นายน้อยเจ้าสำราญ 25 ค่ำคืนที่ซ่างหลินโจว

Now you are reading นายน้อยเจ้าสำราญ Chapter 25 ค่ำคืนที่ซ่างหลินโจว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่  25 ค่ำคืนที่ซ่างหลินโจว ซ่างหลินโจวอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำออกไปร้อยเมตร ในยามนี้ได้มีเรือสำเภาเทียบฝั่งอยู่หลายลำ บนเกาะแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงสวนเจียงหนาน ศาลาพักผ่อน ศาลาทางเดิน ล้อมรอบไปด้วยภูเขาจำลอง และมีสะพานข้ามแม่น้ำทุกหนแห่ง เรียบง่าย หรูหรา และวิจิตรงดงามยิ่งนัก ไฟบนเกาะได้สว่างขึ้นแล้ว มองไปรอบ ๆ ทั่วสารทิศจากหอชมดาวตรงใจกลางที่สูงที่สุด ราวกับมีดวงดาวฝังอยู่ ณ ที่นี้จริง ๆ ณ บนชั้นห้าของหอชมดาว เสียนชินอ๋องหยูอันฝูกำลังดื่มน้ำชาและพูดคุยกับอาจารย์ฉิน อาจารย์หลี่ และยังมีอาจารย์เถียนอีกด้วย นี่คือที่ที่สูงที่สุดของหอชมดาว พื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้หลายพันคน กลับมีเพียงคนอยู่ไม่กี่คน ซึ่งทำให้ดูรกร้างไปเล็กน้อย แต่เสียนชินอ๋องกลับกล่าวว่า เรื่องครื้นเครงนั้นปล่อยให้พวกผู้เยาว์ ถ้าหากพวกเราไปเข้าร่วม พวกเขาคงยับยั้งชั่งใจ หากมีบทกวีดี ๆ พวกเขาจะประพันธ์มันขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ อาจารย์ฉินและพวกเขาทั้งสามคนหาได้ใส่ใจไม่ และจมดิ่งไปกับความสงบ แต่ที่ชั้นสี่ของหอชมดาวในยามนี้ กลับครึกครื้นเป็นอย่างมาก หยูหงอี้ซื่อจื่อในฐานะหนึ่งในเจ้าภาพงานซ่างหลินโจว ก็กำลังต้อนรับแขกเหรื่อ หยูหงอี้และหยูเวิ่นหวินนั้นนั่งอยู่ด้านบน เบื้องล่างมีโต๊ะอีกหลายร้อยตัว แต่พื้นที่ตรงกลางนั้นกลับเป็นเวทีเต้นรำขนาดใหญ่ ชั่วยามนี้จานชามบนโต๊ะได้ถูกนำออกไป มีเป็นผัก ผลไม้ และเครื่องดื่มขึ้นมาแทนที่ ทุกคนต่างนั่งรวมกันสามถึงห้าคนต่อหนึ่งกลุ่ม ดื่มชาและพูดคุย สนุกสนานกันถึงที่สุด และมีคนอีกมากมายที่มองออกไป ณ ที่ห่างไกล แต่ในศีรษะนั้นกลับกำลังครุ่นคิดถึงบทกวีที่ยังไม่เข้ารูปเข้าร่างนัก และปัจจัยหลักของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ก็คือ งานชุมนุมกวีซ่างหลิน หากครั้งนี้ประพันธ์บทกวีออกมาได้ดีก็จะยิ่งมีชื่อเสียง หากสามารถเข้าพระเนตรเสียนชินอ๋องได้ มิแน่ว่าอาจจะได้รับรางวัลอีกมากมายก็เป็นได้ หยูเวิ่นหวินมองไปทางหยูหงอี้ ใบหน้าของหยูหงอี้มีเพียงรอยยิ้มขมขื่น “ข้าได้ส่งเทียบเชิญไปให้บิดาของเขา บิดาเขาย่อมส่งมันให้กับเขาเป็นแน่” “หากมิได้ให้เล่า?” “เป็นไปมิได้ เจ้าอาจไม่รู้ว่าความปรารถนาสูงสุดทั้งชีวิตของฟู่ต้ากวนคือสิ่งใด เขาปรารถนาให้บุตรชายของตน มีชื่อเสียงทางด้านวรรณกรรมบ้าง ในวันนี้บุตรชายของเขาเริ่มเผยแววทางด้านวรรณกรรมแล้ว เขาย่อมปรารถนาให้บุตรชายของเขามีชื่อเสียงเป็นแน่ ที่นี่คือสถานที่ที่มีชื่อเสียง ฟู่ต้ากวนจะพลาดโอกาสเยี่ยงนี้ไปได้หรือ?” หยูเวิ่นหวินคิ้วขมวด “หากพูดเยี่ยงนั้น… หรือว่าคนผู้นั้นไม่เต็มใจที่จะมา ? ” “บางทีข่าวลือนั่นอาจจะเป็นจริงก็ได้ ฟู่เสี่ยวกวน… อาจจะดีแต่เปลือก บทกวีเหล่านั้นเป็นผู้อื่นที่ประพันธ์ขึ้น เขาเลยไม่กล้ามาเข้าร่วม” คิ้วของหยูเวิ่นหวินขมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ “ชูหลานมิมีทางหลอกข้า ชูหลานเป็นคนที่ฉลาดถึงเพียงนั้น มิมีทางถูกเจ้าเด็กนั่นหลอกได้เสียหรอก”  “แต่ไม่ว่าเยี่ยงไร เขาก็มิมา เยี่ยงนั้นงานชุมนุมบทกวีนี้ยังจะดำเนินต่อไปหรือไม่?” หยูเวิ่นหวินขบกรามแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และสะบัดแขนเสื้อ “ดำเนินต่อไป!” หยูหงอี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ เดินไปยังเวทีที่อยู่ใจกลางห้องโถง และยืดอกอย่างภาคภูมิ “ทุกท่าน ข้าขอประกาศ ณ ยามนี้ งานกวีซ่างหลิน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!” เสียงปรบมือดังกึกก้อง เต็มไปด้วยบรรยากาศของความตื่นเต้น หยูหงอี้เดินไปทางหยูเวิ่นหวินด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อย ๆ หลังจากนั้นพิธีกรก็ขึ้นไปยังบนเวที “มีสุราและผลไม้อยู่ที่โต๊ะ ทุกท่านสามารถนำไปรับประทานได้ วันนี้พวกข้ายังได้เชิญแม่นางฝานตั่วเอ๋อร์จากหออี้หง และแม่นางไป๋ชิวจากหอฉวินฟางมามอบความสำราญให้แก่ทุกท่าน ถัดจากนี้ขอเชิญแม่นางฝานตั่วเอ๋อร์บรรเลงดนตรีที่กำลังโด่งดังที่หลินเจียงในช่วงนี้ มองเจียงหนาน!” ฝานตั่วเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นในชุดเต็มยศ มือหยกลูบไล้ฉิน เสียงโหมโรงดังขึ้น ทันใดนั้นทั้งงานก็เงียบเสียงลง ยามที่นางเริ่มเอื้อนเอ่ย ประหนึ่งเสียงของธรรมชาติ บทเพลงนี้ทุกคนต่างได้ยินกันจนคุ้นหู จึงได้นำมาร้องอีกครา มีท่านหนึ่งได้ฟังกวีบทนี้จนมัวเมา ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ และปรี่ไปยังโต๊ะหนังสือทันที เขาตวัดปลายพู่กัน และเกิดเป็นกวีหนึ่งบท เมื่อตั้งใจอ่านอย่างถี่ถ้วนอีกครา เหมือนว่าจะมิได้ด้อยไปกว่ามองเจียงหนานบทนั้น เพราะที่เขาเขียนนั้นก็คือมองเจียงหนานเช่นกัน มีชื่อเต็มว่า มองเจียงหนาน บันทึกที่ซ่างหลิน ผู้ประพันธ์หลี่ชุ่นเฟิง มีสาวใช้รับกระดาษมา และส่งไปยังเบื้องหน้าของหยูเวิ่นหวิน หยูเวิ่นหวินเมียงมอง แต่ไม่ได้พูดอันใด หลังจากนั้นอีกหลายท่านก็เริ่มขยับเคลื่อนย้าย พวกเขาต่างทยอยกันไปที่โต๊ะหนังสือเพื่อลงพู่กัน ฝากผลงานของตนเองที่คิดว่าน่าพึงพอใจเหล่านั้นไปกับสาวใช้ เพื่อส่งให้ถึงหยูเวิ่นหวิน ผู้มีพรสวรรค์ทั้งสามแห่งหลินเจียงในยามนี้ก็ได้ยืนพิงอาคารและเฝ้ามองมา ทันใดนั้นหลิวจิ่งหางก็หัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “ในยามนี้ข้าชื่นชมเขายิ่งนัก ไม่ไว้หน้าแม้แต่จวนชินอ๋อง… คราแรกที่ข้าได้ไปเชิญชวนเขาถึงจวนฟู่ เพียงแต่เขาปฏิเสธ ข้ายังเดือดดาลไปถึง 2 วัน” “เยี่ยงนี้นอกจากเทศกาลไหว้พระจันทร์เดือนแปดที่หนึ่งปีจะมีเพียง 2 ครั้ง แต่เขากลับไม่มา นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ฟู่เสี่ยวกวนไม่กล้ามาอย่างแท้จริง” ถังซูยวี่รู้สึกว่าตัวเองมองคนผู้นั้นออกแล้ว จึงไม่อยากจะเอ่ยถึงอีก และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “จิ่งหาง เจ้ามีผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้วหรือยัง?” “ข้ายังต้องเตรียมการอีกเสียหน่อย” “พี่หยุ๋นชิงล่ะ?” หยูหยุ๋นชิงมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารา แล้วครุ่นคิด “ยังไม่สมบูรณ์นัก” “เจ้าทั้งสองจะถ่อมตนกันไปแล้ว เยี่ยงนั้นข้าจะมิเกรงใจแล้ว” “เชิญพี่ถัง” ถังซูยวี่เดินไปทางโต๊ะหนังสือ สงบนิ่งไปหลายอึดใจ ก่อนจะยกพู่กันและจรดลง “ความสุขที่เงียบสงบ ค่ำคืน ณ ซ่างหลิน” “สายลมแผ่วไม่ยอมหยุด กลับแยกต้นไม้กลางบุปผา หลงในเงาสีเงินที่ตื้นเขิน สะพานนางแอ่นจันทร์แรมทางดารา เรือประมงแล่นในแม่น้ำอย่างเชื่องช้า วังหลวงชั้นเซียนเลือนลับตา แตกสลายร่วงกราวเสียงแผ่วเบา แต่ฟ้าโปร่งและเมฆจืดจางไป” ถังซูยวี่ เขายื่นกวีบทนั้นให้แก่สาวรับใช้ แล้วจึงกลับมายังระเบียง หลิวจิ่งหางเอ่ยถาม “เสร็จแล้วรึ ? ” ถังซูยวี่เพียงยิ้ม แล้วพยักหน้า “เยี่ยงนั้นข้าก็จะไปด้วย” “อือ” หยูหยุ๋นชิงครุ่นคิด และเดินไปทางโต๊ะหนังสือเช่นกัน ถังซูยวี่หันหลังพิงอยู่กับระเบียง จึงได้เห็นว่าบนเวทียามนี้ได้เปลี่ยนคนไปเสียแล้ว ผู้นั้นคือแม่นางไป๋ชิวจากหอฉวินฟาง ในยามนี้นางกำลังร่ายร้องกวีอีกหนึ่งบทที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์: บทกวีทิศใต้·ชื่มชมท่องเที่ยว ถังซูยวี่จ้องมองด้วยความสนใจ นึกถึงสถานการณ์ครึกครื้นที่ตรอกฉือปาหลี่ในวันนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกอยากจะดื่มอีกสักสองแก้ว เขาก้าวไปทางเวที แล้วหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งขวด ซึ่งเป็นเซียงเฉวียนของหยู๋ฝูจี้ เขารินหนึ่งแก้ว ถือไปยังบริเวณระเบียง ยืนพิงดื่มไปเพียงหนึ่งอึก ในยามที่ไป๋ชิวกำลังร้องบทเพลงบทกวีทิศใต้ หลิวจิ่งหางและหยูหยุ๋นชิงก็ได้เดินมา “เสร็จแล้วรึ ? ” ทั้งสองคนต่างพยักหน้า “ความจริงข้าหวังเป็นอย่างมากว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้มีความสามารถ พวกเจ้าลองฟังท่วงทำนองของสองบทนี้สิ อยู่ในระดับสูงอย่างยิ่ง น่าเสียดายนัก” “ท้ายที่สุดเขากลับไม่กล้ามา… นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ดังนั้น ข้าคิดว่าเขาหลักแหลมยิ่งนัก” “ข้ายอมรับว่าเขาหลักแหลมเป็นอย่างมาก มิอย่างนั้นสุราราคาสูงเสียดฟ้านี้คงมิมีผู้คนมาแย่งชิงกันถึงเพียงนี้” หยูหยุ๋นชิงหัวเราะ “ข้าเองก็ไปคว้ามาได้ 2 ขวด ยังมิกล้าลิ้มรส วันหน้าหากมีเวลาว่าง น้องชายทั้งสองมารวมตัวด้วยกันเถิด” “เยี่ยงนั้นย่อมยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง!” หลิวจิ่งหางและทั้งสองต่างกล่าวยิ้ม ๆ “ทางนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ถังซูยวี่ชี้ไปทางด้านหน้าประตูของชั้นที่สี่ หยูหยุ๋นชิงและหลิวจิ่งหางต่างหันไปมองตาม… ชุนซิ่วกังวลเป็นอย่างมาก นางตามหลังทหารยามมาหนึ่งนาย ก้าวเท้าขึ้นมาทีละก้าว ทหารยามผู้นั้นกระซิบที่ข้างหูของสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู สาวใช้ผู้นั้นราวกับประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยนามหนึ่งขึ้นมา “ฟู่เสี่ยวกวนรึ ? ” เสียงของสาวใช้ผู้นั้นค่อนข้างดัง ยามนั้นประจวบเหมาะกับที่ไป๋ชิวบนเวทีร้องเพลงจบ ดังนั้นจึงมีผู้คนบางส่วนที่ได้ยินไปโดยปริยาย “ฟู่เสี่ยวกวนรึ เขามาแล้วรึ?” เสียงกระจายออกไป จนพวกหลิวจิ่งหางทั้งสามคนเองก็ได้ยิน “เขาล่ะ?” “ไม่เห็น” “แล้วเยี่ยงนั้นเสียงดังอันใดกันขึ้นมา?”

ตอนที่  25 ค่ำคืนที่ซ่างหลินโจว

ซ่างหลินโจวอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำออกไปร้อยเมตร ในยามนี้ได้มีเรือสำเภาเทียบฝั่งอยู่หลายลำ

บนเกาะแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงสวนเจียงหนาน ศาลาพักผ่อน ศาลาทางเดิน ล้อมรอบไปด้วยภูเขาจำลอง และมีสะพานข้ามแม่น้ำทุกหนแห่ง

เรียบง่าย หรูหรา และวิจิตรงดงามยิ่งนัก

ไฟบนเกาะได้สว่างขึ้นแล้ว มองไปรอบ ๆ ทั่วสารทิศจากหอชมดาวตรงใจกลางที่สูงที่สุด ราวกับมีดวงดาวฝังอยู่ ณ ที่นี้จริง ๆ

ณ บนชั้นห้าของหอชมดาว เสียนชินอ๋องหยูอันฝูกำลังดื่มน้ำชาและพูดคุยกับอาจารย์ฉิน อาจารย์หลี่ และยังมีอาจารย์เถียนอีกด้วย

นี่คือที่ที่สูงที่สุดของหอชมดาว พื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้หลายพันคน กลับมีเพียงคนอยู่ไม่กี่คน ซึ่งทำให้ดูรกร้างไปเล็กน้อย แต่เสียนชินอ๋องกลับกล่าวว่า เรื่องครื้นเครงนั้นปล่อยให้พวกผู้เยาว์ ถ้าหากพวกเราไปเข้าร่วม พวกเขาคงยับยั้งชั่งใจ หากมีบทกวีดี ๆ พวกเขาจะประพันธ์มันขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

อาจารย์ฉินและพวกเขาทั้งสามคนหาได้ใส่ใจไม่ และจมดิ่งไปกับความสงบ

แต่ที่ชั้นสี่ของหอชมดาวในยามนี้ กลับครึกครื้นเป็นอย่างมาก

หยูหงอี้ซื่อจื่อในฐานะหนึ่งในเจ้าภาพงานซ่างหลินโจว ก็กำลังต้อนรับแขกเหรื่อ

หยูหงอี้และหยูเวิ่นหวินนั้นนั่งอยู่ด้านบน เบื้องล่างมีโต๊ะอีกหลายร้อยตัว แต่พื้นที่ตรงกลางนั้นกลับเป็นเวทีเต้นรำขนาดใหญ่

ชั่วยามนี้จานชามบนโต๊ะได้ถูกนำออกไป มีเป็นผัก ผลไม้ และเครื่องดื่มขึ้นมาแทนที่ ทุกคนต่างนั่งรวมกันสามถึงห้าคนต่อหนึ่งกลุ่ม ดื่มชาและพูดคุย สนุกสนานกันถึงที่สุด และมีคนอีกมากมายที่มองออกไป ณ ที่ห่างไกล แต่ในศีรษะนั้นกลับกำลังครุ่นคิดถึงบทกวีที่ยังไม่เข้ารูปเข้าร่างนัก

และปัจจัยหลักของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ก็คือ งานชุมนุมกวีซ่างหลิน

หากครั้งนี้ประพันธ์บทกวีออกมาได้ดีก็จะยิ่งมีชื่อเสียง หากสามารถเข้าพระเนตรเสียนชินอ๋องได้ มิแน่ว่าอาจจะได้รับรางวัลอีกมากมายก็เป็นได้

หยูเวิ่นหวินมองไปทางหยูหงอี้ ใบหน้าของหยูหงอี้มีเพียงรอยยิ้มขมขื่น

“ข้าได้ส่งเทียบเชิญไปให้บิดาของเขา บิดาเขาย่อมส่งมันให้กับเขาเป็นแน่”

“หากมิได้ให้เล่า?”

“เป็นไปมิได้ เจ้าอาจไม่รู้ว่าความปรารถนาสูงสุดทั้งชีวิตของฟู่ต้ากวนคือสิ่งใด เขาปรารถนาให้บุตรชายของตน มีชื่อเสียงทางด้านวรรณกรรมบ้าง ในวันนี้บุตรชายของเขาเริ่มเผยแววทางด้านวรรณกรรมแล้ว เขาย่อมปรารถนาให้บุตรชายของเขามีชื่อเสียงเป็นแน่ ที่นี่คือสถานที่ที่มีชื่อเสียง ฟู่ต้ากวนจะพลาดโอกาสเยี่ยงนี้ไปได้หรือ?”

หยูเวิ่นหวินคิ้วขมวด “หากพูดเยี่ยงนั้น… หรือว่าคนผู้นั้นไม่เต็มใจที่จะมา ? ”

“บางทีข่าวลือนั่นอาจจะเป็นจริงก็ได้ ฟู่เสี่ยวกวน… อาจจะดีแต่เปลือก บทกวีเหล่านั้นเป็นผู้อื่นที่ประพันธ์ขึ้น เขาเลยไม่กล้ามาเข้าร่วม”

คิ้วของหยูเวิ่นหวินขมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ “ชูหลานมิมีทางหลอกข้า ชูหลานเป็นคนที่ฉลาดถึงเพียงนั้น มิมีทางถูกเจ้าเด็กนั่นหลอกได้เสียหรอก”

 “แต่ไม่ว่าเยี่ยงไร เขาก็มิมา เยี่ยงนั้นงานชุมนุมบทกวีนี้ยังจะดำเนินต่อไปหรือไม่?”

หยูเวิ่นหวินขบกรามแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และสะบัดแขนเสื้อ “ดำเนินต่อไป!”

หยูหงอี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ เดินไปยังเวทีที่อยู่ใจกลางห้องโถง และยืดอกอย่างภาคภูมิ “ทุกท่าน ข้าขอประกาศ ณ ยามนี้ งานกวีซ่างหลิน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

เสียงปรบมือดังกึกก้อง เต็มไปด้วยบรรยากาศของความตื่นเต้น หยูหงอี้เดินไปทางหยูเวิ่นหวินด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อย ๆ

หลังจากนั้นพิธีกรก็ขึ้นไปยังบนเวที

“มีสุราและผลไม้อยู่ที่โต๊ะ ทุกท่านสามารถนำไปรับประทานได้ วันนี้พวกข้ายังได้เชิญแม่นางฝานตั่วเอ๋อร์จากหออี้หง และแม่นางไป๋ชิวจากหอฉวินฟางมามอบความสำราญให้แก่ทุกท่าน ถัดจากนี้ขอเชิญแม่นางฝานตั่วเอ๋อร์บรรเลงดนตรีที่กำลังโด่งดังที่หลินเจียงในช่วงนี้ มองเจียงหนาน!”

ฝานตั่วเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นในชุดเต็มยศ มือหยกลูบไล้ฉิน เสียงโหมโรงดังขึ้น ทันใดนั้นทั้งงานก็เงียบเสียงลง

ยามที่นางเริ่มเอื้อนเอ่ย ประหนึ่งเสียงของธรรมชาติ บทเพลงนี้ทุกคนต่างได้ยินกันจนคุ้นหู จึงได้นำมาร้องอีกครา

มีท่านหนึ่งได้ฟังกวีบทนี้จนมัวเมา ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ และปรี่ไปยังโต๊ะหนังสือทันที

เขาตวัดปลายพู่กัน และเกิดเป็นกวีหนึ่งบท

เมื่อตั้งใจอ่านอย่างถี่ถ้วนอีกครา เหมือนว่าจะมิได้ด้อยไปกว่ามองเจียงหนานบทนั้น เพราะที่เขาเขียนนั้นก็คือมองเจียงหนานเช่นกัน มีชื่อเต็มว่า มองเจียงหนาน บันทึกที่ซ่างหลิน ผู้ประพันธ์หลี่ชุ่นเฟิง

มีสาวใช้รับกระดาษมา และส่งไปยังเบื้องหน้าของหยูเวิ่นหวิน

หยูเวิ่นหวินเมียงมอง แต่ไม่ได้พูดอันใด

หลังจากนั้นอีกหลายท่านก็เริ่มขยับเคลื่อนย้าย พวกเขาต่างทยอยกันไปที่โต๊ะหนังสือเพื่อลงพู่กัน ฝากผลงานของตนเองที่คิดว่าน่าพึงพอใจเหล่านั้นไปกับสาวใช้ เพื่อส่งให้ถึงหยูเวิ่นหวิน

ผู้มีพรสวรรค์ทั้งสามแห่งหลินเจียงในยามนี้ก็ได้ยืนพิงอาคารและเฝ้ามองมา

ทันใดนั้นหลิวจิ่งหางก็หัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “ในยามนี้ข้าชื่นชมเขายิ่งนัก ไม่ไว้หน้าแม้แต่จวนชินอ๋อง… คราแรกที่ข้าได้ไปเชิญชวนเขาถึงจวนฟู่ เพียงแต่เขาปฏิเสธ ข้ายังเดือดดาลไปถึง 2 วัน”

“เยี่ยงนี้นอกจากเทศกาลไหว้พระจันทร์เดือนแปดที่หนึ่งปีจะมีเพียง 2 ครั้ง แต่เขากลับไม่มา นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ฟู่เสี่ยวกวนไม่กล้ามาอย่างแท้จริง” ถังซูยวี่รู้สึกว่าตัวเองมองคนผู้นั้นออกแล้ว จึงไม่อยากจะเอ่ยถึงอีก และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “จิ่งหาง เจ้ามีผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้วหรือยัง?”

“ข้ายังต้องเตรียมการอีกเสียหน่อย”

“พี่หยุ๋นชิงล่ะ?”

หยูหยุ๋นชิงมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารา แล้วครุ่นคิด “ยังไม่สมบูรณ์นัก”

“เจ้าทั้งสองจะถ่อมตนกันไปแล้ว เยี่ยงนั้นข้าจะมิเกรงใจแล้ว”

“เชิญพี่ถัง”

ถังซูยวี่เดินไปทางโต๊ะหนังสือ สงบนิ่งไปหลายอึดใจ ก่อนจะยกพู่กันและจรดลง

“ความสุขที่เงียบสงบ ค่ำคืน ณ ซ่างหลิน”

“สายลมแผ่วไม่ยอมหยุด กลับแยกต้นไม้กลางบุปผา

หลงในเงาสีเงินที่ตื้นเขิน สะพานนางแอ่นจันทร์แรมทางดารา

เรือประมงแล่นในแม่น้ำอย่างเชื่องช้า วังหลวงชั้นเซียนเลือนลับตา

แตกสลายร่วงกราวเสียงแผ่วเบา แต่ฟ้าโปร่งและเมฆจืดจางไป”

ถังซูยวี่

เขายื่นกวีบทนั้นให้แก่สาวรับใช้ แล้วจึงกลับมายังระเบียง หลิวจิ่งหางเอ่ยถาม “เสร็จแล้วรึ ? ”

ถังซูยวี่เพียงยิ้ม แล้วพยักหน้า

“เยี่ยงนั้นข้าก็จะไปด้วย”

“อือ”

หยูหยุ๋นชิงครุ่นคิด และเดินไปทางโต๊ะหนังสือเช่นกัน

ถังซูยวี่หันหลังพิงอยู่กับระเบียง จึงได้เห็นว่าบนเวทียามนี้ได้เปลี่ยนคนไปเสียแล้ว

ผู้นั้นคือแม่นางไป๋ชิวจากหอฉวินฟาง

ในยามนี้นางกำลังร่ายร้องกวีอีกหนึ่งบทที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์: บทกวีทิศใต้·ชื่มชมท่องเที่ยว

ถังซูยวี่จ้องมองด้วยความสนใจ นึกถึงสถานการณ์ครึกครื้นที่ตรอกฉือปาหลี่ในวันนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกอยากจะดื่มอีกสักสองแก้ว

เขาก้าวไปทางเวที แล้วหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งขวด ซึ่งเป็นเซียงเฉวียนของหยู๋ฝูจี้

เขารินหนึ่งแก้ว ถือไปยังบริเวณระเบียง ยืนพิงดื่มไปเพียงหนึ่งอึก ในยามที่ไป๋ชิวกำลังร้องบทเพลงบทกวีทิศใต้ หลิวจิ่งหางและหยูหยุ๋นชิงก็ได้เดินมา

“เสร็จแล้วรึ ? ”

ทั้งสองคนต่างพยักหน้า

“ความจริงข้าหวังเป็นอย่างมากว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้มีความสามารถ พวกเจ้าลองฟังท่วงทำนองของสองบทนี้สิ อยู่ในระดับสูงอย่างยิ่ง น่าเสียดายนัก”

“ท้ายที่สุดเขากลับไม่กล้ามา… นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ดังนั้น ข้าคิดว่าเขาหลักแหลมยิ่งนัก”

“ข้ายอมรับว่าเขาหลักแหลมเป็นอย่างมาก มิอย่างนั้นสุราราคาสูงเสียดฟ้านี้คงมิมีผู้คนมาแย่งชิงกันถึงเพียงนี้”

หยูหยุ๋นชิงหัวเราะ “ข้าเองก็ไปคว้ามาได้ 2 ขวด ยังมิกล้าลิ้มรส วันหน้าหากมีเวลาว่าง น้องชายทั้งสองมารวมตัวด้วยกันเถิด”

“เยี่ยงนั้นย่อมยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง!” หลิวจิ่งหางและทั้งสองต่างกล่าวยิ้ม ๆ

“ทางนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ถังซูยวี่ชี้ไปทางด้านหน้าประตูของชั้นที่สี่

หยูหยุ๋นชิงและหลิวจิ่งหางต่างหันไปมองตาม…

ชุนซิ่วกังวลเป็นอย่างมาก

นางตามหลังทหารยามมาหนึ่งนาย ก้าวเท้าขึ้นมาทีละก้าว

ทหารยามผู้นั้นกระซิบที่ข้างหูของสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู สาวใช้ผู้นั้นราวกับประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยนามหนึ่งขึ้นมา “ฟู่เสี่ยวกวนรึ ? ”

เสียงของสาวใช้ผู้นั้นค่อนข้างดัง ยามนั้นประจวบเหมาะกับที่ไป๋ชิวบนเวทีร้องเพลงจบ ดังนั้นจึงมีผู้คนบางส่วนที่ได้ยินไปโดยปริยาย

“ฟู่เสี่ยวกวนรึ เขามาแล้วรึ?”

เสียงกระจายออกไป จนพวกหลิวจิ่งหางทั้งสามคนเองก็ได้ยิน

“เขาล่ะ?”

“ไม่เห็น”

“แล้วเยี่ยงนั้นเสียงดังอันใดกันขึ้นมา?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด