นายน้อยเจ้าสำราญ 91 ชิงตัวคุณหนูต่ง

Now you are reading นายน้อยเจ้าสำราญ Chapter 91 ชิงตัวคุณหนูต่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 91 ชิงตัวคุณหนูต่ง

ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ชราก็กลับมายังเรือนหลัง

“ฮูหยินเจ้าค่ะ ชายหนุ่มผู้นั้นออกไปแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินต่งแย้มยิ้ม “เจ้าดูสิ ใจดวงนั้นยังมิมั่นคงพอเลย ไปได้ก็ดี ไปให้ไกลที่สุดได้ยิ่งดี!”

……

…..

คืนนี้เป็นคืนเดือนดับและลมบนสูง เหมาะแก่การ… ชิงตัว !

ฟู่เสี่ยวกวนและซูม่อมาถึงเรือนด้านหลังของจวนต่งอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เขาชี้ไปยังด้านใน ซูม่อพยักหน้า คลุมด้วยผ้าสีดำผืนหนึ่ง ดีดร่างขึ้นไป และตกลงด้านบนกำแพง หลังจากนั้นก็ดีดร่างขึ้นไปอีกครา และตกลงมาบนหลังคา

เขาเดินไปบนหลังคาอย่างเงียบงันราวกับแมวตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็คุกเข่าลง และเปิดกระเบื้องออกหนึ่งแผ่น ก่อนจะลอบมองลงไปทางเบื้องล่าง

มิใช่ ในห้องนั้นมีเพียงชายหญิงคู่หนึ่ง ชายผู้นั้นอายุอานามประมาณ 20 ปีได้ หญิงสาวผู้นั้นคือฮูหยิน ดูแล้วอายุอานามประมาณ 40 ปีได้

ในตอนที่เขากำลังจะออกไป กลับได้ยินเสียงดังออกมา “ท่านแม่ น้องสาวได้มอบหัวใจให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นแล้ว อันที่จริงฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นก็มิได้เลวร้าย ท่านเองก็เคยอ่านความฝันในหอแดงเล่มนั้นที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ ท่านเองก็รู้จักทำนองเพลงสายน้ำบทนั้นของเขา…”

สตรีผู้นั้นเอ่ยแทรกคำพูดชายผู้นั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ต่างเป็นชื่อเสียงจอมปลอมทั้งสิ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของเจ้าผ่านความยากลำบากมาเท่าใดก่อนที่จะได้นั่งในตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังเฉกเช่นในวันนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายนอกที่ยิ่งใหญ่ของจวนต่งนี้กลับมิมีรากฐานอันใด”

สตรีผู้นั้นถอนหายใจ “วันนี้ถึงแม้เจ้าจะอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยน แต่เจ้าก็เป็นเพียงจู่เป๋า[1]ตำแหน่งเล็กๆ ในกั๋วจื่อเจี้ยน น้องชายของเจ้ามิได้ความยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก เคอชิวเหวยกำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว แต่เขาเล่า เจ้าบอกข้ามาว่าเขาอยู่ที่ใดในตอนนี้?”

“และในวันนี้บิดาของเจ้าก็มีอายุมากขึ้น หากบิดาของเจ้าเกษียณ ข้าขอถามเจ้า ยังจะมีผู้ใดสนับสนุนจวนต่งหรือไม่ หากไร้ซึ่งการสนับสนุน เจ้าจะยินยอมเป็นจู่เป๋าอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยนไปจนแก่เฒ่ารึ ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงผู้หนึ่ง หากน้องสาวของเจ้าแต่งกับเขา จะมีความสุขอย่างแท้จริงเยี่ยงนั้นรึ เขาสามารถให้อะไรแก่น้องสาวของเจ้าได้บ้าง แต่หากน้องสาวของเจ้าแต่งกับเยี่ยนซีเหวิน หากได้เกี่ยวดองกับตระกูลอัครมหาเสนาบดี หากมีการสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากตระกูลเยี่ยน แม้จะอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยน หลังจากที่ชางกวนเหวินซิ่วเกษียณไป ตำแหน่งจี้จิ่ว[2]ก็จะเป็นของเจ้า”

“น้องสาวของเจ้ากินน้ำมันหมูเข้าไปจนตาบอดแล้ว มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นใส่ยาเสน่ห์อะไรให้นางหรือไม่ ถึงทำให้นางแยกแยะถูกผิดมิได้ หากในตอนนี้มิห้ามนางเอาไว้ ภายภาคหน้าอาจจะต้องมาเสียใจ เมื่อถึงตอนนั้นคงมิทันกาลแล้ว”

ชายผู้นั้นเงียบอยู่เนิ่นนาน จึงได้กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านรีบพักผ่อนนะขอรับ”

สตรีผู้นั้นออกไปแล้ว ซูม่อมองออกไปด้านนอกกำแพงด้วยความเห็นอกเห็นใจ เรื่องเล็กน้อยนี้ของฟู่เสี่ยวกวนราวกับเป็นละครน้ำเน่า

เขาปิดกระเบื้องหลังคา และออกตัววิ่งไปบนกระเบื้องหลังคาอีกเรือนราวกับแมว ยกกระเบื้องออกดู และเป็นต่งชูหลานพอดี

ซูม่อค่อนข้างประหลาดใจ เพราะต่งชูหลานกำลังนั่งเขียนอะไรสักอย่างอยู่หน้าโต๊ะอักษร กำลังบิดขวดสุราและดื่มอึกแล้วอึกเล่า

เมามายแล้วรึ ?

หากเมามายแล้วอาจยุ่งยากได้

ซูม่อหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พับเป็นชิ้นเล็ก ๆ สะบัดออกไปด้วยปลายนิ้ว และตกลงที่เบื้องหน้าของต่งชูหลานอย่างพอดิบพอดี

ต่งชูหลานตกตะลึง ลุกขึ้นและมองไปรอบด้าน นอกจากเสียวฉีแล้วก็มิมีผู้ใด

นางหยิบกระดาษนั้นขึ้นมา เปิดออก ทันใดนั้นก็ตื่นเต้นและค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

อักขระอันเป็นเอกลักษณ์และมิมีใครเหมือนในใต้หล้า เขียนไว้บนกระดาษว่า “ข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว ตอนบ่ายได้มาที่ตระกูลเจ้า แต่มารดาของเจ้าไล่ข้าออกมา ข้าอยากพบเจ้า หากเจ้าก็คิดเช่นเดียวกัน โปรดออกมา เหมือนว่าเจ้าจะถูกกักบริเวณ เยี่ยงนั้นข้าจะให้ซูม่อพาเจ้าออกมา หากตกลงให้เจ้าพยักหน้า หากลำบากก็ขอให้เจ้าส่ายหน้า ข้าจะมิโทษเจ้าแต่อย่างใด”

ต่งชูหลานหัวเราะออกมา แบบนี่ช่างน่าสนใจยิ่งนักมิใช่รึ ?

นางย่อมพยักหน้าอยู่แล้ว

ดังนั้นซูม่อจึงถลาบินลงมาจากหลังคา เสี่ยวฉีตื่นตกใจจวนจะกรีดร้อง ซูม่อพุ่งเข้าไปดังคันศรและจัดการให้เสี่ยวฉีสลบไป

“ข้าน้อย ซูม่อ ได้รับคำสั่งจากคุณชายฟู่ให้มารับคุณหนูออกไป”

ต่งชูหลานย่อมรู้จักซูม่อ นางครุ่นคิด “มาเถิด มาช่วยข้าออกไป”

ทั้งสองอุ้มเสี่ยวฉีไปไว้บนเตียง และห่มผ้าคลุมเอาไว้ “พวกเราจะออกไปเยี่ยงไร?” ต่งชูหลานเอ่ยถาม

“มีทางประตูด้านหลังหรือไม่ ? ”

“มีคนเฝ้าอยู่”

“คุณหนูโปรดนำทาง”

ต่งชูหลานดับไฟตะเกียง และเดินไปยังประตูด้านหลังอย่างเบามือเบาเท้า ซูม่อลงมือจัดการให้ผู้รักษาประตูสลบไปอีกครา เปิดประตูด้านหลังและส่งต่งชูหลานออกไป เขาจึงปิดประตู และบินขึ้นไปบนสันกำแพง

“ชูหลาน !”

“เสี่ยวกวน !”

ซูม่อเบะปาก และมิได้ติดตามเข้าไป

เขาต้องคุ้มกันที่นี่ หากสาวใช้หรือทหารยามตื่นขึ้นมา เรื่องวุ่นวายก็จะถูกเปิดเผยมิใช่หรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลานวิ่งไปตลอดทาง จนมาถึงตรอกหวู่อี้ เรียกรถม้าหนึ่งคัน และบอกว่าไปแม่น้ำฉินหวาย

รถม้ามุ่งตรงไปยังแม่น้ำฉินหวาย ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้มองต่งชูหลานและหัวเราะเสียงดัง

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ต่งชูหลานขัดเขิน ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันพลัน มือของนางยังคงถูกมือของฟู่เสี่ยวกวนกุมเอาไว้ แต่ก็มิได้มีความตั้งใจจะดึงออกมา

ก้มหน้าหลบและกล่าวอ้อมแอ้มออกมา “ น่าเกลียดนัก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวอันใดเพิ่มอีก เขาเพียงมองไปยังต่งชูหลาน รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นความรักที่มีความสุขที่สุด

ต่งชูหลานไหนเลยจะเคยมีประสบการณ์กับสายตาที่ร้อนแรงเยี่ยงนี้ นางมิกล้าเงยหน้า ความสุขบนใบหน้ากลับมิจางหายไป ใจดวงน้อยก็ยังคงเต้นกระหน่ำมิหยุด

“เจ้า… มารดาข้าได้ทำให้เจ้าลำบากหรือไม่ ?” ต่งชูหลานเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“มิได้ กับเรื่องนี้ข้าได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว จึงนั่งอยู่เยี่ยงนั้นทั้งบ่าย เรื่องนี้มิโทษเจ้า เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย”

“อืม”

ต่งชูหลานนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนที่ได้รับท่าทีเย็นชาแต่กลับมิใส่ใจ นางจึงรู้สึกอึดอัดใจ หากบิดามารดาชื่นชอบเขา ก็คงจะดียิ่งนัก

คนผู้นี้กลับมีหนทางเล็กน้อย ด้วยการเรียกให้ซูม่อข้ามกำแพงมา หากมิทำเยี่ยงนี้ ตนเองก็ยังมิรู้ว่าเขามาถึงเมืองหลวงแล้ว

รถม้าได้มาถึงแม่น้ำฉินหวาย ทั้งสองลงมาจากรถม้า กุมมือกันและหยุดยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวาย

แม่น้ำฉินหวายสิบลี้ลมพัดอย่างแผ่วเบา เรือสำเภา 1 ลำบนแม่น้ำลอยไปอย่างเอื่อยเฉื่อย โคมไฟยักษ์สีแดงบนเรือสำเภาถูกแขวนไว้สูง แสงไฟบนเรือสำเภาสว่างไสว เสียงนกกระจ้อยร่ำร้อง นกนางแอ่นเต้นรำลอยมาตามลม เมื่อเทียบกับหลินเจียง ถือว่ารุ่งเรืองกว่ามิรู้ตั้งกี่เท่า

ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือต่งชูหลาน และเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำไปเรื่อย ๆ ในยามนี้ราวกับเวลาได้เชื่องช้าลง การจับมือในครานี้ ราวกับจะยาวนานไปจนกว่าผมทั้งหัวจะเป็นสีขาว

ทั้งสองเดินพลางพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ฟู่เสี่ยวกวนเล่าว่าเดือนเก้าวันที่สิบแปดบิดาได้รับราชโองการให้รับอนุ 5 คน ต่งชูหลานจึงหัวเราะขึ้นมา

ต่งชูหลานเองก็กล่าวว่าครานี้นางลอบออกจากเมืองหลวงไปยังหลินเจียง หลังจากที่กลับมาก็ถูกมารดาสั่งกักตัว คืนนี้คือครั้งแรกที่ได้ออกมาจากจวน

ต่งชูหลานเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนว่าเหตุใดจึงได้มาที่เมืองหลวงอย่างกะทันหัน ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด มิได้กล่าวถึงว่าเพราะเหล่าผู้ประสบภัยเหล่านั้น มันมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น และย่อมมิได้กล่าวว่าต้องการให้ต่งชูหลานไปหาหยูเวิ่นหวิน

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจเรื่องหนึ่งขึ้นมา แทนที่จะหาต้นไม้ใหญ่ไว้ยึดเกาะ มิสู้สร้างต้นไม้ใหญ่ขึ้นมาเองเสียจะดีกว่า

มีเพียงหนทางนี้ที่เขาจะปกป้องตระกูลฟู่ และปกป้องเหล่าหญิงสาวที่เป็นที่รักยิ่งของตนได้

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ? ”

ทั้งสองนั่งลงที่ศาลาริมฝั่งแม่น้ำ ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยถาม

“ข้ากำลังคิด…หากไม่เข้าร่วมการสอบ ยังมีหนทางใดอีกหรือไม่ ที่จะทำให้ข้าได้เป็นขุนนาง ? ”

[1] จู่เป๋า เป็นตำแหน่งข้าราชการระดับเล็ก หรือก็คือเสมียน มีหน้าที่รวบรวมเอกสารและจัดการเอกสารต่าง ๆ

[2] จี้จิ่ว เป็นตำแหน่งข้าราชการระดับสูง หรือก็คือผู้อำนวยการ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด