นายน้อยเจ้าสำราญ 28 หยูเวิ่นหวิน

Now you are reading นายน้อยเจ้าสำราญ Chapter 28 หยูเวิ่นหวิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 28 หยูเวิ่นหวิน หลังจากพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน ร่างกายของฟู่เสี่ยวกวนก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย แม้เมื่อคืนเขาจะมิไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่ทว่าเขาก็ยังคงฝึกฝนชุดหมัดอยู่ที่ลานบ้าน อีกทั้งยังฝึกฝนทักษะมวยไทย ตบท้ายด้วยการวิ่งรอบลานบ้าน ซูม่อนั้นตื่นมาแต่เช้าตรู่ เขายืนมองฟู่เสี่ยวกวนฝึกฝนชุดหมัด จากนั้นจึงมองดูฟู่เสี่ยวกวนวิ่งรอบลาน ทันใดนั้นเขาก็มีความประหลาดใจต่อชายหนุ่มผู้นี้ เมื่อคืนที่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้นอนนั้น ตัวเขารู้ดียิ่ง กระทั่งรู้ว่าเหตุที่เขามิได้พักผ่อนนั้น ก็มาจากการอ่านคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง สำหรับคุณชายในตระกูลพ่อค้าถือว่าเป็นผู้มีความขยันขันแข็งอย่างยิ่ง และน้อยคนนักจักเป็นเช่นนี้ อีกทั้งคน ๆ นี้ยังสามารถแต่งบทกวีได้ไพเราะยิ่งนัก เพียงแต่หมัดที่เขาฝึกฝนนั้น ท่าทางการออกหมัดดูคล้ายกับเป็นระเบียบหนักแน่น แต่สำหรับซูม่อแล้วนี้เป็นเพียงหมัดแสนธรรมดาที่เรียนเชิญอาจารย์มาแสดงให้ดู แล้วตนนั้นก็ทำตามนิดหน่อยเท่านั้นเอง ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งไปในใจพลางนึกถึงเส้นลมปราณของร่างกายทีละจุดในคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง จากนั้นก็ฝึกหายใจเข้าออกเป็นลำดับ เขาพยายามให้เส้นลมปราณเหล่านั้นทำงานขึ้นมา หลังจากเขาวิ่งไปได้ 10 รอบก็พบเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ ในเช้าวันนี้เขาไม่รู้สึกเมื่อยล้าเช่นเมื่อวาน นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก พูดกันตามเหตุผล การที่เขามิได้นอนหลับพักผ่อนในคืนที่ผ่านมา ในวันนี้หากเขาสามารถวิ่งได้สัก 10 รอบก็นับว่าไม่เลวแล้ว หรือนี่คือผลของการฝึกลมปราณอย่างนั้นหรือ? ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขามิได้หยุดพักแต่กลับวิ่งได้ถึง 30 รอบ เขาถึงจะรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้า หลังอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับซูม่อ จากนั้นจึงนั่งสมาธิใต้ต้นไทร ทั้งสองมิได้เอ่ยคำใดออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขานั่งสมาธิเป็นเวลานานหลายชั่วยามจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ยอดไผ่ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ตามบันทึกในหนังสือนั้น เขามิได้รู้สึกถึงการไหลเวียนของลมปราณตรงบริเวณตันเถียน แต่เขามิได้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือรำคาญแต่อย่างใด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจที่แท้จริงของสำนักเต๋า ซึ่งจะฝึกฝนสำเร็จง่าย ๆ ได้อย่างไร ชุนซิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้หินมองมายังฟู่เสี่ยวกวน ในใจนางนึกเพียงว่าหนังสือความฝันในหอแดงนั้นเมื่อใดจึงจะเขียนเสร็จ หรือจะล้มเลิกเพียงเท่านั้นแล้วหรือ ? คุณชายกำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ? จะฝึกฝนเป็นเซียนหรืออย่างไร ? ขณะที่ชุนซิ่วกำลังครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานานั้น อี้หยู่ก็เดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน ชุนซิ่วรีบเดินหน้าไปต้อนรับ ในสวนหลังบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่นี้ ชุนซิ่วกลายเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของฟู่เสี่ยวกวนไปเสียแล้ว “คนจากเรือนชินอ๋องเดินทางมา กล่าวว่าต้องการเข้าพบคุณชาย” ชุนซิ่วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในใจนางคิดว่าคำพูดที่แฝงความโกรธเคืองไม่พอใจของนางเมื่อคืนนั้น ทำให้ใครในจวนชินอ๋องมิพอใจหรือไม่ ? ถ้าเช่นนั้นจักทำให้คุณชายต้องเดือนร้อนหรือไม่! “คุณชายกำลังทำธุระ นำทางข้าไปดูเถอะ” อี้หยู่ชายตาไปพบฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไทร ก็ไม่เข้าใจนักว่าคุณชายของเขาทำสิ่งใดอยู่ เขาจึงเดินนำชุนซิ่วมายังด้านนอกลานกว้าง เรือนรับแขกมีเงาของสองคนนั่งอยู่ นั่นก็คือหยูเวิ่นหวินและหยูหงอี้ที่พบกันในงานเลี้ยงฉลองเมื่อคืนนั่นเอง “ข้าน้อยคารวะท่านทั้งสองเพคะ” ชุนซิ่วทำความเคารพต่อหน้าทั้งสอง จากนั้นหยูเวิ่นหวินจึงได้เอ่ยถามว่า “คุณชายของเจ้าเล่า ? ”  “เรียนท่านทั้งสอง หากท่านมิพอใจในการกระทำอันเสียมารยาทของข้าน้อยเมื่อคืนนี้ ขอโปรดลงโทษที่ข้าน้อยด้วยเถิด คุณชายของข้าน้อยไม่ได้เป็นผู้สั่งการใด ๆ ท่านมิได้เกี่ยวข้องด้วย” หยูเวิ่นหวินหัวเราะและเอ่ยว่า “ข้ามิได้เดินทางมาเพื่อจะกล่าวโทษเจ้าแต่ประการใด เพียงแค่ต้องการเข้าพบคุณชายเจ้าเท่านั้น” ชุนซิ่วตกตะลึง นางมองไปยังรอยยิ้มอันอ่อนหวานของหยูเวิ่นหวิน ช่างจริงใจยิ่งนัก มิได้รู้สึกถึงการหลอกลวงเลยแม้แต่น้อย จึงตอบกลับไปว่า “ขอให้ท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปรายงานแก่คุณชายให้เจ้าค่ะ” ชุนซิ่วรีบเดินออกไป หยูหงอี้ทำท่าทีรำคาญเล็กน้อย เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาดมแล้ววางลงไปโดยมิได้ดื่ม ภายในใจคิดว่าเรือนเก่า ๆ นี้ช่างมีกฎระเบียบมากมายเสียจริง เขาเป็นถึงทายาทของชินอ๋องแต่กลับต้องมานั่งรอเยี่ยงนี้ เขาช่างไม่เข้าใจเสียจริงว่าเหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้เร่งรีบมายังจวนฟู่แต่เช้าตรู่ ในความคิดของเขานั้นเพียงแค่ให้คนมาเชิญ ฟู่เสี่ยวกวนก็ควรจะรีบเดินทางเข้ามาพบด้วยความยินดี? ผ่านไปชั่วครู่ ชุนซิ่วรีบเดินออกมาแล้วกล่าวว่า “เรียนเชิญท่านทั้งสองเจ้าค่ะ” หยูหงเหวินตกตะลึงยิ่งขึ้น ข้าเป็นถึงทายาทของชินอ๋องเชียวนะ! พวกเจ้าเหตุใดจึงหักหน้าข้าได้ถึงเพียงนี้ อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงทายาทของชินอ๋อง! อีกทั้งผู้ที่อยู่ข้างกายข้าในเวลานี้คือองค์หญิงเก้าที่องค์ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด ! ตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้น หากองค์หญิงทรงเสด็จมา ตระกูลฟู่ทุกคนควรจะมาคุกเข่าให้การต้อนรับเสียด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ? เจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นมิได้เดินทางมาต้อนรับด้วยตนเอง อีกทั้งยังส่งเพียงบ่าวรับใช้มาคนหนึ่ง หรือว่าคิดว่าเสืออย่างข้าไม่คำรามก็เห็นว่าเป็นแมวป่วยงั้นรึ ? หยูหงเหวินโมโหจนถลึงตาขึ้นมา เขารีบลุกขึ้นจนทำให้ชุนซิ่วตกใจกลัว หยูหงเหวินยังมิได้กระทำสิ่งต่อไป หากพูดให้ถูกต้องคือเขายังไม่ได้กระทำอันใดลงไป เนื่องจากเขานั้นถูกหยูเวิ่นหวินส่งสายตาห้ามปรามเป็นการตักเตือน นางจ้องมายังหยูหงเหวินตาเขม็ง เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กลั้นไว้ชั่วครู่จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา ทั้งสองคนเดินตามชุนซิ่วไปทางสวนด้านหลัง หยูเวิ่นหวินเอ่ยด้วยเสียงอันเบาอีกครั้งว่า  “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้ตามมา แต่เจ้าก็หาได้ฟังข้าไม่ หากเข้าไปแล้วจงอย่าได้เอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมา เข้าใจหรือไม่!” ทายาทของชินอ๋อง บัดนี้ช่างถูกห้ามปรามอย่างไม่ปรานี ช่างไร้ศักดิ์ศรียิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาแล้วมองมายังทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จากนั้นก็เชิญทั้งสองเข้าสู่ที่นั่ง “เรื่องเมื่อคืนนั้นข้าเองต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่มิอาจเดินทางไปร่วมงานได้ด้วยตนเอง เดิมทีตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะเดินทางไปยังจวนชินอ๋องเพื่อขอโทษ คาดไม่ถึงว่าท่านทั้งสองจะเดินทางมาก่อน ข้าเองรู้สึกเกรงใจอย่างมาก มาเถิด เชิญดื่มชา” นี่เป็นครั้งแรกที่หยูเวิ่นหวินพบเจอกับฟู่เสี่ยวกวน เขาช่างรูปงามเสียจริง! ด้วยท่าทางใจกว้างและคำพูดที่จริงใจ แม้เขารู้ดีว่าคือคนที่มาจากจวนชินอ๋องก็มิได้ตื่นตระหนกจนเสียการควบคุมตนเองไป  เป็นจริงดังต่งชูหลานกล่าว เขามีอายุเพียง 16 ปี แต่มีความนิ่งสงบรู้จักการพูดจาเกินกว่าอายุของเขา “คุณชายทราบหรือไม่ว่าพวกข้าทั้งสองคนนั้นคือผู้ใด?” หยูเวิ่นหวินจงใจเอ่ยถามขึ้น นี่เขากำลังถูกกล่าวโทษอยู่ใช่หรือไม่?ในใจฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดนี้ขึ้นมา แต่เขายังคงยิ้มแย้มสดชื่นคล้ายสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เขาตอบว่า “เราทั้งหลายล้วนร่อนเร่พเนจรอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน เคยพานพบก็อาจไม่รู้จัก การได้รู้จักคือพรหมลิขิตจากเบื้องบน ไม่ถามถึงสิ่งใด ไม่ถามถึงเหตุผล ทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนี้ แม่นางมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” หยูเวิ่นหวินแววตาเป็นประกาย เราทั้งหลายล้วนร่อนเร่พเนจรอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน เคยพานพบก็อาจไม่รู้จัก!ชายหนุ่มผู้นี้มีคำคมอยู่ในจิตใจเช่นอาจารย์ฉินได้กล่าวไว้เสียจริง เขามิใช่คนธรรมดาทั่วไป ดังนั้น นางจึงยิ้มออกมากล่าวว่า “สิ่งที่คุณชายฟู่กล่าวกล่าวมานั้นล้วนเป็นความจริง เพียงแค่คำพูดของคุณชายคำนี้ เรื่องเมื่อคืนก็ขอให้จบลงเพียงเท่านี้” หยูหงเหวินมองดูฟู่เสี่ยวกวน ประโยคเมื่อสักครู่ฟังดูแล้วช่างเข้าท่า หากแต่ตนและองค์หญิงเก้ามิใช่ผู้ร่อนเร่พเนจร! “ท่านทั้งสองเดินทางมายังที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?” “เมื่อวานข้าได้ยินมาว่าคุณชายฟู่ยังมีความสามารถในการแต่งหนังสือ คาดว่าหนังสือนั้นคงน่าดึงดูดผู้อ่านมิใช่น้อย มิทราบว่า……จะให้ข้าได้อ่านเสียหน่อยได้หรือไม่?” ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังไปมองชุนซิ่ว นางก้มหน้ามองพื้นและแลบลิ้น “แม่นางเดินทางมาไม่ถูกจังหวะเสียเท่าไหร่ หนังสือนั้นถูกสหายคนหนึ่งยืมไปเสียแล้ว โปรดรอให้สหายข้าส่งหนังสือคืนกลับมา แล้วข้าจะรีบจัดแจงส่งไปให้แม่นาง” หยูเวิ่นหวินถามด้วยความผิดหวังเล็กน้อยว่า “ให้ผู้ใดยืมไปกัน?” “บุตรสาวเสนาบดีกระทรวงครัวเรือนในเมืองหลวง แม่นางต่งชูหลาน” หยูเวิ่นหวินยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา เปิดฝาออก ไอร้อนจากน้ำชาลอยปะทะใบหน้าอันงดงามของนาง ผ่านไปชั่วครู่ นางวางถ้วยน้ำชาลงแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านแต่งบทกวีมอบให้แก่ต่งชูหลานอย่างงั้นหรือ?” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองชุนซิ่ว ชุนซิ่วส่ายหน้า “ก่อนหน้าที่แม่นางต่งจะเดินทางจากเมืองหลินเจียงไปนั้น ข้าได้พบแม่นางเข้าโดยบังเอิญ จึงได้แต่งกวีบทหนึ่งขึ้น เพื่อมอบให้แก่แม่นาง นี่……หาใช่เรื่องใหญ่ไม่” “ในวันพรุ่งนี้ ข้าเองก็จักเดินทางไปจากเมืองหลินโจวเช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านจะแต่งบทกวีให้แก่ข้าสักบทหนึ่งได้หรือไม่?”

ตอนที่ 28 หยูเวิ่นหวิน

หลังจากพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน ร่างกายของฟู่เสี่ยวกวนก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย

แม้เมื่อคืนเขาจะมิไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่ทว่าเขาก็ยังคงฝึกฝนชุดหมัดอยู่ที่ลานบ้าน อีกทั้งยังฝึกฝนทักษะมวยไทย ตบท้ายด้วยการวิ่งรอบลานบ้าน

ซูม่อนั้นตื่นมาแต่เช้าตรู่ เขายืนมองฟู่เสี่ยวกวนฝึกฝนชุดหมัด จากนั้นจึงมองดูฟู่เสี่ยวกวนวิ่งรอบลาน ทันใดนั้นเขาก็มีความประหลาดใจต่อชายหนุ่มผู้นี้

เมื่อคืนที่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้นอนนั้น ตัวเขารู้ดียิ่ง กระทั่งรู้ว่าเหตุที่เขามิได้พักผ่อนนั้น ก็มาจากการอ่านคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง สำหรับคุณชายในตระกูลพ่อค้าถือว่าเป็นผู้มีความขยันขันแข็งอย่างยิ่ง และน้อยคนนักจักเป็นเช่นนี้ อีกทั้งคน ๆ นี้ยังสามารถแต่งบทกวีได้ไพเราะยิ่งนัก

เพียงแต่หมัดที่เขาฝึกฝนนั้น ท่าทางการออกหมัดดูคล้ายกับเป็นระเบียบหนักแน่น แต่สำหรับซูม่อแล้วนี้เป็นเพียงหมัดแสนธรรมดาที่เรียนเชิญอาจารย์มาแสดงให้ดู แล้วตนนั้นก็ทำตามนิดหน่อยเท่านั้นเอง

ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งไปในใจพลางนึกถึงเส้นลมปราณของร่างกายทีละจุดในคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง จากนั้นก็ฝึกหายใจเข้าออกเป็นลำดับ เขาพยายามให้เส้นลมปราณเหล่านั้นทำงานขึ้นมา

หลังจากเขาวิ่งไปได้ 10 รอบก็พบเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ ในเช้าวันนี้เขาไม่รู้สึกเมื่อยล้าเช่นเมื่อวาน นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

พูดกันตามเหตุผล การที่เขามิได้นอนหลับพักผ่อนในคืนที่ผ่านมา ในวันนี้หากเขาสามารถวิ่งได้สัก 10 รอบก็นับว่าไม่เลวแล้ว หรือนี่คือผลของการฝึกลมปราณอย่างนั้นหรือ?

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขามิได้หยุดพักแต่กลับวิ่งได้ถึง 30 รอบ เขาถึงจะรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้า

หลังอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับซูม่อ จากนั้นจึงนั่งสมาธิใต้ต้นไทร ทั้งสองมิได้เอ่ยคำใดออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ

พวกเขานั่งสมาธิเป็นเวลานานหลายชั่วยามจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ยอดไผ่ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ตามบันทึกในหนังสือนั้น เขามิได้รู้สึกถึงการไหลเวียนของลมปราณตรงบริเวณตันเถียน แต่เขามิได้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือรำคาญแต่อย่างใด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจที่แท้จริงของสำนักเต๋า ซึ่งจะฝึกฝนสำเร็จง่าย ๆ ได้อย่างไร

ชุนซิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้หินมองมายังฟู่เสี่ยวกวน ในใจนางนึกเพียงว่าหนังสือความฝันในหอแดงนั้นเมื่อใดจึงจะเขียนเสร็จ หรือจะล้มเลิกเพียงเท่านั้นแล้วหรือ ?

คุณชายกำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ?

จะฝึกฝนเป็นเซียนหรืออย่างไร ?

ขณะที่ชุนซิ่วกำลังครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานานั้น อี้หยู่ก็เดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน ชุนซิ่วรีบเดินหน้าไปต้อนรับ

ในสวนหลังบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่นี้ ชุนซิ่วกลายเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของฟู่เสี่ยวกวนไปเสียแล้ว

“คนจากเรือนชินอ๋องเดินทางมา กล่าวว่าต้องการเข้าพบคุณชาย”

ชุนซิ่วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในใจนางคิดว่าคำพูดที่แฝงความโกรธเคืองไม่พอใจของนางเมื่อคืนนั้น ทำให้ใครในจวนชินอ๋องมิพอใจหรือไม่ ?

ถ้าเช่นนั้นจักทำให้คุณชายต้องเดือนร้อนหรือไม่!

“คุณชายกำลังทำธุระ นำทางข้าไปดูเถอะ”

อี้หยู่ชายตาไปพบฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไทร ก็ไม่เข้าใจนักว่าคุณชายของเขาทำสิ่งใดอยู่

เขาจึงเดินนำชุนซิ่วมายังด้านนอกลานกว้าง เรือนรับแขกมีเงาของสองคนนั่งอยู่ นั่นก็คือหยูเวิ่นหวินและหยูหงอี้ที่พบกันในงานเลี้ยงฉลองเมื่อคืนนั่นเอง “ข้าน้อยคารวะท่านทั้งสองเพคะ”

ชุนซิ่วทำความเคารพต่อหน้าทั้งสอง จากนั้นหยูเวิ่นหวินจึงได้เอ่ยถามว่า “คุณชายของเจ้าเล่า ? ”

 “เรียนท่านทั้งสอง หากท่านมิพอใจในการกระทำอันเสียมารยาทของข้าน้อยเมื่อคืนนี้ ขอโปรดลงโทษที่ข้าน้อยด้วยเถิด คุณชายของข้าน้อยไม่ได้เป็นผู้สั่งการใด ๆ ท่านมิได้เกี่ยวข้องด้วย”

หยูเวิ่นหวินหัวเราะและเอ่ยว่า “ข้ามิได้เดินทางมาเพื่อจะกล่าวโทษเจ้าแต่ประการใด เพียงแค่ต้องการเข้าพบคุณชายเจ้าเท่านั้น”

ชุนซิ่วตกตะลึง นางมองไปยังรอยยิ้มอันอ่อนหวานของหยูเวิ่นหวิน ช่างจริงใจยิ่งนัก มิได้รู้สึกถึงการหลอกลวงเลยแม้แต่น้อย จึงตอบกลับไปว่า “ขอให้ท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปรายงานแก่คุณชายให้เจ้าค่ะ”

ชุนซิ่วรีบเดินออกไป หยูหงอี้ทำท่าทีรำคาญเล็กน้อย เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาดมแล้ววางลงไปโดยมิได้ดื่ม ภายในใจคิดว่าเรือนเก่า ๆ นี้ช่างมีกฎระเบียบมากมายเสียจริง เขาเป็นถึงทายาทของชินอ๋องแต่กลับต้องมานั่งรอเยี่ยงนี้

เขาช่างไม่เข้าใจเสียจริงว่าเหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้เร่งรีบมายังจวนฟู่แต่เช้าตรู่

ในความคิดของเขานั้นเพียงแค่ให้คนมาเชิญ ฟู่เสี่ยวกวนก็ควรจะรีบเดินทางเข้ามาพบด้วยความยินดี?

ผ่านไปชั่วครู่ ชุนซิ่วรีบเดินออกมาแล้วกล่าวว่า “เรียนเชิญท่านทั้งสองเจ้าค่ะ”

หยูหงเหวินตกตะลึงยิ่งขึ้น ข้าเป็นถึงทายาทของชินอ๋องเชียวนะ!

พวกเจ้าเหตุใดจึงหักหน้าข้าได้ถึงเพียงนี้ อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงทายาทของชินอ๋อง!

อีกทั้งผู้ที่อยู่ข้างกายข้าในเวลานี้คือองค์หญิงเก้าที่องค์ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด !

ตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้น หากองค์หญิงทรงเสด็จมา ตระกูลฟู่ทุกคนควรจะมาคุกเข่าให้การต้อนรับเสียด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ?

เจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นมิได้เดินทางมาต้อนรับด้วยตนเอง อีกทั้งยังส่งเพียงบ่าวรับใช้มาคนหนึ่ง หรือว่าคิดว่าเสืออย่างข้าไม่คำรามก็เห็นว่าเป็นแมวป่วยงั้นรึ ?

หยูหงเหวินโมโหจนถลึงตาขึ้นมา เขารีบลุกขึ้นจนทำให้ชุนซิ่วตกใจกลัว

หยูหงเหวินยังมิได้กระทำสิ่งต่อไป หากพูดให้ถูกต้องคือเขายังไม่ได้กระทำอันใดลงไป เนื่องจากเขานั้นถูกหยูเวิ่นหวินส่งสายตาห้ามปรามเป็นการตักเตือน นางจ้องมายังหยูหงเหวินตาเขม็ง

เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กลั้นไว้ชั่วครู่จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา

ทั้งสองคนเดินตามชุนซิ่วไปทางสวนด้านหลัง หยูเวิ่นหวินเอ่ยด้วยเสียงอันเบาอีกครั้งว่า  “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้ตามมา แต่เจ้าก็หาได้ฟังข้าไม่ หากเข้าไปแล้วจงอย่าได้เอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมา เข้าใจหรือไม่!”

ทายาทของชินอ๋อง บัดนี้ช่างถูกห้ามปรามอย่างไม่ปรานี ช่างไร้ศักดิ์ศรียิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาแล้วมองมายังทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จากนั้นก็เชิญทั้งสองเข้าสู่ที่นั่ง

“เรื่องเมื่อคืนนั้นข้าเองต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่มิอาจเดินทางไปร่วมงานได้ด้วยตนเอง เดิมทีตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะเดินทางไปยังจวนชินอ๋องเพื่อขอโทษ คาดไม่ถึงว่าท่านทั้งสองจะเดินทางมาก่อน ข้าเองรู้สึกเกรงใจอย่างมาก มาเถิด เชิญดื่มชา”

นี่เป็นครั้งแรกที่หยูเวิ่นหวินพบเจอกับฟู่เสี่ยวกวน

เขาช่างรูปงามเสียจริง!

ด้วยท่าทางใจกว้างและคำพูดที่จริงใจ แม้เขารู้ดีว่าคือคนที่มาจากจวนชินอ๋องก็มิได้ตื่นตระหนกจนเสียการควบคุมตนเองไป  เป็นจริงดังต่งชูหลานกล่าว เขามีอายุเพียง 16 ปี แต่มีความนิ่งสงบรู้จักการพูดจาเกินกว่าอายุของเขา

“คุณชายทราบหรือไม่ว่าพวกข้าทั้งสองคนนั้นคือผู้ใด?” หยูเวิ่นหวินจงใจเอ่ยถามขึ้น

นี่เขากำลังถูกกล่าวโทษอยู่ใช่หรือไม่?ในใจฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดนี้ขึ้นมา แต่เขายังคงยิ้มแย้มสดชื่นคล้ายสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

เขาตอบว่า “เราทั้งหลายล้วนร่อนเร่พเนจรอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน เคยพานพบก็อาจไม่รู้จัก การได้รู้จักคือพรหมลิขิตจากเบื้องบน ไม่ถามถึงสิ่งใด ไม่ถามถึงเหตุผล ทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนี้ แม่นางมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”

หยูเวิ่นหวินแววตาเป็นประกาย เราทั้งหลายล้วนร่อนเร่พเนจรอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน เคยพานพบก็อาจไม่รู้จัก!ชายหนุ่มผู้นี้มีคำคมอยู่ในจิตใจเช่นอาจารย์ฉินได้กล่าวไว้เสียจริง เขามิใช่คนธรรมดาทั่วไป

ดังนั้น นางจึงยิ้มออกมากล่าวว่า “สิ่งที่คุณชายฟู่กล่าวกล่าวมานั้นล้วนเป็นความจริง เพียงแค่คำพูดของคุณชายคำนี้ เรื่องเมื่อคืนก็ขอให้จบลงเพียงเท่านี้”

หยูหงเหวินมองดูฟู่เสี่ยวกวน ประโยคเมื่อสักครู่ฟังดูแล้วช่างเข้าท่า หากแต่ตนและองค์หญิงเก้ามิใช่ผู้ร่อนเร่พเนจร!

“ท่านทั้งสองเดินทางมายังที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?”

“เมื่อวานข้าได้ยินมาว่าคุณชายฟู่ยังมีความสามารถในการแต่งหนังสือ คาดว่าหนังสือนั้นคงน่าดึงดูดผู้อ่านมิใช่น้อย มิทราบว่า……จะให้ข้าได้อ่านเสียหน่อยได้หรือไม่?”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังไปมองชุนซิ่ว นางก้มหน้ามองพื้นและแลบลิ้น

“แม่นางเดินทางมาไม่ถูกจังหวะเสียเท่าไหร่ หนังสือนั้นถูกสหายคนหนึ่งยืมไปเสียแล้ว โปรดรอให้สหายข้าส่งหนังสือคืนกลับมา แล้วข้าจะรีบจัดแจงส่งไปให้แม่นาง”

หยูเวิ่นหวินถามด้วยความผิดหวังเล็กน้อยว่า “ให้ผู้ใดยืมไปกัน?”

“บุตรสาวเสนาบดีกระทรวงครัวเรือนในเมืองหลวง แม่นางต่งชูหลาน”

หยูเวิ่นหวินยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา เปิดฝาออก ไอร้อนจากน้ำชาลอยปะทะใบหน้าอันงดงามของนาง

ผ่านไปชั่วครู่ นางวางถ้วยน้ำชาลงแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านแต่งบทกวีมอบให้แก่ต่งชูหลานอย่างงั้นหรือ?”

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองชุนซิ่ว ชุนซิ่วส่ายหน้า

“ก่อนหน้าที่แม่นางต่งจะเดินทางจากเมืองหลินเจียงไปนั้น ข้าได้พบแม่นางเข้าโดยบังเอิญ จึงได้แต่งกวีบทหนึ่งขึ้น เพื่อมอบให้แก่แม่นาง นี่……หาใช่เรื่องใหญ่ไม่”

“ในวันพรุ่งนี้ ข้าเองก็จักเดินทางไปจากเมืองหลินโจวเช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านจะแต่งบทกวีให้แก่ข้าสักบทหนึ่งได้หรือไม่?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด