นายน้อยเจ้าสำราญ 1235 ความเป็นมนุษย์

Now you are reading นายน้อยเจ้าสำราญ Chapter 1235 ความเป็นมนุษย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1235 ความเป็นมนุษย์

“นี่แหละหนอมนุษย์ ! ”

เมื่อหยุนซีเหยียนจากไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันมาเอ่ยกับอู๋เทียนซื่อว่า “เมื่อคนเราอยู่ในสภาวะแร้นแค้นจนถึงขีดสุด เขาจะต้องการเพียงข้าวต้มหนึ่งถ้วยกับหนั่นโถวหนึ่งชิ้นเท่านั้น”

“เมื่อเขาได้ข้าวต้มหนึ่งถ้วยกับหมั่นโถวหนึ่งชิ้นแล้ว เขาก็คิดอยากได้เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เอาไว้ป้องกันความหนาวเย็น”

“เมื่อได้เสื้อผ้าอาภรณ์ให้ความอบอุ่นแล้ว เขาก็ปรารถนาอยากจะได้บ้านสักหลังไว้คอยหลบฝน”

“เมื่อมีบ้าน เขาก็จะรู้สึกว่าบ้านมันอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวจนเกินไป จึงอยากได้ภรรยาสักคน”

“เมื่อมีภรรยาแล้ว เขาก็อยากยกระดับชีวิตของตนเองให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น เขาเลยคิดวิธีหาเงิน”

“ดังนั้น…เขาจะเลือกเดินเส้นทางการค้าหรือเส้นทางการเป็นขุนนาง”

“หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเขาจะยิ่งกว้างไกลมากยิ่งขึ้น เขาจะรู้สึกว่าบ้านของตนเองขี้ริ้วขี้เหร่จนเกินไป เขาจึงอยากได้บ้านหลังใหญ่กว่านี้ หากได้คฤหาสน์หลังใหญ่จะเป็นการดีที่สุด”

“ถ้าหากเขาเป็นพ่อค้า ก็คงขยันหมั่นเพียรที่จะประกอบกิจการ ทว่าหากเขาเป็นขุนนาง…เขาก็จะค้นพบว่าเบี้ยหวัดของตนนั้นน้อยจนเกินไป กว่าจะมีเงินซื้อคฤหาสน์ได้ก็คงแก่หงำเหงือกพอดี”

“ดังนั้นเขาจึงลงมือทุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งบ้านหลังใหญ่โต จากนั้นก็จ้างบ่าวรับใช้มากมาย เขารู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เขาปรารถนา”

“หลังจากนั้นเขาจะอยากไต่เต้าขึ้นไปบนจุดที่สูงกว่าเดิม เขารู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้เงินทองเพื่อปูทางให้เขาประสบความสำเร็จ เขาก็ยิ่งทุจริต ทุจริตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไปฉกฉวยเงินทองที่มิใช่ของตนมาปรนเปรอให้ตนเองมีความสุข มีชีวิตที่หรูหราฟุ้งเฟ้อ ไปประจบสอพลอขุนนางชั้นผู้ใหญ่ มีความทะเยอทะยานที่จะไต่เต้าขึ้นไป”

ฟู่เสี่ยวกวนมองหน้าลูกชายที่บัดนี้เต็มไปด้วยความสับสนงุนงง จากนั้นก็ส่งยิ้มให้

“นี่เเหละสิ่งที่เขาเรียกว่าความปรารถนาของมนุษย์”

“คนผู้นี้ได้ลืมสิ้นแล้วว่าแรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นเพียงคนหนึ่งที่ต้องการข้าวต้มหนึ่งถ้วยกับหมั่นโถวหนึ่งลูกเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น”

“ดังนั้นพ่อจึงอยากถามเจ้าว่า…เจ้าคิดว่าความปรารถนาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่ ? ”

อู๋เทียนซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ “มิถูกต้อง ! นี่มิต่างอันใดกับโลภมากมิรู้จักพอพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะเป็นคำตอบ “เราต้องดูความปรารถนาเช่นนี้เป็นสองมุมมอง”

“มนุษย์เรามักจะมีความปรารถนาอยู่เสมอ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตตามที่พวกเขาต้องการ อีกทั้งความเจริญก้าวหน้าของสังคมก็ล้วนขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาของพวกเขาทั้งสิ้น”

“เจ้าลองคิดดูสิ พ่อค้าทำการค้าขายเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาสามารถเลือกเดินได้สองเส้นทาง หนึ่งในนั้นมิใช่เส้นทางที่สุจริต เช่นการลักลอบหรือกอบโกยกำไรจากการค้าขายสินค้าต้องห้าม ส่วนเส้นทางที่สองนั้นคือการพัฒนาเครื่องมือให้ดีขึ้น เช่นพัฒนางานฝีมือ พัฒนาความสามารถในการผลิตของโรงงานเพื่อลดต้นทุนแล้วนำเงินส่วนนั้นไปขยายลู่ทางในการค้าขายต่อไปเป็นต้น”

“นี่คือชีวิตดี ๆ ที่เขาปรารถนา ซึ่งอาจจะสำเร็จในช่วงอายุของเขาหรืออาจจะในอีกหลาย ๆ ชั่วอายุคน คนเเบบนี้เจ้าจะเรียกว่าโลภมากมิรู้จักพอได้หรือ ? ”

“ก็มิได้ ! เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาควรกระทำ”

“ส่วนขุนนางนั้นจะมีความปรารถนาเช่นนี้มิได้ ! เพราะขุนนางของต้าเซี่ยต้องทำงานรับใช้สังคม เบี้ยหวัดแต่ละเดือนที่พวกเขาได้รับแม้จะมิมาก ทว่าก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูปากท้องของคนในครอบครัว”

“เบี้ยหวัดนี้มีเพียงพอที่จะให้เขาซื้อบ้านหลังงามได้ ให้เขาเลี้ยงดูทั้งครอบครัวได้ ทว่าหากเขามีความต้องการมากกว่านั้น ทางหน่วยงานราชการก็อนุญาตให้เขาลาออกไปประกอบกิจการได้”

“แต่ว่าเขากลับเลือกวิธีเรียกเงินจากพ่อค้าและชาวนา แทนที่จะรับใช้ราษฎร ทว่าพวกเขากลับขูดรีดผลจากการทุ่มเทของผู้อื่น คนเเบบนี้สิ…ถึงจะเป็นคนละโมบโลภมากมิรู้จักพอ ! ”

“ขุนนางเช่นนี้…ต้องประหารสถานเดียว ! เพราะเมื่อเราประหารขุนนางโฉดชั่วหนึ่งคน เราจะทำให้ราษฎรจำนวนนับมิถ้วนมีความสุข ! ”

นี่เป็นบทเรียนที่ชวนให้เห็นภาพ

ฟู่เสี่ยวกวนพร่ำสอนบุตรชายราว 2 ชั่วยาม

เขาได้อธิบายถึงความเป็นมนุษย์ อธิบายถึงความปรารถนาของมนุษย์ ทั้งยังไขข้อข้องใจเรื่องที่ว่าจักรพรรดิควรจะปฏิบัติต่อราษฎรและขุนนางเยี่ยงไร

อู๋เทียนซื่อฟังทุกคำสอนอย่างตั้งใจ มีหลายเรื่องราวที่เขายังมิค่อยเข้าใจเหตุผล ทว่าเขาก็จำเอาไว้ในหัวแล้ว เขาหวังว่าตนเองจะเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงบิดา

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบ จัวเปี๋ยหลีเสนาบดีกรมยุทธการก็เดินเข้ามา

เขาหันไปมองอู๋เทียนซื่อเเล้วประคองสองมือคารวะฟู่เสี่ยวกวน “ท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋ยู่เหลียนและผู้บัญชาการอีกหกกองทัพจะมาถึงในวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ ส่วนท่านแม่ทัพใหญ่หยูเวิ่นเทียนได้เดินทางมาถึงแล้ว ให้เขามาเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่นี่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ได้สิ…ไปเชิญเขาเข้ามา ! ”

“พรุ่งนี้ให้เหล่าไป๋พักผ่อนสักหนึ่งวัน แล้ววันมะรืนพวกเราค่อยเริ่มประชุม”

“พ่ะย่ะค่ะ ! ”

เมื่อจัวเปี๋ยหลีจากไป อู๋เทียนซื่อจึงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “แม่ทัพหยูเวิ่นเทียน ? เขาคงเก่งกาจเอาการเลยสินะ ? ”

“อืม…เขาเก่งมิเบาเลยล่ะ พ่อจะย้ายเขากลับมาที่เมืองหลวง ให้เขามารับหน้าที่รองเสนบดีกรมยุทธนาการ”

“รองเสนาบดีกรมยุทธานาการมิได้ใหญ่โตเท่าแม่ทัพใหญ่สักหน่อย ! ”

“บางคราใหญ่โตมากเกินไปก็มิใช่เรื่องดี”

ประโยคนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่อู๋เทียนซื่อจะทำความเข้าใจได้ เขาหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างรอคอย ทว่าผู้เป็นพ่อก็มิได้อธิบายอันใดออกมา

“เขาเป็นพี่ชายของแม่ใหญ่ของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงเรียกเขาว่าท่านลุงเสีย”

แม่ใหญ่ที่ว่าก็คือหยูเวิ่นหวินนั่นเอง ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีกฎตายตัวในการจัดลำดับเรียก ดังนั้นเด็ก ๆ จึงเรียกว่านางว่าแม่ใหญ่บ้างแม่รองบ้าง

“เป็นท่านลุงเหมือนท่านลุงจัวตงหลายน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“…ก็ประมาณนั้น ทว่าเป็นญาติห่าง ๆ มากกว่านั้น”

“อ่า…”

เมื่อพ่อลูกสนทนากันเสร็จ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหยูเวิ่นเทียนก็ได้เดินทางมาถึงห้องทรงพระอักษร

“เดินทางมาเหนื่อยเลยสินะ มา ๆ ๆ เชิญนั่งลงก่อนเถิด ! ”

หยูเวิ่นเทียนประคองสองมือคารวะ จากนั้นก็นั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน

“ฤดูร้อนเมื่อปีกลาย ท่านน้าหยูซูหรงได้เดินทางมาหาข้าที่เขตปกครองตนเองซีเซี่ยหนึ่งครา เรื่องนี้ข้ายังมิได้อธิบายให้เจ้าได้กระจ่าง เกรงว่าเจ้าอาจจะเข้าใจผิด”

หยูเวิ่นเทียนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังละเมียดละไมกับการชงชา

“ข้าคิดว่าเจ้าจะมิเข้าใจข้าผิด ทว่าข้าคิดผิดไป นางมาบอกกับข้าว่าอยากจะฉวยโอกาสตอนที่จักรวรรดิโมริยะล่มสลาย…สร้างประเทศขึ้นมาอีกครา นางบอกว่าอำนาจของประเทศเท่านั้นคือความหวังเดียวที่จะต่อกรกับเจ้าได้”

“แน่นอนว่าข้ามิได้รับปากนาง เพราะข้าคิดว่าต้าเซี่ยในทุกวันนี้ก็ดีมากอยู่เเล้ว ดีมากกว่าสมัยราชวงศ์หยูเป็นไหน ๆ ชีวิตข้าก็มีความสุขดี ข้ามีลูกสาวที่น่ารักเชื่อฟัง ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับภรรยาก็ยังเหมือนเดิม”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ข้ามิได้เข้าใจอันใดผิดหรอก ทว่ากลับกัน การที่ข้าปล่อยให้เจ้าอยู่ที่เขตปกครองตนเองซีเซี่ยต่างหากเล่า ถึงจะทำให้ผู้อื่นคิดว่าข้าเข้าใจเจ้าผิด”

“แม้เจ้าจะกุมกองทัพทหารบกไว้ในมือสองกองทัพ ทว่าถ้าเอ่ยกันตามจริงแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะจงรักภักดีต่อข้ามากกว่าด้วยซ้ำ”

“การที่คูฉานจะรวมจักรวรรดิโมริยะขึ้นมาใหม่มิได้สลักสำคัญอันใดต่อข้า ถ้าหากเขารวมเอกราชได้จริง ๆ ข้าก็อยากจะไปเจอเขาสักครา สองประเทศอาจจะสานสัมพันธไมตรีทางการทูตกันได้ หรืออาจจะสถาปนาการค้าระหว่างกันได้ นี่มิใช่เรื่องมิดีอันใดสำหรับต้าเซี่ย”

“ทว่าเรื่องมันมิดีตรงที่มีหยูซูหรงเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยนี่แหละ”

“ข้ามิรู้ว่าที่นางไปหาเจ้า เป็นเจตนาของนางหรือไม่ ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อจะบอกว่าเจ้าควรย้ายมาอยู่ฉางอัน เจ้าถึงจะมีความสุข ขืนเจ้ายังอาศัยอยู่ในซีเซี่ยต่อไป…อีกมินานหายนะย่อมบังเกิด ! ”

“หยูซูหรงนางร้ายลึกยิ่งนัก นางเริ่มคิดวางแผนตั้งแต่ที่ราชวงศ์เพิ่งสิ้นอำนาจ เดิมทีข้าก็มิอยากเข้าไปแยแสนางหรอก ทว่านางได้ทำเรื่องที่มิสมควรเป็นอย่างยิ่ง…นางได้แย่งคนของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ไป นางทำสิ่งที่มิถูกมิควร ! ”

“ดังนั้น…หยูซูหรงจะต้องตาย ทว่าคูฉานจะมิเป็นอันใด และข้าจะให้การสนับสนุนคูฉานด้วยอีกแรง”

หยูเวิ่นเทียนเพิ่งได้รู้วีรกรรมของหยูซูหรงตอนนี้นี่เอง ท่านน้าผู้นี้…มิใช่ว่านางมิรู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของฟู่เสี่ยวกวนสักหน่อย เห็นทีนางคงต้องตกตายอย่างมิมีหลุมศพในต่างบ้านต่างเมืองเสียแล้วสิ

ถ้าหากหยูซูหรงรวมเอกราชได้สำเร็จ แล้วถ้าหากนางยกทัพทหารโมริยะเข้ามา ตนในฐานะแม่ทัพใหญ่ของต้าเซี่ยจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ได้เยี่ยงไร ?

ดังนั้นการที่ฝ่าบาทรับสั่งให้ตนมาในครานี้ มิใช่ว่าพระองค์ทรงเข้าใจผิดแต่อย่างใด แต่เพื่อเป็นการป้องกันหายนะต่างหาก

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”

“จะเกรงใจเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? อีกประเดี๋ยวไปดื่มสุรากับจักรพรรดินีด้วยกันเถิด เวิ่นหวินมิได้พบเจ้านานหลายปีแล้ว นางคงคิดถึงเจ้ามากเลยทีเดียว ! ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด