นายน้อยเจ้าสำราญ 1289 เย็นวาบยามวสันตฤดู
ตอนที่ 1289 เย็นวาบยามวสันตฤดู
รัชสมัยต้าเซี่ยที่ห้า เดือนสอง วันที่สอง วันมังกรชูหัว ฉางอันมีฝนตกพรำ ๆ อากาศเย็นเล็กน้อย
เฉินไป๋ชิวเสนาบดีกรมราชทัณฑ์กำลังโดยสารรถม้าท่ามกลางสายฝนโปรยปราย คิ้วของเขาขมวดแน่น สองมือจับชายเสื้อเอาไว้แน่น
แต่ก่อนเขารับตำแหน่งเป็นเสนาบดีประจำราชวงศ์เหลียว เมื่อต้าเซี่ยสยบราชวงศ์เหลียวและผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของต้าเซี่ยเเล้วนั้น เขาจึงเข้ามารับตำแหน่งเป็นลูกน้องของหนิงหยู่ชุนจ่งตูคนแรกของหยวนเป่ยเต้า
หนิงหยู่ชุนทราบถึงความสามารถของเขาดี เลยแนะนำเขาให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนผู้ดำรงตำแหน่งปฐมจักรพรรดิในขณะนั้น และด้วยเหตุนี้ฟู่เสี่ยวกวนจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นเสนาบดีประจำกรมราชทัณฑ์ของต้าเซี่ยเมื่อสามปีก่อน
แม้จะเปลี่ยนบทบาทแต่เขาก็มิได้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนผิดหวังเลยแม้แต่น้อย เขาได้อ่านประมวลกฎหมายทั้งหมดของต้าเซี่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง
เขารู้ดีว่าในฐานะขุนนางตำแหน่งสูงสุดของกรมราชทัณฑ์ เขาควรจะยึดกฎหมายเป็นหลักและปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม
แท้ที่จริงเขาปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาโดยตลอด ทั้งยังได้รับความสนใจจากฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย
ทว่า…คนที่คอยสนับสนุนตนอยู่เบื้องหลังได้สละราชบัลลังก์ไปเสียแล้ว !
บัดนี้เขากลายเป็นจักรพรรดิพระเจ้าหลวงของต้าเซี่ย ทั้งยังออกเดินทางไปยังมหาสมุทรแสนไกล !
วันนี้ฝ่าบาททรงเรียกเขาเข้าไปที่ห้องทรงพระอักษรด้วยเรื่องที่เขามิคาดคิด พระองค์ทรงมีรับสั่งว่าให้ปล่อยตัวท่าป๋าฉางฮวนออกมา !
ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้มิถูกต้องตามหลักกฎหมาย เขาจึงมิได้ตอบรับตั้งแต่ทีแรก
สีพระพักตร์ของฝ่าบาทดูมิโปรดปรานเท่าใดนัก เกรงว่าพระองค์คงจะถูกผู้อื่นชักนำเสียแล้ว
“เฮ้อ…” เฉินไป๋ชิวถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งครา จากนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยกับคนขับรถม้าว่า “ไปเรือนของเสนาบดีเยี่ยน”
……
……
บัดนี้จวนของเยี่ยนซีเหวินมีความคึกคักเป็นพิเศษ
ทว่ามิใช่เพราะกำลังฉลองงานรื่นเริง เพียงแต่ฉินโม่เหวิน หนิงหยู่ชุนและหนานกงอี้หยู่มาร่วมโต๊ะประชุมกันในหัวข้อการส่งกองทัพทหารช่างไปยังเขตเยวี่ยซานซึ่งยังคงถกเถียงกันมิแล้วเสร็จ
“เรื่องนี้ล่าช้าไปแล้วสิ พวกเราต้องมีข้อสรุปให้แน่ชัดภายในวันพรุ่งนี้ เช่นนี้…”
เยี่ยนซีเหวินหันไปมองฉินโม่เหวิน “เรื่องนี้ให้สำนักเสนาบดีเป็นผู้นำในวันพรุ่งนี้ จากนั้นข้าจะนำหนังสือจากสำนักเสนาบดีทูลถวายแด่ฝ่าบาท เมื่อฝ่าบาททรงเห็นชอบแล้วถึงจะส่งไปให้คณะรัฐมนตรีหารือเป็นลำดับถัดไป”
“ท่านหนานกงอยู่ตรงนี้พอดี ไหว้วานท่านกำชับคณะรัฐมนตรีตรวจสอบให้เร็วสักหน่อย ยิ่งพวกเราสร้างถนนเสร็จเร็วเท่าใด มันยิ่งสะดวกต่อการเดินทางของราษฎรเร็วขึ้นเท่านั้น”
หนานกงอี้หยู่พยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าเคยหารือกับจัวอี้สิงมาก่อน คณะรัฐมนตรีจะหารือและพยายามอนุมัติทุกเรื่องให้เร็วที่สุด ทว่าการประเมินงบประมาณจากทางกรมคลังนั้นจำต้องทำให้ละเอียดสักหน่อย”
“ได้ ! พรุ่งนี้ข้าจะให้หยุนซีเหยียนช่วยตรวจสอบการประเมินงบประมาณอีกครา”
เรื่องนี้ก็เป็นอันได้ข้อสรุปตามนี้ เยี่ยนซีเหวินรินชาให้แขกทุกคน หนานกงอี้หยู่ลูบเครายาวแล้วโพล่งเอ่ยออกมาว่า “พวกเจ้าเคยไปดูการก่อสร้างตำหนักบนภูเขาฉางหลิงหรือไม่ ? ”
เยี่ยนซีเหวินส่ายศีรษะพร้อมยิ้มแหย ๆ “ให้ฝ่าบาททำไปเถิด พระองค์มิได้ใช้เงินในคลังของประเทศสักหน่อย ว่าแต่ท่านจัวอี้สิงมิได้โน้มน้าวให้พระองค์เลิกทำการนี้หรอกหรือ ? ”
“สองวันก่อนข้าได้เดินทางไปดูมาแล้ว”
“อ่า… ? เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“บัดนี้เพิ่งจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ทว่าทางกรมโยธาธิการได้เกณฑ์แรงงานมามากถึงหนึ่งแสนคน ลือกันว่างบประมาณจะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ประเมินไว้มิน้อย เพราะนอกจากตำหนักแล้วยังต้องก่อสร้างค่ายทหารขึ้นมาอีก ซึ่งจะสร้างบริเวณที่เคยเป็นป่ากระบี่มาก่อน”
“เมื่อวานนี้ข้าไปเยือนจวนหลี่จินโต้วมา เขาเล่าว่าฝ่าบาททรงเพิ่มงบประมาณอีกห้าสิบล้านตำลึง พระองค์มีพระประสงค์ที่จะก่อสร้างทับพื้นที่ของป่ากระบี่เดิมทั้งหมด”
หนานกงอี้หยู่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงินในท้องพระคลังส่วนพระองค์มีทั้งหมดกี่ตำลึง ? ”
แต่ก่อนพระสนมหลานทรงดูแลท้องพระคลังส่วนพระองค์ด้วยตนเอง เมื่อต่งซูหลานติดตามฟู่เสี่ยวกวนออกไปจากต้าเซี่ย เงินในท้องพระคลังส่วนพระองค์จึงตกอยู่ในความดูแลของหลี่จินโต้ว
ดังนั้นท้องพระคลังส่วนพระองค์มีเงินกี่ตำลึงกันแน่ เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่มิอาจทราบได้ พวกเยี่ยนซีเหวินเองก็มิรู้เช่นกัน เพราะกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) มีขนาดใหญ่มหึมา และยังมีผลประกอบการดีเยี่ยมอีกด้วย
แน่นอนว่าพวกเขามิรู้ว่าเงินในท้องพระคลังส่วนพระองค์ถูกฟู่เสี่ยวกวนขนย้ายไปยังธนาคารซื่อทงที่เมืองอาเรียเป็นส่วนมาก เขาเหลือทิ้งไว้ที่ต้าเซี่ยเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเหลือเงินไว้ให้อู๋เทียนซื่อหนึ่งร้อยสามสิบล้านตำลึงเท่านั้น !
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเงินจำนวนนี้มากพอที่จะให้อู๋เทียนซื่อประทานรางวัลชิ้นงามให้แก่ขุนนางในราชสำนัก เขาคิดว่าอู๋เทียนซื่อคงมิใช้เงินอันใดมากมาย เพราะเยี่ยงไรเสียพระราชวังเมืองฉางอันก็เพิ่งสร้างเสร็จได้มินาน
แต่มิคาดคิดเลยว่าอู๋เทียนซื่อจะนำเงินไปสร้างตำหนักส่วนพระองค์ !
เงินที่เป็นผลกำไรของกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ส่วนหนึ่งจะเก็บไว้ให้อู๋เทียนซื่อ อีกเก้าส่วนที่เหลือจะถูกย้ายไปยังธนาคารซื่อทงแห่งเมืองอาเรีย จากรูปแบบทวีปอิงเทียนที่ฟู่เสี่ยวกวนออกแบบ พบว่าต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล
เขาย่อมมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคลังหลวงของต้าเซี่ย นอกจากภูเขาทองคำที่ชายอ้วนได้ขนย้ายออกมาจากวัดฟูจื่อในตอนนั้นแล้ว รายได้ส่วนที่เหลือของฟู่เสี่ยวกวนล้วนมาจากกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน)
จากกำไรของกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) แม้จะเป็นแค่หนึ่งในสิบส่วน ทว่ามันก็มีมูลค่ามากถึงยี่สิบล้านตำลึง ดังนั้นท้องพระคลังส่วนพระองค์จะมิมีทางขาดแคลนเงินทองอย่างแน่นอน !
หนิงอยู่ชุนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เงินในท้องพระคลังส่วนพระองค์มีมากเพียงใดกันแน่ ? ”
“มีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสามสิบล้านตำลึง ! ”
เงินจำนวนนี้มิได้แปลกอันใด ทว่าฉินโม่เหวินกลับขมวดคิ้วเป็นปม “ชักมิชอบมาพากลแล้วสิ ! การประเมินงบประมาณในการก่อสร้างตำหนักคราแรกก็ปาเข้าไปหนึ่งร้อยล้านตำลึงแล้วมิใช่หรือ ? จากนั้นก็เพิ่มเข้าไปอีกห้าสิบล้านตำลึง…รวมแล้วมากกว่าเงินที่มีอยู่ในท้องพระคลังส่วนพระองค์”
“ก็ใช่น่ะสิ ! เรื่องนี้มิชอบมาพากลอย่างแท้จริง แม้แต่หลี่จินโต้วเองก็มิรู้ว่าฝ่าบาททรงนำเงินห้าสิบล้านตำลึงนั้นมาจากที่ใด เพราะพระองค์มิได้รับสั่งให้เขาจัดการเงินที่เหลืออีกยี่สิบล้านตำลึง” หนานกงอี้หยู่ตอบพลางอมยิ้มเล็กน้อย
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกคลางแคลงใจ พวกเยี่ยนซีเหวินต่างก็หันมามองหน้ากันไปมา พร้อมกับครุ่นคิดในใจว่า…หรือฟู่เสี่ยวกวนจะนำเงินอีกส่วนหนึ่งมอบให้อู๋เทียนซื่อเป็นการส่วนตัวกัน ?
และในตอนนั้นเอง ยามเฝ้าหน้าประตูก็ได้นำเฉินไป๋ชิวเสนาบดีกรมราชทัณฑ์เข้ามา
เมื่อเฉินไป๋ชิวเห็นเสนาบดีทั้งสามฝ่ายและรัฐมนตรีอีกหนึ่งคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่นี่ เขาจึงรู้สึกมิสะดวกใจเท่าใดนักที่จะสนทนากับเสนาบดีเยี่ยน !
เยี่ยนซีเหวินก็รู้สึกตกใจมิน้อย เพราะตั้งแต่ที่เฉินไป๋ชุนเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมราชทัณฑ์มาสามปี นี่เป็นคราแรกที่เขามาเยือนถึงจวนของตน และดูเหมือนว่าต้องการจะเอ่ยอันใดบางอย่างแต่ก็มิสนิทใจที่จะเอ่ยออกมา
“เสนาบดีเฉิน นั่งลงก่อนเถิด ! ”
“ขอบพระคุณท่านเสนาบดีเยี่ยน ! ”
เฉินไป๋ชิวนั่งลง ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียดายที่ตนหุนหันพลันแล่นจนเกินไป แม้จะมีสาเหตุที่มาเยือนครานี้ ทว่าเมื่อมาถึงกลับเอ่ยอันใดมิออก
เยี่ยนซีเหวินอมยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “คิดว่าเสนาบดีเฉินคงมีเรื่องสำคัญสินะ ที่นี่ล้วนแต่เป็นคนกันเองทั้งสิ้น มีอันใดก็จงเอ่ยออกมาตรง ๆ เถิด ! ”
“เอ่อ…” เฉินไป๋ชิวประคองมือขึ้นทำความเคารพ บัดนี้เขานั่งอยู่ข้างกายเยี่ยนซีเหวิน เขามีท่าทีอึกอักลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะมิรู้ว่าควรจะเอ่ยออกมาดีหรือไม่
“วันนี้ฝ่าบาททรงเรียกข้าเข้าไปพบ”
“มีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ให้ปล่อยตัวท่าป๋าฉางฮวนบุตรชายของท่าป๋าวั่งขอรับ ! ”
ทุกคนในวงสนทนาต่างผงะ เฉินไป๋ชิวจึงเอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาททรงกล่าวว่า…เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด และท่าป๋าฉางฮวนก็ได้รับโทษในคุกมาสองปีแล้ว บิดาของเขาเป็นถึงจ่งตูของเขตปกครองตนเองซีเซี่ย พวกเรากักขังบุตรชายของจ่งตูผู้สูงศักดิ์นานเกินไปเเล้ว”
เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยถามต่อว่า “เจ้ารับปากแล้วหรือ ? ”
“ข้าน้อยมิกล้ารับปาก ! แต่ว่า… แต่ว่า… เฮ้อ… ! ”
เยี่ยนซีเหวินหันไปมองฉินโม่เหวินและคนอื่น ๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจยาวออกมา ในใจของเขาเหมือนจะคาดเดาอันใดที่มิชอบมาพากลได้บ้างแล้ว
อยู่ ๆ สายลมยามราตรีก็พัดผ่านเข้ามาทางประตู แม้ว่าบัดนี้จะเข้าสู่วสันตฤดูแล้ว ทว่าเยี่ยนซีเหวินกลับรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง
“วันพรุ่งพวกข้าจะไปที่ห้องทรงพระอักษรพอดี เรื่องนี้ข้าจะไปเจรจากับฝ่าบาทเอง”
“ข้าน้อยต้องขอขอบคุณท่านเสนาบดีเยี่ยนยิ่งนัก ! ”
Comments