นายน้อยเจ้าสำราญ 578 ยามจื่อ

Now you are reading นายน้อยเจ้าสำราญ Chapter 578 ยามจื่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 578 ยามจื่อ

เมืองเจี้ยนเหมิน ยามราตรีช่างเงียบสงบยิ่ง

โคมไฟที่แขวนเอาไว้ตรงกำแพงเมืองยังคงส่องสว่าง และยังคงเห็นภาพการออกลาดตระเวนของทหารยามดังเดิม

บัดนี้เป็นยามจื่อแล้ว กองทัพของเฟ่ยอันได้ดับไฟลง มีเพียงเฮ้อซานเตาเท่านั้นที่ได้พาทหารจำนวน 50,000 นายจุดคบไฟแล้วออกเดินตรวจตรายามค่ำคืน

เฮ้อซานเตาทำการสู้รบ ณ ท่าชุนเฟิง เขาเพียงคนเดียวสามารถปลิดชีพศัตรูได้นับร้อยคน ถือว่าได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึงเมืองเจี้ยนเหมิน เฟ่ยอันจึงได้มอบยศให้เขาเป็นเชียนฟูจ่าง อีกทั้งยังมอบทหารกองทัพที่สองให้เขาเป็นผู้ดูแล

ส่วนจ้าวลี่จู้ ผู้บัญชาการเดิมของทหารกองทัพที่สองได้กลายมาเป็นรองผู้บัญชาการแทน

การได้บัญชาการกองทหารถึง 100,000 นาย ทำให้เฮ้อซานเตาดีใจมากยิ่งนัก แต่ทว่าเขามิได้รู้กลยุทธ์ในการออกศึกเลยแม้แต่น้อย

เขาเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินที่มิรู้หนังสือแห่งเมืองหลินจื๋อ พวกกลยุทธ์ทางการทหาร…เขามิมีความรู้เลยแม้แต่น้อย

แต่ทว่าการกระทำที่เรียบง่ายของเขาก็คือ ในวันที่เข้ารับตำแหน่งเขาได้ให้จ้าวลี่จู้เรียกรวมพลทหารทั้งสิ้น 100,000 นาย ส่วนเขายืนอยู่ด้านหน้าทหารทั้งกองทัพอย่างสง่างาม จากนั้นก็กล่าวออกมาเพียงประโยคเดียวว่า

“นับแต่นี้ต่อไป พวกเจ้าจงติดตามข้า แล้วข้าจะพาพวกเจ้าต่อสู้อย่างสมเกียรติ เกี้ยวพาราสีหญิงงาม ดื่มสุรารสร้อนแรงและชิงเงินจำนวนมาก ! ”

ในเวลานั้น เฟ่ยอันที่แอบยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากและคิดว่าตนเองได้ตัดสินใจผิดไปหรือไม่

จ้าวลี่จู้จึงรีบเข้าไปกระซิบว่า “ท่านขอรับ ในการต่อสู้ทำสงคราม มิอาจเกี้ยวหญิงสาวได้ และยิ่งไปกว่านั้นมิอาจดื่มสุรากับปล้นเงินทองได้ด้วย นี่คือกฎของทหาร”

เฮ้อซานเตาโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “กฎมีไว้แหกต่างหากเล่า ! มิเช่นนั้นจะสู้รบไปเพื่อสิ่งใด ? เพื่อเกียรติยศเยี่ยงนั้นหรือ ? เกียรติยศกินได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เขามิรู้ว่าตอนนั้นสีหน้าของเฟ่ยอันได้มืดมนลงและเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเงยหน้ายืดอกขึ้นแล้วประกาศเสียงดังก้องว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไป ทุกท่านคือพี่น้องของข้า เฮ้อซานเตา ! แม้ข้าจะมิรู้หนังสือ แต่ใจข้าสว่างไสวมากยิ่งนัก ข้าขอสัญญากับทุกท่านว่า จะมิมีผู้ใดกล้ารังแกพี่น้องของข้าเป็นอันขาด !

ข้าจะกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า มันผู้ใดกล้ารังแกพวกท่านทั้งหลาย ก็เท่ากับมิไว้หน้าข้า เฮ้อซานเตาจะเป็นผู้พิทักษ์พวกเจ้าเอง ต่อให้เป็นท่านแม่ทัพเฟ่ยอันรังแกพวกท่าน ข้าก็มิยินยอม !

แม้ข้าจะสู้ท่านแม่ทัพใหญ่เฟ่ยอันมิได้ แต่หากท่านแม่ทัพรังแกพวกเจ้า ข้าก็จะพาพวกเจ้าไปหากองกำลังดาบเทวะ ! ”

เสียงปรบมือดังสนั่น เฟ่ยอันอยากจะหยิบดาบออกมาจัดการไอ้หมอนี่ให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริง !

เขาโมโหเสียจนหน้าเขียวหน้าเหลืองจากนั้นจึงหันหลังจากไป เนื่องจากกลัวว่าตนเองจะมิอาจอดทนกับเจ้าหมอนี่ได้และฆ่าเขาทิ้งเสีย

เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ เฮ้อซานเตาเอาชนะใจทหารทั้งแสนนายได้ด้วยวิธีนี้ และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา เขามิมีความน่ากลัวของผู้บัญชาการเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเผยให้เห็นถึงนิสัยนักเลงเดิม

การที่เขาทำเช่นนี้ส่งผลให้เหล่าทหารยิ่งชื่นชมเขา รู้สึกว่าผู้บัญชาการช่างติดดินและเข้าถึงง่ายมากยิ่งนัก

ในเวลาสามวัน กองทัพที่สองก็ได้รวมตัวกันติดตามเพื่อรับใช้ข้างกายเขา

สิ่งนี้ทำให้เฟ่ยอันรู้สึกชื่นชมเขามากยิ่ง แต่ก็เริ่มกังวลแล้วว่าไอ้เจ้าหมอนี่จะกระทำการบุ่มบ่าม ต่อจากนี้ต้องล้างสมองเขาเสียหน่อย ทำให้เขาเข้าใจถึงความมีเกียรติและภารกิจหน้าที่ของทหารที่พึงมี

เฮ้อซานเตาพาทหารออกลาดตระเวนยามค่ำคืน แต่ทว่าจิตใจกลับมิสงบนิ่ง

ฟู่เจวี๋ยเยผู้เป็นแบบอย่างได้เดินทางมาแล้ว กองกำลังดาบเทวะก็มาด้วย ดูฟู่เจวี๋ยเยสิ นั่นจึงเรียกว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ชายหนุ่มผู้นี้ เกรงว่าหากเขาไปยังหอชุ่ยหง สตรีเหล่านั้นอาจจะนำเงินมากองถวายให้กับเขาก็เป็นได้ นี่สิจึงจะนับว่าเป็นจุดสูงสุดของชีวิตมนุษย์ !

ดูทหารดาบเทวะนั่นสิ ช่างมีระเบียบวินัยเคร่งครัดยิ่ง พวกเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันเปี่ยมล้น มองแล้วพวกเขาสามารถออกศึก ณ หอชุ่ยหงได้ถึงห้าวันห้าคืนเลยทีเดียว นี่สิจึงจะนับว่าเป็นจุดสูงสุดของทหาร !

ดังนั้น เขาจึงอยากเข้าร่วมกองกำลังดาบเทวะเสียเหลือเกิน แต่บัดนี้รอบกายตนได้มีพี่น้องทหารจำนวนมาก เพิ่งจะได้เคารพนับถือกันเพียง 3 วันเท่านั้น หากเขาจากไปก็คงจะมิยุติธรรมสักเท่าใดนัก

จะทำเยี่ยงไรดีนะ ?

ในขณะที่เฮ้อซานเตากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อยู่ ๆ ในเมืองเจี้ยนเหมินก็ได้มีเสียงร้องโหยหวนดังลั่นขึ้นมา แสงไฟค่อย ๆ ถูกจุดขึ้น

เอ่อ…เฮ้อซานเตาหยุดฝีเท้าแล้วมองดู หรือว่าด้านในนั้นพวกเขาจะจัดการกันเองเสียแล้ว ?

ช่างดีเสียเหลือเกิน ช่วงนี้น่าเบื่อมากยิ่งนัก ยามราตรียังต้องคอยร้องเพลงอีก !

ก่อนหน้านี้ แม่นางที่หอชุ่ยหงร้องเพลงให้ข้าฟัง แต่บัดนี้ข้ากลับต้องมานั่งร้องเพลงให้พวกทหารกบฏด้านในฟัง เรื่องนี้เฮ้อซานเตารู้สึกมิยินดีเอาเสียเลย เขาอยากจะใช้ดาบใช้ปืนจัดการให้รู้แล้วรู้รอดไป

“จ้าวลี่จู้ ! ”

“ขอรับ ! ”

“จงรีบกลับไปเรียกพี่น้องทหารกองทัพที่สองมา พวกเราต้องชนะ ! ”

จ้าวลี่จู้ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน นี่เป็นการต่อสู้ที่โหดเหี้ยมมากยิ่งนัก ด้านในนั้นคือทหารกองทัพชายแดนตะวันตกซึ่งเป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและมีจำนวนมากถึง 150,000 นาย พวกเรามีทหารใหม่เพียงแค่ 100,000 นาย…คุณชายมั่นใจว่าจะสำเร็จเยี่ยงนั้นหรือ ?

อีกอย่าง ท่านแม่ทัพเฟ่ยอันเป็นแม่ทัพใหญ่ของที่นี่ ด้านในนั้นคาดว่าจะเกิดการต่อต้านของทหารขึ้น เรื่องนี้มิควรให้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดการหรอกหรือ ?

การที่ท่านกระทำเช่นนี้ หากเมื่อถึงเวลาถูกแม่ทัพใหญ่ลงโทษฐานกระทำการตามอำเภอใจขึ้นมาแล้วล่ะก็ เขาอาจจะตัดศีรษะของท่าน !

“คุณชาย…เรื่องนี้ต้องรายงานแม่ทัพใหญ่เสียก่อน”

“มิต้อง ทหารตั้ง 400,000 นาย เจ้าว่าพวกเราจะได้ส่วนแบ่งสักเท่าใดกันเชียว ? เจ้าโง่หรือเยี่ยงไร เร็วเข้า ให้ตายเถอะ ! ศัตรูเหมือนจะเปิดประตูเมืองแล้ว เร็วเข้า ! ”

จ้าวลี่จู้ไม่รู้ว่าจะทำเยี่ยงไรจึงขี่ม้ากลับไปยังค่ายทหาร แล้วปลุกทหารกองทัพที่สองซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ขึ้นมา

เฮ้อซานเตานำกองทัพทหารจำนวน 50,000 นายยืนอยู่ด้านนอกเมืองเจี้ยนเหมิน ในมือของเขาถือดาบเตรียมพร้อมสู้ทุกสถานการณ์

แต่ทว่าประตูนั้นกลับมิเปิดออกมา จึงทำให้เฮ้อซานเตารู้สึกแย่ขึ้นมาเล็กน้อย ด้านในเกิดเรื่องอันใดกันแน่ ?

……

……

ยามจื่อ ในราตรีนี้

โต้วโค่ว เชียนฟูจ่างแห่งกองพันเหมิงหู่ จังเจิ้งตง เชียนฟูจ่างแห่งกองพันเชอฉี และหวังเฟิง เชียนฟูจ่างแห่งกองพันอินทรีเป็นหัวหน้าต้น และเชียนฟูจ่างทั้งสิบสองนายได้ยกธงแห่งความชอบธรรมเดินตามไป เสียงฝีเท้าของทหารจำนวน 90,000 นายดังสนั่นหวั่นไหว

ก่อนหน้าที่จะลงมือกระทำการ พวกเขาได้วางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้เมื่อ 3 ชั่วยามที่แล้ว โต้วโค่วได้ส่งข้อความไปให้เฟ่ยอันผ่านทหารรักษาการณ์ที่ประตูเมืองว่า

“พวกข้าเหล่านี้คือทหารของราชวงศ์หยู ทว่าได้ถูกบีบบังคับจากกบฏจึงได้ร่วมกระทำผิดในครานี้ด้วย ในวันนี้พวกข้าได้ฟังคำกล่าวของท่านฟู่เจวี๋ยเยจึงทำให้พวกข้าตาสว่างขึ้นมา พวกข้านั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำตัวกบฏเซวี๋ยมาเพื่อไถ่โทษให้จงได้ ขอท่านแม่ทัพใหญ่บอกกับฟู่เจวี๋ยเยว่าให้ทำตามสัญญาด้วย เมื่อถึงเวลาแล้ว จงให้โอกาสพวกเราในการเริ่มต้นชีวิตใหม่

ราตรีนี้ ยามจื่อ พวกข้าจะเริ่มลงมือจับตัวกบฏ และเปิดประตูทางทิศใต้ เชิญท่านแม่ทัพนำทหารเข้ามาจัดระเบียบในเมืองเจี้ยนเหมิน และเพื่อแยกให้ออกว่าผู้ใดคือศัตรู ทหารภายใต้บัญชาของพวกข้าจะใช้ผ้าสีแดงผูกแขนเอาไว้ ขอท่านแม่ทัพใหญ่โปรดแยกให้ออกด้วย โต้วโค่ว จังเจิ้งตง… ทหารแกนนำ ! ”

“พวกเขาจะมีอุบายหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วตอบว่า “ส่งทหารดาบเทวะเข้าไป จงให้ทหารจำนวน 100,000 นายรอรับอยู่ที่หน้าประตูเมือง ส่วนอีกสามประตูจงปิดล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันมิให้เซวี๋ยติ้งชานหนีรอดไปได้”

อีก 1 เค่อจะถึงยามจื่อ ฟู่เสี่ยวกวน สวี่ซินเหยียน ซูเจวี๋ย และซูม่อ ได้นำกองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามมายังนอกประตูเมืองทางทิศใต้ เดิมทีที่นี่มีทหารกองหนึ่งดูแลอยู่

เฟ่ยอันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงส่งองครักษ์ไปยังค่ายทหารของกองสอง หวังจะให้ทหารจากกองสองจำนวน 50,000 นายไปยังประตูเมืองทิศใต้ แต่คาดมิถึงว่าทหารองครักษ์จะกลับมารายงานว่ากองสองว่างเปล่ามิเหลือผู้ใดอยู่ในค่ายเลยแม้แต่คนเดียว

เจ้าเฮ้อซานเตานำทหารกองสองไปที่ใดกัน ?

เฮ้อซานเตามิได้รู้เรื่องเหล่านี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงนำทหารจำนวน 100,000 นายไปยืนรออยู่ที่ประตูเมืองตะวันตกอย่างโง่ ๆ พวกเขามิรู้ด้วยซ้ำว่ากองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามได้เข้าไปในเมืองเจี้ยนเหมินเรียบร้อยแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด