตาล่วงหน้าไปก่อน เจ้าจงจำเอาไว้ว่าพวกเรามิรีบร้อนเดินทาง ! ”

“เมื่อเจ้าตีเมืองใดเมืองหนึ่งได้แล้ว จงยกกองทัพเข้าไปในเมืองเพื่อเติมเสบียง และจงพึงระลึกเอาไว้ว่าพวกเราจะมิเข่นฆ่าชาวเมืองเว้นเสียแต่พวกเขาจะต่อต้านพวกเรา”

“ให้เฉินป๋อกับเว่ยอู๋ปิ้งเป็นแนวหน้า ให้กองทัพของกวนเสี่ยวซีเป็นกองกลาง ให้กองทัพของเฝิงซีเป็นแนวหลัง พวกเจ้าต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จากนั้นจงบุกไปข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผย”

“หอเทียนจี…” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยพลางหันไปมองจี้หยุนกุย “จงสั่งให้คนของเจ้าจับตาดูสถานการณ์กองทัพทุกภาคส่วนของศัตรู อีกอย่างเจ้าจงติดต่อกับกองทัพของซูม่อ เพื่อบอกให้เขาเดินทางมารวมพลกับกองทัพที่…”

เขาหันไปมองแผนที่อีกครา จากนั้นก็ชี้นิ้วลงตรงตำแหน่งหนึ่ง “ให้พวกซูม่อมารวมพลกับกองทัพที่เมืองคานเทียร์”

“ข้ายังคงยืนยันคำเดิมว่าชีวิตของทหารต้าเซี่ยนั้นมีค่ามากกว่าชีวิตของข้าศึก ข้าขอเน้นย้ำอีกคราโดยเฉพาะเฮ้อซานเตา ! ”

เฮ้อซานเตาเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตกใจ พลางเผยความรู้สึกผิดให้เห็นเลือนลาง

“เจ้าจงจำเอาไว้ว่ากองนาวิกโยธินเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าเซี่ย ข้าหวังให้เจ้าใช้กองกำลังนี้อย่างชาญฉลาด มิใช่เอะอะเอาแต่ประจันหน้ากับศัตรู ! ”

“เอาล่ะ ! ขอทุกคนจงนำคำสั่งของข้าไปประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน พรุ่งนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ เหล่าทหารต้องได้กินอย่างอิ่มหมีพีมันเพื่อร่วมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์”

ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคารวะ จากนั้นก็เดินออกไปด้วยสีหน้าปีติยินดี

ชายอ้วนเข้ามานั่งด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนโดยมิให้ซุ้มให้เสียง เขาควักเอาของบางอย่างที่กำลังร้อน ๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ลองชิมดูเถิด แต่ก่อนเจ้ามักจะเอ่ยเสมอมิใช่หรือว่าเมื่อถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ต้องกินขนมไหว้พระจันทร์ ? ”

“ข้าลองทำดูสองชิ้น…ข้ากินไปแล้วหนึ่งชิ้น คิดว่ารสชาติพอใช้ได้ เจ้าลองชิมดูเถิด ! ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด