นายน้อยเจ้าสำราญ 230 ค่ำคืนลมโชย ลอยดอกไม้โคมไฟ (3)

Now you are reading นายน้อยเจ้าสำราญ Chapter 230 ค่ำคืนลมโชย ลอยดอกไม้โคมไฟ (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 230 ค่ำคืนลมโชย ลอยดอกไม้โคมไฟ (3)

ที่วัดฟูจื่อนั้นเป็นเพียงซากปรักหักพัง

และท่ามกลางซากปรักหักพังนี้ ได้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อย และได้มีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ ที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยสุราและอาหารมากมาย

ด้านข้างมีเตาผิง 3 ตัว แต่มีคนนั่งเพียงแค่ 2 คน

พวกเขาคือองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชู

หยูเวิ่นชูจุดไฟไปยังตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะ เขารินสุราลงไปในภาชนะนั้นแล้วทำการอุ่นสุรา จากนั้นเอ่ยออกมาว่า “น่าเสียดายที่มิมีหิมะ”

“แต่มีดวงจันทร์”

“……ข้าว่าหิมะจักดีกว่า เหมือนตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในตรอกซานเยว่ เขาดื่มสุราท่ามกลางหิมะ คาดว่าคงจะรู้สึกดียิ่ง”

“น้องสี่ ในค่ำคืนนี้ประตูเมืองทั้งสี่ถูกปิดลง เจ้ากลับสบายอารมณ์ในที่เยี่ยงนี้ได้ ที่นี่ไม่เพียงแต่ห่างไกลผู้คน อีกทั้งลมยังแรง พี่เพียงอยากถามเจ้าว่า เจ้าต้องการให้เมืองหลวงวุ่นวายจริงงั้นหรือ?”

องค์ชายสี่เผยอยิ้ม ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงจนเป็นเส้นเดียวกัน เขารินสุราให้แก่องค์ชายใหญ่แล้วจึงตอบกลับไปว่า “เรื่องเช่นนี้ข้ามิได้เป็นคนทำ”

“นอกจากเจ้าแล้ว ข้านึกไม่ออกว่าจะมีผู้ใดอีก”

“เชิญ ๆ ๆ เราพี่น้องมิได้ร่วมดื่มกันเช่นนี้น่าจะ 6 ปีแล้วสินะ ในฐานะน้อง ข้าขอดื่มให้ท่านพี่!”

หยูเวิ่นเทียนยกแก้วสุราขึ้นชนไปยังแก้วของหยูเวิ่นชู ดื่มจนหมดจากนั้นเงยหน้ามองหยูเวิ่นชู

“ข้าคิดว่าท่านพี่เข้าใจอะไรข้าผิดเป็นแน่ แม้เราสองคนจะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ข้าก็มิต้องการให้เมืองหลวงวุ่นวายไปหรอก เนื่องจากยากที่จะจัดการให้สงบได้ อีกทั้ง เงินในคลังหลวงเองก็เหลือน้อยเต็มทน”

หยูเวิ่นเทียนขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ?”

“นอกจากฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ข้าคิดไม่ออกว่าจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้!”

หยูเวิ่นเทียนยิ่งขมวดคิ้วเข้ามาเสียจนแทบติดกัน “ฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ? เพราะเหตุอันใด?”

หยูเวิ่นชูหัวเราะออกมาเสียงดัง “ท่านพี่ ท่านคงไม่รู้จักฟู่เสี่ยวกวนมากพอ คนผู้นี้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามอำเภอใจ หาได้มีเหตุผลไม่? หากจะเอ่ยถึงเหตุผลนั่นคือ……”หยูเวิ่นชูเลิกคิ้วขึ้นแล้วรินสุรามาสองจอก “ข้าคิดว่าเขาต้องการทำให้เสด็จพ่อเห็น”

“เขามิกลัวงั้นหรือ?”

“จากที่ข้ารู้จักเขา ในสายตาของเขาไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด มิเช่นนั้นเหตุการณ์ฆ่าฟันที่ถนนสายยาวนั่นเขาจะกล้าทำหรือ? อีกทั้งดื่มสุราท่ามกลางหิมะและชื่นชมการฆาตกรรม เขาจะทำได้งั้นหรือ?”

หยูเวิ่นชูสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ข้าขอกล่าวกับท่านพี่ตามตรงว่า มีคนของข้าเสียชีวิต 1 คนบาดเจ็บสาหัส 20 คนที่ตรอกซานเยว่ ล้วนเป็นฝีมือของฟู่เสี่ยวกวน”

หยูเวิ่นเทียนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้ามิอยากให้เกิดพายุลูกใหญ่ที่เมืองหลวงนี้ เหตุใดเจ้าจึงต้องแอบโยกย้ายคนของทางการถึง 12 คน?”

หยูเวิ่นชูยิ้มออกมาทันใด “มองดูแล้วท่านพี่ก็มิได้นิ่งดูดายอย่างที่ผู้อื่นเห็น เชิญเถิด พวกเราพี่น้องมาร่วมดื่มต่อ แล้วข้าจะบอกว่าควรทำอย่างไร”

เมื่อดื่มเข้าไปสามจอก เขาเริ่มมึนเมาเล็กน้อย ผมของหยูเวิ่นชูพัดปลิวท่ามกลางลมแรง

“ข้าเพียงแค่ต้องการปิดปากพวกลูกน้องที่ถูกกักขังในคุกทั้งยี่สิบคนเท่านั้น”

หยูเวิ่นเทียนตกตะลึง “เจ้ามิกลัวว่าจะถูกจับได้งั้นหรือ?”

“ในค่ำคืนนี้ลมช่างแรงนัก เหมาะกับการฆ่าฟัน ดื่มสุราสังสรรค์หวนลำลึกถึงเรื่องเก่า จะไปคิดมากทำไมกัน? ท่านพี่ว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”

“เจ้ามันบ้าไปแล้ว!”

“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ข้าพบว่ามีใครบางคนช่างบ้าคลั่งกว่าข้ามากนัก”

“ฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ?”

หยูเวิ่นเทียนหัวเราะเหอะ ๆ แต่มิได้ตอบอันใดออกไป เขากล่าวต่อมาว่า “ท่านพี่ ทหารตะวันตกนั้นเกรงว่าจะเสียแรงเสียเวลาท่านเปล่า ๆ จะไปจริงหรือ?”

“นี่คือความปรารถนาของข้า เหตุใดข้าจะไม่ไปเล่า?”

หยูเวิ่นชูพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อืม ความปรารถนา!” จากนั้นลุกขึ้นยืน เขาย่างกรายออกไปบริเวณพื้นที่สะอาดจากนั้นเหยียบขยี้รูปสักการะบูชาที่ตกอยู่บนพื้น เงยหน้ามองดูดวงดาวแล้วก้มลงหยิบหินก้อนหนึ่งปาออกไปสุดแรง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตามองไปยังเมืองจินหลิงที่ยังคงสว่างไสวแล้วตะโกนว่า “ความปรารถนาบ้าบออะไรกัน!”

ตะโกนเสร็จก็หันหน้ามาจ้องไปที่หยูเวิ่นเทียน “มาเถิด ท่านพี่มาชมดอกไม้ไฟด้วยกัน ท่านคิดว่ามันงดงามเฉกเช่นที่เราเห็นด้วยตาหรือไม่?”

“นี่มันสมัยไหนแล้ว? ท่านเอ่ยกับข้าถึงความปรารถนา! ผู้คิดคดทรยศในวังหลวงมากมาย นางสนมนางกำนัลล้วนกระทำสิ่งชั่วร้าย เสด็จพ่อคิดว่าตนรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง คิดว่าตนจะจัดการได้ทุกเรื่องงั้นหรือ? ทุเรศ! น่ารังเกียจ! ขี้หมา! น่าสะอิดสะเอียนกว่าขี้หมาเสียอีก!”

“หยูเวิ่นชู!” องค์ชายใหญ่ลุกขึ้นยืนแล้วนำมือจับไปที่ดาบของตน

“ท่านพี่จะฆ่าข้างั้นหรือ? มาสิ!” หยูเวิ่นชูชี้มาทางหยูเวิ่นเทียน “ข้าขอถามท่านหน่อย รู้หรือไม่ว่าเสด็จแม่ของท่านสวรรคตด้วยเหตุใด? รู้หรือไม่ว่าไท่เหอเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปี บัดนี้แม้แต่หนูสักตัวยังมิกล้าย่างเข้ามาในคลังหลวงเนื่องจากแทบไม่มีของกิน! รู้หรือไม่ว่าบัดนี้ราชวงศ์หยูกำลังตกอยู่ในอันตราย? และท่านรู้หรือไม่ว่าหากข้ามิส่งคนไปเจรจากับแคว้นอี๋ อีกฝั่งคงทำสงครามไปนานแล้ว!”

“ความปรารถนาของท่าน……ดีนัก!” หยูเวิ่นชูเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มคล้ายกับเหนื่อยหอบ เขานั่งลงบนรูปปั้นรูปหนึ่ง

“เจ้าชักจะไปกันใหญ่แล้ว!” หยูเวิ่นเทียนเดินออกไปจากนั้นก้มมองหยูเวิ่นชู “การจากไปของเสด็จแม่ หมอหลวงได้ทำการตรวจสอบชัดเจนและบันทึกไว้ เจ้าเมาแล้วอย่าได้หาเรื่องพูดจาไร้สาระ!”

“ส่วนเรื่องคลังหลวงนั้น เนื่องจากหลายปีมานี้ราชวงศ์หยูมิได้ราบรื่นเท่าใดนัก นี่คือผลของธรรมชาติ หาได้เป็นเพราะเสด็จพ่อไม่! อีกอย่างข้าขอกล่าวกับเจ้าตรงนี้ว่า หากไม่มีพระสนมซั่งคอยสนับสนุนราชวงศ์หยู เกรงว่าราชวงศ์หยูคงจะสิ้นแล้ว แม้นางจะมิใช่เสด็จแม่แท้ ๆ ของข้า แต่ข้านั้นก็เคารพนับถือนางยิ่ง เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายนางเช่นนี้!”

หยูเวิ่นเทียนชี้หน้าหยูเวิ่นชู “ข้าเห็นแก่ที่เราเป็นพี่น้องกัน เจ้าจงจำไว้ว่าข้าจะทนเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น หากข้าได้ยินเจ้าเอ่ยวาจาสามหาวอีก ข้าคงมิอาจอดทนที่จะสั่งสอนเจ้าได้!”

“เจ้าไม่ได้มีสิทธิ์เป็นห่วงราชวงศ์แม้แต่น้อย เจ้าอย่าได้สร้างเรื่องเพิ่มเป็นพอ เท่านี้ก็ดียิ่งแล้ว!”

“เจ้า……เจียมตัวให้ดี!”

หยูเวิ่นเทียนหันหลังเดินจากหายไปท่ามกลางวัดฟูจื่อ

หยูเวิ่นชูเองก็มิได้หันหลังกลับไปมอง เขายังคงจ้องไปที่ด้านล่างภูเขาแล้วหัวเราะออกมา ใบหน้าอันหล่อเหลาเผยถึงความเจ้าเล่ห์ แต่ดวงตานั้นมีน้ำตาคลอเบ้า

“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าคงใกล้ตายแล้วสินะ!”

เขาพึมพำออกมา คำพูดของเขาล่องลอยไปกับสายลม

……

……

ณ พระตำหนักฉือกงแห่งวังหลวง

นางสนมมากมายนำหน้าด้วยพระสนมซั่ง บัดนี้คุกเข่าอยู่เต็มพระตำหนัก

ภายในจุดธูปหอมไว้ แต่มิได้เปิดหน้าต่าง อีกทั้งเตาผิงสี่ทิศ ทำให้ภายในพระตำหนักฉือกงอบอ้าว

ม่านก็มิได้ถูกเปิดออก หมอหลวงที่เข้าไปให้การรักษาถูกขับออกมายืนรออยู่ที่ด้านหน้าประตู

ขันทีชราคนหนึ่งเปิดม่านออกแล้วเดินตรงมาทางนางสนมทั้งหลาย เขาคุกเข่าลงข้าง ๆ พระสนมซั่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันเบาว่า “ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้พระสนมซั่งเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

พระสนมซั่งลุกขึ้นจากนั้นเดินตามขันทีชราผู้นั้นเข้าไป

องค์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีหยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ปลายเตียง

พระสนมซั่งตกตะลึงเล็กน้อย นางเดินด้วยความระมัดระวังมายังหัวเตียงแล้วเอ่ยถามว่า “ไทเฮาทรงรู้สึกดีขึ้นหรือยังเพคะ?”

บัดนี้ไทเฮาได้ลืมตาขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง นางไออยู่สองสามครั้งจากนั้นเอ่ยว่า “มาเถิด มานั่งที่นี่”

องค์ฮ่องเต้ทรงหลบทางให้นางนั่งแทนที่ตน พระสนมซั่งนั่งลงแล้วยื่นมือไปจับมืออันไร้เรี่ยวแรงนั่น

“ไทเฮาเพคะ มีเรื่องอันใดรอให้หายจากอาการประชวรก่อนค่อยรับสั่งก็ได้เพคะ รอให้อุ่นขึ้นกว่านี้อีกหน่อย หม่อมฉันจะพาพระองค์เสด็จไปพักผ่อนที่เรือนหนานซานนะเพคะ ที่นั่นมีต้นท้อที่ไทเฮาทรงปลูกด้วยพระหัตถ์ คาดว่าคงจะออกผลแล้ว หม่อมฉันจะไปเชิญแม่นางซูซูจากสำนักเต๋ามา ได้ยินว่านางมีฝีมือบรรเลงพิณอันยอดเยี่ยม สามารถเรียกบรรดาฝูงนกได้ คงจะเป็นภาพที่งดงามยิ่งนะเพคะ”

ดวงตาของไทเฮากะพริบอยู่สองสามที คล้ายกับกำลังหวนนึกถึงเรือนหนานซานอยู่

เมื่อครั้นนางยังสาว ได้เดินทางไปพร้อมฮ่องเต้องค์ก่อนและปลูกต้นท้อไว้มากมาย จากนั้นมาทุกปีในเดือนที่สาม ที่แห่งนั้นก็ครึกครื้นยิ่ง

ดอกไม้สีชมพูอ่อนอันงามตา ดึงดูดผีเสื้อและนกน้อย พวกมันเต้นรำท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิอย่างงดงาม

แต่ทว่า ฤดูใบไม้ผลินี้คงมาไม่ถึงเสียแล้ว

นางพยายามฝืนยิ้มออกมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าเกร็งตึง แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจยิ้มได้

“ฟู่เสี่ยวกวน เขาดีนัก จากนี้ไป……เจ้าจงดูแลช่วยเหลือเขาให้ดี”

“เพคะ!” พระสนมซั่งพยักหน้า

“ของขวัญที่ข้าได้รับในงานวันนั้น มีเพียงของขวัญจากฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่ทำให้ข้าประทับใจ”

“เรื่องราวแห่งวังหลังนี้มิอาจขาดผู้นำได้ เมื่อข้าจากไป เจ้าจงรับตำแหน่งฮองเฮานี้แล้วดูแลจัดการต่อ ช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท”

“เวิ่นหวิน เด็กคนนี้มีแววตาดี…… ย่าเองก็อยากจะเห็นงานแต่งงานของหลานกับฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง……แต่ย่าคงรอไม่ไหวแล้ว”

“ไม่เพคะ! เสด็จย่าจะต้องได้เห็นแน่ ข้ามิยอมให้เสด็จย่าจากไป!” หยูเวิ่นหวินร้องไห้ออกมาเสียงดัง นางสนมที่อยู่ด้านนอกได้ยินเข้าก็สีหน้าซีด

“เด็กน้อยเอ๋ย……ย่าอายุเจ็ดสิบแล้ว มีชีวิตอยู่มามากพอแล้ว สมควรไปรับใช้เสด็จปู่ของเจ้าต่อแล้ว……เรือนหนานซานนั้น……ย่า……มอบให้พวกเจ้า……”

เสียงของไทเฮาเริ่มขาด ๆ หาย ๆ และเบาลงเรื่อย ๆ นางยื่นมืออันสั่นเทาออกไป หยูเวิ่นหวินรีบเอื้อมมือไปจับ “ประคอง……ข้าหน่อย”

พระสนมซั่งและหยูเวิ่นหวินช่วยกันประคองไทเฮาลุกขึ้น

“เปลี่ยนชุดให้ข้า……ชุดนั้น……ปักลายดอกท้อ……สีแดง”

“เสด็จย่าเพคะ ท่านจะ……”

“ข้าอยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย ที่นี่อึดอัดเกินไป วันนี้มิใช่เทศกาลโคมไฟหรือ? อ้อ……หลานถิงจี๋……ฟู่เสี่ยวกวน……เขาแต่งกวียอดเยี่ยมอันใดออกมากัน?”

องค์ฮ่องเต้เอ่ยบางคำกับขันทีชรา จากนั้นขันทีจึงรีบวิ่งออกไปทางประตู

“เสด็จแม่โปรดรอสักครู่ ลูกได้ให้คนไปนำกวีบทนั้นของฟู่เสี่ยวกวนมาจากหลานถิงจี๋แล้ว”

“อืม……ข้าจะรอ แน่……”

เยี่ยนเป่ยซีที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกพระตำหนักฉือกงรู้สึกใจหาย เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วฝ่าบาทยังมิทรงออกมา พระสนมที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าก็มิได้มีท่าทีเคลื่อนไหว แม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่ออกมาเช่นกัน

เกิดเรื่องใหญ่แน่!

เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเล เขาเดินออกไปจากพระตำหนักฉือกงแล้วตรงไปยังหอการเมือง

ไทเฮาทรงสวมชุดสีแดงสด มีพระสนมซั่งและหยูเวิ่นหวินประคองนางไว้

“ลุกขึ้นเถิด”

ไทเฮาทรงเห็นพระสนมมากมายนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตู

“ด้านนอกมีลมหนาวเย็นนักเพคะ”

“มิเป็นไร ไปหอชีเฟิ่ง”

หอชีเฟิ่งมีห้าชั้น ณ ชั้นบนสุด ไทเฮาทรงให้หยูเวิ่นหวินเปิดหน้าต่างออก

ลมหนาวโบกโชยพัดผมขาวปลิว นางเพ่งมองไปด้านนอก อืม เมืองจินหลิง ดอกไม้ต้นไม้มากมาย ช่างงดงามเพียงนี้

นางยิ้มออกมาในที่สุด “เวิ่นหวิน……ด้านนอกเรือนหนานซาน……มีนาผืนหนึ่ง……ย่าเป็นคนทำขึ้นมาเอง……จงให้ฟู่เสี่ยวกวน……นำเมล็ดข้าวนั้น……ไปเพาะปลูกให้เต็ม……ย่า……อยากเห็นยิ่งว่าผืนนาหนึ่งหมู่ที่ให้ผลผลิตห้าหกร้อยชั่งนั้น……เป็นอย่างไร……”

เสียงฆ้องดังขึ้น ใจของเยี่ยนเป่ยซีสั่นไหว พู่กันของเขาชะงักลงจนน้ำหมึกหยดหนึ่งหยดลงสู่กระดาษ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด