นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) 204 เรือนจำลับ

Now you are reading นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) Chapter 204 เรือนจำลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 204 – เรือนจำลับ

   

ใต้ดินของอาคารใหญ่หลังหนึ่ง ณ สถานที่ซึ่งไม่เป็นที่ล่วงรู้ ยังมีเรือนจำลับแห่งหนึ่ง 

ที่นี่ว่างเปล่าสุด ๆ มองไปสุดสายตายังไม่มีสิ่งตกแต่งอันใด มีแค่คอนกรีตและเสารับน้ำหนักหลายต้น         

ในพื้นที่ว่างทรงกลมอันใหญ่โตมีเพียงห้องขัง 35 ห้องตั้งพิงกำแพง หน่วยรักษาความปลอดภัยที่พกปืนพกตรงเอว 80 คนลาดตระเวนไปมาระหว่างห้องขัง 35 ห้อง ทางเข้าหนึ่งเหนือหนึ่งใต้สองทางยังมีสุนัขตำรวจจักรกลสิบกว่าตัวยืนนิ่ง ๆ 

สิ่งที่ประหลาดคือ บนอาวุธปืนของคนเหล่านี้ล้วนติดที่เก็บเสียง แถมสิ่งที่หน่วยรักษาความปลอดภัยสวมก็ล้วนเป็นชุดลำลอง ไม่มีคนสวมเครื่องแบบ 

ในห้องขังเงียบสงบไร้สุ้มเสียง ข้างนอกมีชายกลางคนหนึ่งคนนั่งตรงใจกลางที่ว่างหลับตาพักผ่อน 

ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาดังขึ้น ชายกลางคนเหลือบตาอ่านข้อความแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ทุกท่าน จวนจะถึงเวลานัดหมายแล้ว แต่หลี่ซูถงไม่ได้ไปช่วยชีวิตพวกคุณตามเบาะแสที่พวกเรามอบให้ ทางนั้นแม้แต่เงาคนยังไม่เห็นเลย”

ในห้องขัง 35 ห้องเงียบสงัด ไม่มีคนตอบเขา 

บางทีท่ามกลางความเงียบงันต่อกันและกันยาวนานแปดปีนี้ ทุกคนไม่คุ้นเคยต่อการอ้าปากพูดจากันอยู่สักหน่อยแล้ว 

ชายกลางคนคนนั้นเดินมาถึงห้องขังหนึ่ง มองทะลุลูกกรงเข้ามาข้างในแล้วเยาะเย้ยว่า “นี่น่ะเหรอที่พวกคุณเรียกปาว ๆ ว่าเพื่อน?”

ในห้องขัง ร่างอันผอมแห้งติดกระดูกร่างหนึ่งนั่งพิงผนังผมเผ้ายุ่งเหยิง เส้นผมและหนวดเคราอันเกรอะกรังนั้นทำให้คนเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน   

“เฉิงเสี้ยว” ชายกลางคนยิ้มเอ่ย “คุณเคยคิดหรือไม่ว่าเพื่อนที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคุณในปีนั้น แปดปีให้หลังจะละทิ้งคุณ?”

“ข่าวที่พวกคุณให้เขาเดิมก็เป็นของปลอม เขาไม่ไปก็ปกติมาก” เสียงอันแหบพร่าของเฉิงเสี้ยวดังขึ้น 

เขาไม่ได้พูดจามานานเกินไปแล้ว ดังนั้นสำเนียงฟังแข็ง ๆ อยู่บ้าง 

บนผนังห้องขังอันมืดทึบนี้ถูกเฉิงเสี้ยวใช้เล็บสลักเป็นตัวหนังสือถี่ยิบ เนื่องจากตัวอักษรหนาแน่นจนเกินไปจึงอ่านไม่ออกเลยว่าเขียนอะไร 

เพียงสามารถดูออกว่าคนคนหนึ่งใช้เจตจำนงไปต่อต้านความโดดเดี่ยวได้อย่างไร   

ชายกลางคนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่ ๆๆ ด้วยนิสัยในอดีตของเขา ถึงจะเป็นแค่เบาะแสปลอมก็จะต้องไปดู เฉิงเสี้ยว เขาก็ถูกกักขังมาแปดปีแล้ว ระยะเวลาแปดปีนี้เพียงพอที่จะลบความคมกล้าของคนคนหนึ่ง ทำลายจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง”

เฉิงเสี้ยวหัวเราะอย่างยากลำบาก “คุณผิดแล้ว”

“ผมผิดตรงไหน?”

“ถ้าความคมกล้าของเขาถูกลบ ถ้าเขาไม่แยแสพวกเรา งั้นเขาก็ออกจากคุกนั่นไปแต่แรกแล้ว” เฉิงเสี้ยวกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ถ้าหากเขาไม่ได้แยแสชีวิตของพวกเรา คุณนึกว่าคุกนั่นจะขังเขาได้จริง ๆ เหรอ?”

ชายกลางคนสีหน้าแข็งค้าง เขารู้ว่าสิ่งที่เฉิงเสี้ยวพูดเป็นความจริง         

ชายกลางคนเอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “เขาอยู่ในคุกก็แค่เพื่อปกป้องตัวเอง ถ้าเขาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง เดินออกจากคุกเอง กลุ่มการเงินย่อมมีหนทางต่าง ๆ นานาที่จะฆ่าเขา นี่มันยุคสมัยอะไรแล้ว กึ่งเทพก็ไม่ได้ไร้พ่าย”

เฉิงเสี้ยวลุกขึ้นยืนช้า ๆ เดินไปที่ประตูเหล็กของห้องขัง จ้องมองชายกลางคนผ่านซี่กรงเหล็ก “คุณหวาดกลัวเขา ดังนั้นคุณเน้นย้ำตลอดว่ากึ่งเทพไม่ได้ไร้พ่าย”

ชายกลางคนมองเฉิงเสี้ยวภายใต้เส้นผมและหนวดเคราดกหนาแต่จับจ้องตนเองแล้วสายตาแจ่มใส 

ชายกลางคนยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ผมไม่สนใจจะถกเรื่องจำพวกนี้กับคุณ ผมรู้แค่ว่าถ้าหากคืนนี้หลี่ซูถงไม่ไปช่วยพวกคุณ งั้นพวกคุณก็ไม่มีค่าแล้ว ดังนั้นจะตายหมด”

“คุณกล้าฆ่าพวกเรา?” เฉิงเสี้ยวยิ้มน้อย ๆ กล่าวว่า “ตระกูลเฉินคิดดีแล้วเหรอที่จะแบกรับความเกรี้ยวกราดของกึ่งเทพคนหนึ่ง?”

“โลกนี้ก็ไม่ใช่ว่ามีเขาหลี่ซูถงคนเดียวที่เป็นแรงก์ S” ชายกลางคนเอ่ยเสียงเย็น “แถมขอแค่คนบ้านฉินนั่นยังอยู่ในกำมือพวกเรา หลี่ซูถงก็ยังคงไม่กล้าสู้จนปลาตายแหขาด ตอนนี้ 40 นาทีสุดท้าย ถ้า 40 นาทีหลังจากนี้หลี่ซูถงยังไม่ไปปรากฏตัวในสถานที่ที่พวกเราให้เบาะแสเอาไว้ ผมจะประหารพวกคุณ 35 คนอย่างลับ ๆ ตามคำสั่ง”

“ความตายข่มขู่พวกเราไม่ได้หรอก คุณก็รู้เรื่องนี้แต่แรกแล้วนี่” เฉิงเสี้ยวเอ่ยอย่างสงบนิ่ง         

ชายกลางคนเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “หลายปีนี้ที่ติดต่อกันมา ผมรู้ว่าพวกคุณจิตใจเข้มแข็ง ตอนนี้ผมแค่รู้สึกเศร้าแทนพวกคุณ เพื่อนที่คิดถึงตลอดเวลาของตัวเองถึงกับทิ้งตนเองอย่างไม่ใยดีขนาดนี้ ถ้าเป็นผม ผมจะเสียใจเป็นพิเศษเลย”

เฉิงเสี้ยวหัวเราะขึ้นมา “คนประเภทอย่างคุณไม่สมควรจะมีเพื่อน อีกอย่าง ตอนนี้ผมมีความสุขเป็นพิเศษเลย”

“มีความสุข?” ชายกลางคนยิ้มเย็น “เกรงว่าคุณเสียสติไปแล้วสินะ ทำไมถึงมีความสุข?”

“ผมมีความสุขก็เพราะว่าหลี่ซูถงไม่ไปช่วยพวกผมนี่แหละ” เฉิงเสี้ยวใช้มือทั้งคู่กำซี่กรงเหล็กบนหน้าต่างลูกกรงเหล็ก จับจ้องชายกลางคนตรง ๆ “นี่แปลว่าในที่สุดเขาก็เรียนรู้ความใจเหี้ยมแล้ว เรียนรู้ที่จะไม่เมตตาอีก แปดปีมานี้ผมขบคิดมาตลอดว่าตัวเองผิดตรงไหน สุดท้ายผมคิดได้แล้ว ก็คือแต่ก่อนพวกเราอ่อนแอเกินไป แค่อยากจะแก้ไขปัญหาอย่างสันติ พวกเราเชื่อคำสัญญาของนักการเมือง เชื่อความหน้าซื่อใจคดของรัฐสภา ท้ายที่สุดเลยตกลงมาอยู่ในสถานการณ์นี้ ตอนนี้หลี่ซูถงไม่ถูกพวกคุณหลอกล่อจนหัวหมุน ในที่สุดเขากลายเป็นผู้นำที่เข้าเกณฑ์แล้ว”

เสียงของเฉิงเสี้ยงดังสะท้อนอยู่ในเรือนจำลับอันเวิ้งว้าง 

นักโทษในห้องขังอีก 34 ห้องก็ล้วนทยอยลุกขึ้น มาจับจ้องชายกลางคนเงียบ ๆ อยู่ตรงหน้าลูกกรงเหล็ก 

นายทหารคนนี้ถูกจับจ้องจนขนลุกอยู่ในใจ ในที่สุดกล่าวกับพลทหารโดยรอบว่า “เปิดห้องขังทั้งหมดให้ผม เอาพวกมันมารวมตัวตรงที่ว่างตรงกลาง พอถึงเวลาก็ดำเนินการประหารทันที!”

……

……

นับถอยหลัง 5:15:00

บนถนนใหญ่มี่หลินเมืองหมายเลข 18 ทีมเดินขบวนกำลังมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือช้า ๆ         

จากเช้าถึงเย็น พวกเขานอกจากพักผ่อนเล็กน้อยช่วงเที่ยงแล้ว เวลาอื่น ๆ ล้วนเดินเท้าไปข้างหน้า         

หิมะหนักที่ตกลงมาจากฟากฟ้าทำไมเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเคร่งขรึม

เริ่มแรกตอนที่หิมะหนักตกลงมา ได้ตกลงมาบนพื้นแล้วละลายเป็นน้ำผสมเข้ากับโคลน

นักเรียนคนหนึ่งก้มหน้ามอง รองเท้าของเขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ชุ่มโชกไปแล้ว น้ำหิมะอันเย็นยะเยือกทำให้ถุงเท้าหนาวจนเสียดแทงกระดูก 

เขาเงยหน้ามองไป ค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าเพื่อนนักเรียนคนอื่นก็เป็นเหมือนกัน บางคนขากางเกงเปียกโชกเลยด้วย   

นี่ทำให้การเดินขบวนยิ่งเพิ่มความยากลำบาก 

ระดับอุณหภูมิในอากาศตกลงเร็วมาก พื้นดินก่อตัวเป็นน้ำแข็งอย่างช้า ๆ

เมื่อถึงเวลานี้ เกล็ดหิมะได้ตกลงมาอีกและกองสุมจนกลายเป็นดินแดนสีเงิน

เหล่าผู้เดินขบวนเหยียบไปบนหิมะอย่างระมัดระวัง แต่ยังมีคนที่ลื่นล้มลงกับพื้นเป็นครั้งคราว 

ตอนเช้าตรู่ผู้เดินขบวนมีเรือนหมื่นคน หลังจากหิมะหนักลอยล่องในอากาศ จำนวนคนก็เริ่มลดลงอย่างช้า ๆ 

ในทีมเดินขบวน มีคนอย่างน้อยหนึ่งในสามส่วนที่แค่อยากจะผสมโรงเอาอาหารสามมื้อเท่านั้น พวกเขาไม่เต็มใจจะติดตามเหล่านักเรียนเดินต่อไป 

ดังนั้น คนที่อยากจะผสมโรงเอาข้าวพวกนี้จากไปก่อนใครเพื่อน 

พวกเขาโยนป้ายคำขวัญทิ้งที่ปากตรอกอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ลอกสติกเกอร์บนใบหน้าออก และออกจากการเดินขบวน

ก่อนที่จะไป พวกเขาถึงขนาดรื้อค้นรถเข็นคันเล็กที่บรรทุกอาหารจนเละเทะ 

ต่อจากนั้น ผู้เดินขบวนที่ถูกเหล่านักเรียนกระตุ้นความกระตือรือร้นจำนวนหนึ่งก็เริ่มทนไม่ไหวบ้างแล้ว 

การเดินเท้าอันยาวนานรวมทั้งอุณหภูมิต่ำทำให้คนได้รับความทรมานอย่างเต็มที่ 

พวกเขาหาตัวนักเรียนที่ริเริ่มการเดินขบวน ปั้นเสียงกล่าวว่า “สภาพอากาศวันนี้มันโชคไม่ดีเกินไปจริง ๆ ผมว่าพวกเราน่าจะเปลี่ยนเป็นวันที่อากาศแจ่มใสหน่อย ยังไงวันนี้ก็เลิกไปก่อนไหม?”

นักเรียนลังเลนิดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “แต่พวกเราเดินมาถึงตั้งที่นี่แล้วนะครับ จวนจะถึง 3 เขตบนแล้ว พวกเราจำเป็นต้องให้พวกคนใหญ่คนโตที่นั่นได้เห็นว่าพวกเราสามารถเดินไปถึงที่นั่นได้จริง ๆ!”

ผู้เดินขบวนที่หนาวสั่นเหล่านั้นส่ายหน้ากล่าวว่า “พวกเราเดินตามไปไม่ไหวจริง ๆ หนาวเกินไป คนจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว……ครั้งหน้าจะต้องเดินตามพวกคุณไปสุดทางให้ได้เลย”

ดังนั้น คนพวกนี้ก็จากไปแล้ว

เหล่านักเรียนที่ริเริ่มการเดินขบวนยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ในหิมะ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะหยุดคนเหล่านี้เอาไว้อย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าหยุดพวกเขาเอาไว้จะมีความหมายหรือไม่   

ในหิมะหนัก จมูกของเหล่านักเรียนแดงก่ำจากความหนาว พวกเขาเห็นกับตาว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังยิ่งมายิ่งน้อย พวกเขาก็ยิ่งมายิ่งโดดเดี่ยว   

หิมะฤดูใบไม้ร่วงที่มาอย่างปุบปับนี้ก็เหมือนกับบททดสอบชิ้นหนึ่ง ท้องนภาอันไพศาลเหนือศีรษะนั้นก็อยากจะดูว่าเหล่านักเรียนมั่นคงหรือไม่ 

ท้ายที่สุด นักเรียนที่ตั้งใจเข้าร่วมการเดินขบวนจำนวนหนึ่งก็จากไปแล้ว

กลุ่มหนึ่งหมื่นกว่าคนเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน พวกเขาเดินทางอย่างโดดเดี่ยว ตะโกนคำขวัญปฏิรูปการศึกษาอย่างดื้นรั้นและยืนกรานจนลำคอแหบแห้ง   

นักเรียนหญิงคนหนึ่งหันหน้ากลับไปดูถนนยาวอันเปล่าเปลี่ยนข้างหลัง ตอนที่หันกลับมามุ่งหน้าต่อไปก็อดร้องไห้ไม่ได้ เธอรู้สึกคับข้องใจนิดหน่อย คนพวกนั้นปากก็ร้องว่าอยากจะริเริ่มการปฏิรูปการศึกษาด้วยกัน ทำไมเดินไปเดินมาก็ทิ้งไปแล้วล่ะ 

เธอเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ กลัวจะถูกเพื่อนนักเรียนคนอื่นเห็นเข้า

เวลานี้ ด้านข้างมีคนยื่นมือออกมา ในมือยังมีกระดาษทิชชู่

นักเรียนหญิงเงยหน้าอย่างทึมทื่อ “ยางยาง……”

ยางยางยิ้มเอ่ยว่า “อย่าร้องไห้เลย พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด”

นักเรียนหญิงฟังคำพูดนี้จนอึ้งไป

ยางยางกล่าวว่า “เธอดูสิ พวกเราเดินตามแผนมานานขนาดนี้แล้ว เห็นอยู่ว่าจวนจะถึงสามเขตบนแล้ว นี่ก็เป็นความสำเร็จชนิดหนึ่งนะ ความรุ่งโรจน์ต้อนรับผู้ชมที่หน้าซื่อใจคด พลบค่ำเป็นประจักษ์พยานต่อผู้ศรัทธาที่แท้จริง คนพวกนั้นไปแล้วก็ดี”

นักเรียนหญิงพยักหน้า “ถูก พวกเราจวนจะประสบความสำเร็จแล้ว”

“เธอหิวไหม” ยางยางถาม “ที่ฉันนี่ยังมีของกิน”

นักเรียนหญิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณนะ”

เวลานี้ ทีมหยุดลงกะทันหัน

ตอนที่พวกเขาเดินตามถนนใหญ่มี่หลินจนเกือบจะเข้าสามเขตบน พนักงานสืบสวนคณะกรรมการบริหารความมั่นคงสาธารณะหน่วยหนึ่งก็ขับรถมาขวางหน้าทีมเดินขบวน “พวกเราคือพนักงานสืบสวนคณะความมั่นคงของเขตที่ 3 จำเป็นต้องตรวจสอบใบอนุญาตของพวกคุณ”

นักเรียนชายที่อยู่หน้าสุดมองพวกเขาด้วยสีหน้าซีดเซียว ทุกคนล้วนทราบว่าคนเหล่านี้กำลังจงใจสร้างความลำบากให้ทีมเดินขบวน 

ตลอดทางมานี้ถ้าไม่ใช่อีกฝ่ายตรวจสอบเป็นชั้น ๆ พวกเขาทีมเดินขบวนก็ไม่ถึงขนาดยืนอยู่ในโลกหิมะน้ำแข็งจนตัวแข็งทื่อนานขนาดนั้น

แต่ว่า พวกเขาจำเป็นต้องรับการตรวจสอบ

นักเรียนชายเก็บใบอนุญาตไว้แนบติดตัวตลอด เขาหยิบเอกสารอุ่น ๆ ฉบับนั้นออกมาจากอกเสื้อมอบให้อีกฝ่าย 

ผลคือครั้งนี้พนักงานสืบสวนของคณะความมั่นคงไม่ได้พลิกเปิดมาตรวจสอบเลย ทว่าจู่ ๆ ก็ยื่นไปด้านข้าง

ถัดจากนั้น พนักงานสืบสวนคนหนึ่งก็รับเอกสารแล้วขับรถไปเลย

“เดี๋ยว!” นักเรียนชายตกตะลึงอย่างถึงที่สุด “พวกคุณจะเอาเอกสารไปไหนครับ?!”

“เอกสารอะไร? ผมไม่เห็นเอกสาร” พนักงานสืบสวนตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ตอนนี้ผมสงสัยว่าพวกคุณเดินขบวนผิดกฎหมาย พวกคุณใครเป็นตัวตั้งตัวตี ตามพวกเราไปรับการสอบสวน แน่นอนว่า ถ้าตอนนี้พวกคุณจากไปอย่างทันท่วงที พวกเราสามารถจะไม่ไล่ตาม”

ตอนที่ทีมเดินขบวนจะเข้า 3 เขตบนจริง ๆ อีกฝ่ายก็เริ่มใช้วิธีที่ไร้ยางอายที่สุด   

เหล่านักเรียนพุ่งไปข้างหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว อยากจะฉีกพนักงานสืบสวนของคณะความมั่นคงพวกนี้เป็นชิ้น ๆ

ผลคือ พนักงานสืบสวนของคณะความมั่นคงหลายสิบคนใช้กระบองตำรวจตีพวกเขารัว ๆ นักเรียนกถอยกรูดจนร่วงลงไปในโคลนหิมะท่ามกลางความอลหม่าน อเนจอนาถถึงขีดสุด 

ขณะนี้ ไม่เพียงรองเท้าเปียก แม้แต่เสื้อผ้าก็เปียกแล้ว 

พนักงานสืบสวนคนหนึ่งเอ่ยเสียงเย็นว่า “ไว้หน้าแล้วก็อย่าไม่รักหน้าเลย ถ้ายังไม่แยกย้ายอีกจะจับพวกคุณไปให้หมด ให้พ่อแม่พวกคุณมาประกันตัวทีละคน ถึงเวลา ผมยังอยากจะถามพวกเขาว่าสั่งสอนลูกกันยังไง”

…………………….

 

ตอนที่ 205 – เสียงร้องเพลง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด