นายน้อยเจ้าสำราญ 1187 ออกเดินทาง
ตอนที่ 1187 ออกเดินทาง
ณ เมืองกวนยุน
หลังจากที่ร่วมงานเลี้ยงฉลองวันไหว้พระจันทร์เสร็จแล้ว ซือหม่าเทาและคนอื่น ๆ ที่เหลือก็ได้ดื่มฉลองกันต่อที่หลิวหยุนถาย
เช้าวันนี้เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เป็นยามสายแล้ว เมื่อเขาล้างหน้าล้างตาเสร็จก็กินเพียงอาหารเช้าง่าย ๆ จากนั้นก็ออกเดินทางไปที่โรงน้ำชาชุนยุน
เมื่อวานเขาได้ทราบข่าวคราวจากผู้เป็นน้องสาวว่าบรรดาพระสนมในพระราชวังเตรียมจะออกประพาสต่างเมือง และปลายทางครานี้ก็คืออดีตเมืองว่อเฟิงซึ่งก็คือเมืองฉางอันในปัจจุบันนี้
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้กำหนดวันเวลาในการย้ายเมืองหลวง ดังนั้นข่าวนี้จึงยังมิแพร่หลายในหมู่ราษฎร
เมื่อทราบข่าวนี้ซือหม่าทาวก็คิดประติดประต่อร้อยพัน การที่พระสนมเดินทางไปยังเมืองฉางอัน มันต้องมีเรื่องสำคัญซ่อนอยู่เป็นแน่ !
เขาเคยอาศัยในเมืองว่อเฟิงมาก่อน ซึ่งก็คือตอนที่ฝ่าบาทดำรงตำแหน่งเต้าถายประจำเมืองว่อเฟิงนั่นเอง
หลังจากที่ผนวกทั้งห้าแคว้นเข้าด้วยกัน พระองค์ได้แต่งตั้งให้เมืองกวนหยุนเป็นเมืองหลวง จากนั้นก็ย้ายฉินโม่เหวินไปประจำอยู่ที่จิงซีเป่ยเต้า ย้ายต่งซิวจิ่นไปประจำอยู่ที่จิงซีหนานเต้า
ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ฉินโม่เหวินสร้างเมืองว่อเฟิงขึ้นมาใหม่ ทั้งยังเปลี่ยนนามเป็นเมืองฉางอัน
เมื่อผ่านการก่อสร้างมานานหลายปี ขนาดของเมืองฉางอันได้ขยายใหญ่มากกว่าเมืองว่อเฟิงถึงสิบเท่า… เดิมทีเมืองฉางอันมีประชากรแค่สองถึงสามแสนคน ต่อให้เป็นตอนนี้ก็น่าจะมีมิเกินหนึ่งล้านคน ทว่าขนาดของเมืองฉางอันกลับออกแบบมาเพื่อเป็นเมืองใหญ่ที่รองรับประชากรได้เป็นสิบล้านคน !
หรือฝ่าบาทมีพระประสงค์จะย้ายเมืองหลวงกัน ?
ได้ยินมาว่ามีการก่อสร้างพระราชวังขนาดใหญ่ขึ้นที่เมืองฉางอัน ลือกันว่าจะเป็นราชนิเวศน์ของพระองค์ ทว่าพระราชวังแห่งนั้นกลับมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าพระราชวังที่เมืองกวนหยุนเสียอีก !
เมื่อเมืองกวนหยุนเจริญมากขึ้น สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือความแออัดที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่าฝ่าบาทกลับมิขยายเมืองกวนหยุนแต่อย่างใด ดังนั้นซือหม่าเทาค่อนข้างจะมั่นใจแล้วว่าฝ่าบาทจะมีการเคลื่อนย้ายคราใหญ่ไปที่เมืองฉางอัน
ฝ่าบาทเสด็จไปพิชิตอาณาเขตทางเหนือ ทว่าบรรดาพระสนมกลับเดินทางไปยังเมืองฉางอัน ดังนั้นมันต้องมีอันใดแอบแฝงอยู่เป็นแน่
หลังจากที่งานเลี้ยงสังสรรค์ได้เลิกรา เขาก็ได้เชิญโจ่งจี้ถังและหยูซิ๋งเจี่ยนไปพบปะกันที่โรงน้ำชาชุนยุนในวันนี้
เขาเดินขึ้นไปบนชั้นสองของโรงน้ำชา พบว่าโจ่งจี้ถังและคนอื่น ๆ ที่เหลือได้มากันพร้อมหน้าแล้ว
“ต้องขออภัย เมื่อคืนข้าดื่มเยอะไปหน่อย อ่า…หวังเฉาเฟิงมิมาหรือ ? ”
“เจ้าดื่มเยอะจริง ๆ นั่นแหละ หวังเฉาเฟิงและจังชีเยวี่ยเดินทางออกจากเมืองกวนหยุนไปยังแคว้นโหลวหลานตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เมื่อวานพวกเขาเพิ่งบอกเองมิใช่หรือ ? ว่าจะเปิดร้านที่แคว้นโหลวหลานเพื่อเป็นสถานที่พักสินค้าจำพวกผ้าไหมและใบชา จากนั้นค่อยส่งต่อไปทางเหนืออีกทอด”
ซือหม่าเทาตบเข้าที่หน้าผาก จากนั้นก็นั่งลงข้างหยูซิ๋งเจี่ยน “ดูความจำปลาทองของข้าสิ ข้าลืมไปเสียสนิทเลยจริง ๆ ”
“เรื่องเป็นเช่นนี้…วันนี้ที่เรียกทุกคนมานั่งสนทนากันเพราะข้ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับพวกเจ้า ! ”
เมื่อเอ่ยว่าเป็นเรื่องสำคัญ พวกเขาก็ตั้งใจฟังขึ้นมาทันที เพราะน้องสาวของซือหม่าเทาเป็นถึงพระสนม เรื่องใดที่หลุดออกมาจากปากของเขาย่อมเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน “น้องซือหม่าเชิญเอ่ยเถิด ! ”
“เมืองว่อเฟิง พวกเจ้าคงจำได้ดี ! ”
โจ่งจี้ถังโพล่งหัวเราะออกมา “เหตุใดจะจำมิได้เล่า พวกเราต่างเคยค้าขายอยู่ที่เมืองว่อเฟิงมาก่อน ทว่าที่นั่นถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองฉางอันไปเนิ่นนานแล้ว พวกเราต่างก็มีร้านอยู่ที่นั่นกันทั้งนั้น มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เจ้าเอ่ยถูก ! บัดนี้ข้ารู้สึกว่าตระกูลของพวกเราสนใจการลงทุนในต่างประเทศมากจนเกินไป พวกเรามีร้านอยู่ที่เมืองฉางอันก็จริง ทว่ามีเพียงมิกี่แห่งเท่านั้น ! ”
“ข้าคิดว่าพวกเราต่างก็ละเลยเมืองฉางอันไป ! ”
ซือหม่าเทาจิบชาอุ่น ๆ หนึ่งอึก จากนั้นก็โน้มตัวลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “ข้าคิดว่า…มีความเป็นไปได้สูงที่ฝ่าบาทจะย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองฉางอัน ! ”
เมื่อซือหม่าเทาเอ่ยจบ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงกันเสียยกใหญ่ ย้ายเมืองหลวงเยี่ยงนั้นหรือ ?
ย้ายกันง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ ?
เมืองหลวงมิเพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น ทว่ามันยังเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ ศูนย์กลางการปกครองและศุนย์กลางของวัฒนธรรมอีกด้วย !
ราชสำนักของเมืองกวนหยุนมีกี่ขุนนางกี่คนกัน ?
คาดว่ามีขุนนางราวแปดร้อยถึงหนึ่งพันคนได้ !
พวกเขาต่างก็ซื้อบ้านเรือนปักหลักอยู่ที่นี่แล้ว หากนับรวมสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาไปด้วยก็น่าจะมีราวแปดพันถึงหนึ่งหมื่นคน แน่นอนว่าจำนวนแค่นี้ยังน้อยนิดหากเทียบกับประชากรทั้งเมืองกวนหยุน ทว่าการที่จะให้คนมากมายมหาศาลถึงเพียงนั้นย้ายไปอาศัยอีกเมืองหนึ่งอย่างปุบปับนี่มัน…
สถานที่แห่งนั้นตั้งอยู่ห่างจากเมืองกวนหยุนราวพันลี้ !
ผู้ใดจะยอมเล่า ?
ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในเมืองกวนหยุนมานานหลายปี มีบางคนอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายชั่วอายุคน คงเป็นเรื่องยากที่จะละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตน พวกเขาจะยอมย้ายไปเมืองฉางอันอย่างง่ายดายจริง ๆ หรือ ?
อีกอย่างเมืองกวนหยุนก็มีจุดยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมยิ่ง มีเส้นทางเดินเรือผ่านเมืองจินหลิง มีถนนตัดผ่านไปทุกหนแห่ง มิว่าจะเป็นเมืองฉางจินหรือเมืองไท่หลินก็ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่มิกี่วันเท่านั้น
แล้วเมืองฉางอันเล่า ?
เว้นเสียเเต่จะมีแม่น้ำขนส่งเส้นนั้นทะลุผ่าน มิเช่นนั้นเมืองที่ใกล้ที่สุดก็เห็นจะมีเพียงเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน
มิว่าจะเป็นเรื่องการคมนาคมหรือเรื่องอื่น ๆ ฉางอันก็มิดีพอที่จะถูกแต่งตั้งให้เป็นเมืองหลวงเลยสักนิด
ดังนั้นหลังจากที่โจ่งจี้ถังและคนอื่น ๆ ได้ใคร่ครวญดูแล้ว พวกเขาต่างก็ส่ายศีรษะช้า ๆ “เป็นไปมิได้ ! ”
หลู่ซีฮุ่นถึงกับวิเคราะห์ให้ฟังอย่างละเอียด
“น้องซือหม่า แท้ที่จริงต้าเซี่ยนั้นก่อร่างขึ้นมาจากราชวงศ์อู๋ ดังนั้นเมืองกวนหยุนจึงเป็นดั่งสัญลักษณ์ที่สำคัญมากยิ่งนัก”
“แม้ว่าภูมิศาสตร์ของที่นี่จะสูงไปนิด ทว่าก็เป็นตัวแทนความสูงส่งของอำนาจจักรพรรดิมิใช่หรือ ? ”
“ปัญหาเดียวตอนนี้ที่เมืองกวนหยุนมีก็คือเล็กไปหน่อย ทว่าบัดนี้ฝ่าบาทได้นำทองคำกองเท่าภูเขากลับมา บริเวณที่ราบหลีลั่วมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมากพอที่จะขยายเมืองได้”
“ลองย้อนกลับไปดูเมืองฉางอันสิ ปีนั้นได้ยินมาว่าฝ่าบาทจะใช้เมืองฉางอันเป็นเมืองเชื่อมต่อที่สำคัญของเส้นทางสายไหม เมืองมีขนาดใหญ่ก็จริง ทว่าก็มีข้อจำกัดในเรื่องการคมนาคม… เยี่ยงไรเสียการขนส่งทางบกก็มิรวดเร็วเท่ากับการขนส่งทางน้ำ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเมืองฉางอันเป็นเมืองที่ฝ่าบาททรงใช้ระลึกถึงตอนที่ยังบริหารราชการอยู่ที่นั่นเสียมากกว่า”
คนที่เหลือต่างแสดงความเห็นตรงกัน ทว่าซือหม่าเทายังคงยืนหยัดในความเห็นของตนเอง
“แล้วถ้าหากมีแม่น้ำขนส่งทะลุผ่านเมืองเล่า ? ”
“พวกเจ้าลองคิดดูเถิด ทุกวันนี้ต้าเซี่ยมีการวางรางรถไฟไปทั่วแล้ว…คราหนึ่งหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยเคยตีพิมพ์ไว้ว่า ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ที่เขตซื่อหยางกำลังศึกษาวิจัยรถไฟ และรถไฟที่ว่าก็สามารถเดินทางได้ไกลถึง 800 ลี้ต่อวัน ! ”
“ถ้าหากมีแม่น้ำขนส่งไหลผ่าน ถ้าหากว่ามีรางรถไฟกระจายทั่วต้าเซี่ย ครานี้การคมนาคมจะยังเป็นปัญหาอยู่อีกหรือ ? ”
“รถไฟมิใช่ม้าที่ต้องกินต้องนอน ได้ยินมาว่ารถไฟสามารถเดินทางได้ตลอดทั้งวัน เช่นนั้นสถานที่ห่างไกลจะมิกลายเป็นใกล้แค่เอื้อมหรอกหรือ ? ”
“อีกอย่าง…เหล่าพระสนมจะเสด็จไปยังเมืองฉางอันในวันพรุ่งนี้ เมืองฉางอันมิใช่สถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจสักหน่อย แล้วพวกนางไปที่นั่นเพื่อทำอันใดกันเล่า ? ”
เมื่อสิ้นเสียงของซือหม่าเทา ทุกคนในห้องต่างก็ตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง
จริงสิ ! ถ้าหากปัญหาการคมนาคมได้รับการแก้ไข เมืองหลวงของต้าเซี่ยจะตั้งอยู่ที่ใดก็คงจะมิเป็นปัญหาอีกต่อไป
เพียงแต่ว่า…ต้าเซี่ยมีความจำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงจริงหรือ ?
แล้วเหล่าพระสนมเสด็จไปเมืองฉางอันเพื่อทำอันใดกันแน่ ?
“ไหน ๆ พวกเราก็มิมีอันใดทำกันอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไปสังเกตการณ์ที่เมืองฉางอันกันสักหน่อยดีหรือไม่ ! ” เมื่อสิ้นเสียงของหลู่ซีฮุ่นทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าหากว่าย้ายเมืองไปที่เมืองฉางอันจริง เช่นนั้นเมืองฉางอันจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในอนาคต… ! ”
“อืม…เอาตามนี้ก็แล้วกัน กลับไปเก็บของกันเถิด พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปยังเมืองฉางอันกัน ! ”
วันถัดไป ขบวนของพระสนมทั้งเก้าได้ออกเดินทางไกลอย่างเอิกเกริกจากเมืองกวนหยุนโดยมีเมืองฉางอันเป็นปลายทาง
พรรคพวกของซือหม่าเทาก็ออกเดินทางไปยังเมืองฉางอันเช่นเดียวกัน
บัดนี้ยังมิมีผู้ใดล่วงรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงคราใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในต้าเซี่ย เมืองกวนหยุนยังคงคึกคักดังเดิม เฉินโม่เหวินนำผู้ติดตามตระเวนไปทั่วตรอกซอยต่าง ๆ ของเมืองฉางอัน
เขารู้ดีว่าที่นี่จะกลายเป็นศูนย์กลางของต้าเซี่ย
เพียงแต่บัดนี้ฝ่าบาทกำลังนำทัพไปพิชิตอาณาเขตทางเหนือ บัดนี้พระองค์ประทับอยู่ที่ใดกัน ?
Comments