[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 27 สินเดิม

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 27 สินเดิม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉู่เหลียนพยักหน้าตอบรับคำขอของพี่สะใภ้ นางย่อมต้องดูแลแม่สามีเป็นอย่างดี แม้จะมีโอกาสได้พบหลิวฮูหยินเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าฉู่เหลียนก็สามารถบอกได้ว่าแม่สามีของนางผู้นี้เป็นผู้ซื่อสัตย์ ใจดี และอ่อนโยนยิ่ง

        หากนางไม่ทำ เฮ่อเหล่าไท่จวินต้องไม่พึงพอใจในตัวนางเป็นแน่ อย่างน้อย ๆ ก็คงไม่ใส่ใจนางเฉกเช่นที่มาเยี่ยมหลิวฮูหยินเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ ทุก ๆ การกระทำของเฮ่อเหล่าไท่จวินล้วนแสดงออกชัดเจน

        เมื่อทั้งคู่เดินเล่นภายในจวนได้พักใหญ่ ก็พากันกลับมายังเรือนชิ่งสี่ ซึ่งเป็นเวลาใกล้เที่ยงพอดี

        เมื่อเหลียวหมัวมัวเห็นนายหญิงทั้งสองมาถึง นางก็เรียกให้สาวใช้ยกสำรับอาหารขึ้นโต๊ะ ในขณะนั้น พี่เลี้ยงพาบุตรสาวทั้งสองของโจวซื่อมานั่งรอที่ห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเฮ่อเหล่าไท่จวินก็มีสาวใช้ค่อย ๆ ประคองมานั่งเช่นกัน

        ไม่นานนักบนโต๊ะกลมก็เต็มไปด้วยจานอาหารมากมาย ทว่าแม้จะยินดีกับอาหารที่ยกมา เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ยังทอดถอนใจ “สตรีทุกนางในจวนเราล้วนมารวมตัวกันแล้ว ยกเว้นแต่มารดาของเจ้า…หากนางแข็งแรงพอจะมานั่งร่วมทานอาหารกับเราได้ก็คงดี!” 

        เมื่อเฮ่อเหล่าไท่จวินกล่าวจบ ทุกคนก็เงียบไป เหลียวหมัวมัวเห็นบรรยากาศดูย่ำแย่จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ฮูหยิน ดูสิเจ้าคะ วันนี้มีคางคกหิมะด้วย!” 

        คางคกหิมะเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ราคาแพงที่สุดเสมือนในยุคปัจจุบันของฉู่เหลียน ทั้งดีต่อผิวพรรณและยังช่วยบำรุงปอด แม้นางจะเป็นนักชิม แต่นางก็ไม่เคยได้เห็นอาหารที่ทำจากคางคกหิมะจริง ๆ มาก่อน เนื่องจากเงินทองที่ไม่ได้มีมากมาย

        ได้ยินเหลียวหมัวมัวกล่าวดังนั้น ฉู่เหลียนก็ตวัดสายตาขึ้นมองถ้วยเคลือบใบเล็กลายกระดองเต่าสีเขียวที่มีอะไรสักอย่างสีดำ ๆ อยู่ครึ่งถ้วย

        ฉู่เหลียน: ………

        นี่คางคกหิมะเรอะ? มุมปากของฉู่เหลียนบิดเบี้ยวอย่างอดไม่ได้ นางน่าจะรู้อยู่แล้ว ดูจากเหตุการณ์ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ นางควรจะเลิกคาดหวังกับครัวของโลกนี้ได้แล้ว ในโลกยุคราชวงศ์อู่เฮงซวยนี่ไม่มีหวังกับอาหารดี ๆ หรอก! นางไม่ควรคาดหวังสิ่งใดเลย อย่างน้อยหากคิดได้เช่นนี้ นางก็จะไม่ผิดหวังซ้ำ ๆ เรื่อยไป

        นางจะไม่สนเลยหากเป็นวัตถุดิบทั่ว ๆ ไป แต่นี่คางคกหิมะเชียวนะ! สิ่งที่ต่อให้มีเงิน ก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ แล้วคนพวกนี้ก็ทำแค่จับมันวางในกระทะแล้วก็…ต้ม? แค่นี้หรอ? แถมยังทำเสียจนกลายเป็นก้อนดำ ๆ ที่ดูไม่น่ากินสักนิด อย่างกับยาพิษ หรืออาหารจากศาสตร์มืดอย่างนี้! ใคร…ใครมันจะไปกล้าทานกัน? 

        ความสนใจของฉู่เหลียนพุ่งขึ้น ก่อนจะดับวูบลงเมื่อเห็นหน้าตาของอาหารที่ทำจากคางคกหิมะ ในตอนนี้นางจึงไร้ซึ่งความปรารถนาที่จะลิ้มรสเจ้าสิ่งนี้ไปแล้ว

        ฉู่เหลียนเอนหลังกลับไปที่เดิม เดี๋ยวคงมีคนอื่นทานไอ้เจ้า ‘อาหารราคาแพง’ นั่นแทนนางเองล่ะ…

        เมื่อเหลียวหมัวมัวพูดถึงอาหารจานเด็ด เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ฟื้นจากความเศร้าอย่างรวดเร็วและส่งยิ้มให้แก่หลานสะใภ้ทั้งสองของนาง “ไทเฮาเป็นผู้ส่งคางคกหิมะเหล่านี้มาให้ นับเป็นอาหารหายากราคาแพงอย่างหนึ่ง สิ่งนี้ดีต่อสตรีนัก เดี๋ยวพวกเจ้าทั้งสองนำไปแบ่งกันก็แล้วกัน” 

        โจวซื่อเคยทานคางคกหิมะมาก่อนและรู้ถึงสรรพคุณของมันเป็นอย่างดี แววตาคาดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ทว่าฉู่เหลียนกลับไม่มีความกล้าที่จะทานไอ้อาหารจานดำ ๆ นี่แม้แต่น้อย

        นางตอบอย่างสุภาพ “คางคกหิมะนี่มีอยู่น้อยนิดนัก เหตุใดท่านย่าไม่ทานเองเจ้าคะ? ร่างกายหลานสะใภ้ยังแข็งแรงดี ยังไม่จำเป็นต้องทานหรอกเจ้าค่ะ!” 

        เมื่อฉู่เหลียนกล่าวเช่นนั้น โจวซื่อก็ไม่มีทางจะรับคางคกหิมะไว้เองคนเดียวได้ นางจึงกล่าวเช่นเดียวกัน

        ทว่าพวกนางย่อมไม่สามารถเปลี่ยนใจเฮ่อเหล่าไท่จวินได้ เหลียวหมัวมัวจึงตักแบ่งคางคกหิมะออกเป็นสามถ้วยเล็ก ซึ่งไม่รวมเด็ก ๆ อีกสองคน เพราะสิ่งนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็ก

        เหลียวหมัวมัวยิ้มขณะส่งถ้วยที่ใส่คางคกหิมะให้ฉู่เหลียน “นายหญิงสามโชคดียิ่งนักเจ้าค่ะ กระทั่งฮองเฮาเองยังได้เสวยคางคกหิมะเพียงปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น ท่านมาได้ถูกเวลาจึงมีโอกาสได้ทานสิ่งนี้ด้วย” 

        ฉู่เหลียนรู้สึกแย่จนอยากจะร้องไห้ นางไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ จริงมั้ย? ไม่มีทางแน่ ถ้าการมาอยู่ตรงนี้หมายถึงการต้องทานเจ้านี่! 

        ในที่สุด เมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว ฉู่เหลียนก็ฝืนกลืนคางคกหิมะสีดำปี๋ลงคอ ให้พูดตรง ๆ ก็คือ รสชาติเลวร้ายสุดประมาณ คางคกหิมะนี้ถูกทอดและต้มนานจนเกินไป ทำให้รสชาติยิ่งเค็มกว่าเดิม สิ่งเดียวที่ลิ้นของนางรับรู้ได้ คือรสจัดของความเค็ม ขณะที่รสชาติดั้งเดิมอื่นของมันหายไปจนเกลี้ยง

        เมื่อทานเสร็จ นางก็รีบซดน้ำซุปที่ไร้รสชาติลงไปล้างคอถ้วยหนึ่ง

        มื้ออาหารที่โถงชิ่งสี่นี้ นับเป็นหนึ่งในความเจ็บปวดที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอ

        ฉู่เหลียนกลืนคางคกหิมะลงไปราวกับมันคือยาขม ทว่ากลับเห็นเฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อต่างดื่มด่ำกับรสชาติของมันอย่างช้า ๆ ทีละคำ พร้อมซดน้ำซุปเต็มปาก ดั่งว่ากำลังทานอาหารแสนอร่อย หากว่านางมิได้เห็นคางคกหิมะที่ดำไหม้เป็นตอตะโกถูกแบ่งเป็นสามถ้วยด้วยตาตัวเอง ฉู่เหลียนคงคิดว่าสาวใช้ยกอาหารคนละอย่างขึ้นโต๊ะเป็นแน่

        นอกจากนี้ ชาที่ยกขึ้นโต๊ะล้วนแต่เป็นเซนฉะ ฉู่เหลียนรู้ดีว่าตนไม่ควรทำตัวให้ผิดแผกไปจากผู้อื่นต่อหน้าเฮ่อเหล่าไท่จวิน ยามนี้จึงอึดอัดยิ่งนัก นางจะขอเครื่องดื่มอื่นก็คงไม่ได้ แต่ท้องของนางเองก็รับเซนฉะลงไปไม่ได้เช่นกัน

        เมื่อทานอาหารเสร็จ เฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อก็รับผ้าเช็ดมือจากสาวใช้ พวกนางต่างเช็ดมือและบ้วนปากอย่างสง่างาม หลังจากนั้นเฮ่อเหล่าไท่จวินก็ต้องการนอนพักกลางวัน ฉู่เหลียนจึงถือโอกาสนี้หลบกลับไปยังเรือนซงเถาของตน

        นางไม่กล้าอยู่นานนัก ด้วยเกรงว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินจะบังคับให้นางทานอะไรที่พิสดารยิ่งกว่านี้

        บ่ายแล้วเฮ่อซานหลางก็ยังไม่กลับมา ฉู่เหลียนที่เดินกลับมาถึงเรือน นางรีบรุดดื่มน้ำเปล่าลงไปสามแก้ว ก่อนจะกลั้วคอต่อด้วยน้ำเกลือ เพื่อกำจัดรสชาติแปลกประหลาดที่ติดค้างอยู่ในปากออก

        หลังจากถูกทรมานอยู่ที่เรือนชิ่งสี่ราวครึ่งวัน ในที่สุดฉู่เหลียนก็ได้พักผ่อน นางเอนกายลงบนเก้าอี้นุ่มข้างหน้าต่าง ผ่อนคลายสบายใจไปกับสายลมเย็น ๆ ของฤดูร้อนที่พัดมาอย่างอ่อนโยน เหมาะแก่การนอนงีบเป็นอย่างยิ่ง

        ฉีเยี่ยนและสาวใช้คนอื่น ๆ เห็นว่านายหญิงตัวน้อยของพวกนางง่วงนอนแล้ว จึงนำเอาผ้าห่มบางเบามาห่มตัวให้ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างเงียบงัน และปล่อยให้ฉู่เหลียนอยู่เพียงลำพัง

        เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ฉู่เหลียนที่งีบหลับก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อยกแขนขึ้นนางก็สังเกตเห็นกำไลหยกแดงบนข้อมือซ้ายของตน พาให้นึกถึงสิ่งที่โจวซื่อเล่าให้ฟังเมื่อเช้า

        นางขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนจะขานเรียกสาวใช้ “ฉีเยี่ยน!” 

        ฉีเยี่ยนเร่งร้อนเดินเข้ามา “นายหญิงสาม มีอะไรจะสั่งบ่าวหรือเจ้าคะ?” 

        ฉู่เหลียนผุดลุกจากที่นั่ง มือขวาขยับเล่นกำไลที่สวมอยู่อีกฝั่ง “ไปเถอะ ข้าอยากเห็นสินเดิมที่อยู่ในห้องเก็บของ” 

        “เอ๊ะ? ท่านอยากดูสินเดิมหรือเจ้าคะ?” ฉีเยี่ยนมิคาดว่าฉู่เหลียนจะถามถึงสิ่งนี้ขึ้นกะทันหัน สินเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกเลือกมาก่อนแต่งงาน ดังนั้นนางจึงเคยดูทุกสิ่งในรายการนั้นแล้ว และย่อมต้องรู้ดีที่สุดว่าสินเดิมของตนมีมูลค่าเพียงใด แล้วเหตุใดจึงยังต้องการดูมันอีกเล่า? 

        “ใช่ ทำไมหรือ? หรือข้าจะดูสินเดิมของตนมิได้?” 

        ฉีเยี่ยนรีบส่ายหน้า “รอสักครู่นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปเอากุญแจห้องเก็บของมาให้

        ฉู่เหลียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยขณะยิ้มและโบกมือไหว ๆ ไล่ฉีเยี่ยน “ไป ไป” 

        ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวสายหลักของจวนอิ้ง แม้จะมิได้เป็นที่โปรดปรานเท่าใดนัก ทว่าจวนอิ้งกั๋วกงก็ยังมอบสินเดิมให้แก่นางก่อนจะตบแต่งเข้าจวนจิ่งอันป๋อที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนไปทั่วเมืองหลวง หากสินเดิมของเจ้าสาวมีน้อยไปก็ย่อมดูไม่ดีเป็นแน่

        ในชาติก่อนนางต้องหาเงินทุกเหรียญด้วยตนเอง แต่เมื่อมายังยุคราชวงศ์อู่นี้ นางโชคดีนักที่ได้ทุกสิ่งมาเป็นของตนโดยที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเดียว แค่คิดก็อารมณ์ดีแล้ว

        ในยุคราชวงศ์อู่นี้ บุตรีที่แต่งออกจะต้องมีสินเดิมของตนบันทึกเก็บไว้ สินเดิมล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพวกนาง แม้ว่าหลังจากนั้นจะหย่าร้างจากสามี สตรีเหล่านี้ก็ย่อมสามารถนำเอาสินเดิมทุกชิ้นกลับไปได้โดยไร้ซึ่งคำถามใด นับเป็นหนึ่งในกฎหมายราชวงศ์อู่ ดังนั้น ยิ่งเจ้าสาวมีสินเดิมติดตัวมามากเท่าใด พวกนางก็ยิ่งได้รับความเคารพนับถือจากบ้านใหม่มากเท่านั้น ในเมืองหลวงอันเฟื่องฟูนี้ จำนวนสินเดิมยังเป็นสิ่งชี้วัดว่าบุตรีผู้นั้นเป็นที่โปรดปรานมากเพียงใดในบ้านเดิมอีกด้วย ยิ่งมีสินเดิมมาก เจ้าสาวย่อมสามารถเชิดหน้าชูตาได้มาก แม้กระทั่งในหมู่ภริยาขุนนางด้วยกัน

        ในนิยายมิได้บอกว่าสินเดิมของฉู่เหลียนมีกี่มากน้อย และเมื่อฉู่เหลียนข้ามมิติมาถึงยุคนี้ในวันงานแต่งพอดี นางยิ่งไม่มีเวลาดูสิ่งเหล่านั้น จึงยังไม่ทราบชัดว่าตนเองมีทรัพย์สินเท่าใดแน่

        ฉีเยี่ยนเดินนำหน้าโดยมีกุ้ยหมัวมัวเดินอยู่ด้านหลังเคียงข้างฉู่เหลียน ทว่าทั้งคู่ต่างก้มหน้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด พวกนางลอบมองฉู่เหลียนที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่บ่อยครั้ง

        เรือนซงเถาอยู่ไม่ห่างจากห้องเก็บของคู่ จึงใช้เวลาไปเพียงไม่นานก็มาถึง

        ฉีเยี่ยนสั่งให้สาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูให้ออกไป และเปิดประตูหนึ่งในห้องเก็บของออกด้วยตนเอง “นายหญิงสาม สินเดิมของท่านส่วนใหญ่อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” 

        ภายในห้องเก็บของนี้มิได้มีแสงมาก ทว่าก็ยังเป็นช่วงเวลากลางวัน ดังนั้นจึงมีแสงสว่างส่องลอดเข้ามาให้ฉู่เหลียนมองเห็นทุกสิ่งด้านใน

        ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่โต มีชั้นวางของเก่าแก่หลายชั้น แต่ละชั้นล้วนว่างเปล่า และมีหีบเปล่าที่เปิดอ้าวางอยู่ทั่วไป บริเวณด้านในสุดของห้องมีหีบสีแดงวางอยู่ตรงมุม เนื่องจากห้องนี้ว่างเปล่า หีบแดงนั้นจึงโดดเด่นสะดุดตายิ่ง

        ทันทีที่นางก้าวเข้าห้อง ฉู่เหลียนก็อดมิได้ให้มุมปากยกขึ้น นางมองไปรอบห้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะหันไปมองกุ้ยหมัวมัว กุ้ยหมัวมัวเองก็หันไปมองฉีเยี่ยนแทบจะในทันที เพื่อให้นางเร่งก้าวออกไปจับแขนของฉู่เหลียนไว้ “นายหญิงสาม เหตุใดท่านไม่นั่งลงตรงนี้ล่ะเจ้าคะ? ประเดี๋ยวบ่าวกับหมัวมัวจะไปนำหีบเหล่านั้นออกมาให้นายหญิงสามดูเอง” 

        ฉู่เหลียนมองฉีเยี่ยนที่หลบตานางอย่างสงสัย ก่อนจะนำนางไปนั่งที่โต๊ะโดยไม่กล่าวสิ่งใด

        หลังจากนั้นกุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนก็นำหีบห้าหกใบมาวางไว้เบื้องหน้า แม้จะเป็นหีบไม้ที่สูงเท่าเอว ทว่าสตรีสองนางกลับสามารถยกมาได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าภายในคงมีของไม่มากนัก

        กุ้ยหมัวมัวส่งรายการที่ม้วนอยู่ในซองหนังสีแดงให้แก่ฉู่เหลียน แล้วจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง “นายหญิงสาม นี่เป็นรายการสินเดิมของท่านเจ้าค่ะ โปรดตรวจสอบดูว่ามีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่” 

        ยามที่ฉู่เหลียนสั่งให้ฉีเยี่ยนไปนำกุญแจห้องเก็บของมานั้น กุ้ยหมัวมัวก็ไตร่ตรองกับตนเองว่าเหตุใดฉู่เหลียนจึงอยากดูสินเดิมของตน สุดท้ายนางก็คาดว่าคงเพราะฉู่เหลียนเกรงว่าจะมีสิ่งใดขาดตกไปกระมัง จึงได้ต้องการตรวจสอบอีกครั้ง

        ฉู่เหลียนยิ้มรับรายการมาเปิดดู ดวงตาดั่งผลชิ่งกวาดนับรายการอยู่ในใจ ดูแล้วมีทั้งสิ้น 99 อย่าง นางลอบพยักหน้า พอใจกับจำนวนเหล่านั้น

        ดังนั้นนางจึงเริ่มอ่านรายการเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงปนตื่นเต้น พร้อมทั้งให้กุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนนำของเหล่านั้นมาให้ตนตรวจดู

        “ฉากกั้นห้องสี่ฤดูอันวิจิตร” ฉู่เหลียนอ่าน

        กุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนลอบมองหน้ากันก่อนจะนำเอาขอบฉากและผืนผ้าฉลุลายออกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าฉู่เหลียน

        ฉีเยี่ยนกล่าวขึ้นอย่างเขินอาย “นายหญิงสาม หากเราประกอบและแยกชิ้นฉากนี้อีกครั้ง ผ้าฉลุลายคงเสียหายเป็นแน่ หากยังไม่ใช้ ยังไม่ประกอบย่อมดีกว่าเจ้าค่ะ” 

        ฉู่เหลียนนิ่งงันไป ทีแรกนางอ่านรายละเอียดในรายการสินเดิมอีกครั้ง ก่อนจะมองสิ่งของเบื้องหน้าตน ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เจ้าของที่มีชื่อหรูหราว่า ‘ฉากกั้นห้องสี่ฤดูอันวิจิตร’ นี้กลับเป็นเพียงผ้าปักฉลุลายกับไม้ทาสีไม่กี่ชิ้น…แม้นางจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องการตีราคาสินค้า ทว่าเพียงมองก็บอกได้ว่าของสิ่งนี้ไม่มีค่าอะไร อย่างมากราคาก็คงไม่ถึงสิบตำลึง

        หลังจากดูของอีกสองสามชิ้นแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่ต่างจากฉากกั้นที่ เหมือนจะหรูหราแต่ไม่ได้มีค่าอะไรทั้งนั้น อาจจะดูสวยงามอยู่บ้าง ทว่าเทียบกับสมบัติแท้ ๆ มิได้เลยแม้แต่น้อย

        ในที่สุดฉู่เหลียนก็คร้านจะดูของทั้งหมด นางโบกมือให้กุ้ยหมัวมัวปิดหีบแล้วเอาไปเก็บเสีย จากนั้นก็นิ่งไปพร้อมกับรายการสินเดิมในมือ

        นางดูรายการสิ่งของอย่างละเอียดแล้ว ในนี้มีอยู่เกือบ 100 อย่าง แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่มีค่าแม้แต่น้อย จากที่กุ้ยหมัวมัวคิด สิ่งเดียวที่มีค่าอยู่บ้างคือตราประทับหยกเหลืองที่นางนำออกมาพกติดตัวไว้ตลอดเวลา

        นอกจากของร้อยอย่างนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก ไม่มีร้านค้า หุ้นส่วน หรือกระทั่งที่ดิน ไม่มีเลย! 

        ฉู่เหลียนหัวเราะขมขื่นในใจ นางคงมิได้โชคดีไปทุกเรื่องเสียแล้ว

        เทียบกับสินเดิมของหลิวฮูหยินแล้ว สินเดิมของนางนับว่าอัตคัดยิ่งนัก

 

                                                               ————————

                              อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                                https://www.kawebook.com/story/6816

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ 27 สินเดิม

Now you are reading [นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ Chapter 27 สินเดิม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉู่เหลียนพยักหน้าตอบรับคำขอของพี่สะใภ้ นางย่อมต้องดูแลแม่สามีเป็นอย่างดี แม้จะมีโอกาสได้พบหลิวฮูหยินเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าฉู่เหลียนก็สามารถบอกได้ว่าแม่สามีของนางผู้นี้เป็นผู้ซื่อสัตย์ ใจดี และอ่อนโยนยิ่ง

        หากนางไม่ทำ เฮ่อเหล่าไท่จวินต้องไม่พึงพอใจในตัวนางเป็นแน่ อย่างน้อย ๆ ก็คงไม่ใส่ใจนางเฉกเช่นที่มาเยี่ยมหลิวฮูหยินเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ ทุก ๆ การกระทำของเฮ่อเหล่าไท่จวินล้วนแสดงออกชัดเจน

        เมื่อทั้งคู่เดินเล่นภายในจวนได้พักใหญ่ ก็พากันกลับมายังเรือนชิ่งสี่ ซึ่งเป็นเวลาใกล้เที่ยงพอดี

        เมื่อเหลียวหมัวมัวเห็นนายหญิงทั้งสองมาถึง นางก็เรียกให้สาวใช้ยกสำรับอาหารขึ้นโต๊ะ ในขณะนั้น พี่เลี้ยงพาบุตรสาวทั้งสองของโจวซื่อมานั่งรอที่ห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเฮ่อเหล่าไท่จวินก็มีสาวใช้ค่อย ๆ ประคองมานั่งเช่นกัน

        ไม่นานนักบนโต๊ะกลมก็เต็มไปด้วยจานอาหารมากมาย ทว่าแม้จะยินดีกับอาหารที่ยกมา เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ยังทอดถอนใจ “สตรีทุกนางในจวนเราล้วนมารวมตัวกันแล้ว ยกเว้นแต่มารดาของเจ้า…หากนางแข็งแรงพอจะมานั่งร่วมทานอาหารกับเราได้ก็คงดี!” 

        เมื่อเฮ่อเหล่าไท่จวินกล่าวจบ ทุกคนก็เงียบไป เหลียวหมัวมัวเห็นบรรยากาศดูย่ำแย่จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ฮูหยิน ดูสิเจ้าคะ วันนี้มีคางคกหิมะด้วย!” 

        คางคกหิมะเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ราคาแพงที่สุดเสมือนในยุคปัจจุบันของฉู่เหลียน ทั้งดีต่อผิวพรรณและยังช่วยบำรุงปอด แม้นางจะเป็นนักชิม แต่นางก็ไม่เคยได้เห็นอาหารที่ทำจากคางคกหิมะจริง ๆ มาก่อน เนื่องจากเงินทองที่ไม่ได้มีมากมาย

        ได้ยินเหลียวหมัวมัวกล่าวดังนั้น ฉู่เหลียนก็ตวัดสายตาขึ้นมองถ้วยเคลือบใบเล็กลายกระดองเต่าสีเขียวที่มีอะไรสักอย่างสีดำ ๆ อยู่ครึ่งถ้วย

        ฉู่เหลียน: ………

        นี่คางคกหิมะเรอะ? มุมปากของฉู่เหลียนบิดเบี้ยวอย่างอดไม่ได้ นางน่าจะรู้อยู่แล้ว ดูจากเหตุการณ์ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ นางควรจะเลิกคาดหวังกับครัวของโลกนี้ได้แล้ว ในโลกยุคราชวงศ์อู่เฮงซวยนี่ไม่มีหวังกับอาหารดี ๆ หรอก! นางไม่ควรคาดหวังสิ่งใดเลย อย่างน้อยหากคิดได้เช่นนี้ นางก็จะไม่ผิดหวังซ้ำ ๆ เรื่อยไป

        นางจะไม่สนเลยหากเป็นวัตถุดิบทั่ว ๆ ไป แต่นี่คางคกหิมะเชียวนะ! สิ่งที่ต่อให้มีเงิน ก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ แล้วคนพวกนี้ก็ทำแค่จับมันวางในกระทะแล้วก็…ต้ม? แค่นี้หรอ? แถมยังทำเสียจนกลายเป็นก้อนดำ ๆ ที่ดูไม่น่ากินสักนิด อย่างกับยาพิษ หรืออาหารจากศาสตร์มืดอย่างนี้! ใคร…ใครมันจะไปกล้าทานกัน? 

        ความสนใจของฉู่เหลียนพุ่งขึ้น ก่อนจะดับวูบลงเมื่อเห็นหน้าตาของอาหารที่ทำจากคางคกหิมะ ในตอนนี้นางจึงไร้ซึ่งความปรารถนาที่จะลิ้มรสเจ้าสิ่งนี้ไปแล้ว

        ฉู่เหลียนเอนหลังกลับไปที่เดิม เดี๋ยวคงมีคนอื่นทานไอ้เจ้า ‘อาหารราคาแพง’ นั่นแทนนางเองล่ะ…

        เมื่อเหลียวหมัวมัวพูดถึงอาหารจานเด็ด เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ฟื้นจากความเศร้าอย่างรวดเร็วและส่งยิ้มให้แก่หลานสะใภ้ทั้งสองของนาง “ไทเฮาเป็นผู้ส่งคางคกหิมะเหล่านี้มาให้ นับเป็นอาหารหายากราคาแพงอย่างหนึ่ง สิ่งนี้ดีต่อสตรีนัก เดี๋ยวพวกเจ้าทั้งสองนำไปแบ่งกันก็แล้วกัน” 

        โจวซื่อเคยทานคางคกหิมะมาก่อนและรู้ถึงสรรพคุณของมันเป็นอย่างดี แววตาคาดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ทว่าฉู่เหลียนกลับไม่มีความกล้าที่จะทานไอ้อาหารจานดำ ๆ นี่แม้แต่น้อย

        นางตอบอย่างสุภาพ “คางคกหิมะนี่มีอยู่น้อยนิดนัก เหตุใดท่านย่าไม่ทานเองเจ้าคะ? ร่างกายหลานสะใภ้ยังแข็งแรงดี ยังไม่จำเป็นต้องทานหรอกเจ้าค่ะ!” 

        เมื่อฉู่เหลียนกล่าวเช่นนั้น โจวซื่อก็ไม่มีทางจะรับคางคกหิมะไว้เองคนเดียวได้ นางจึงกล่าวเช่นเดียวกัน

        ทว่าพวกนางย่อมไม่สามารถเปลี่ยนใจเฮ่อเหล่าไท่จวินได้ เหลียวหมัวมัวจึงตักแบ่งคางคกหิมะออกเป็นสามถ้วยเล็ก ซึ่งไม่รวมเด็ก ๆ อีกสองคน เพราะสิ่งนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็ก

        เหลียวหมัวมัวยิ้มขณะส่งถ้วยที่ใส่คางคกหิมะให้ฉู่เหลียน “นายหญิงสามโชคดียิ่งนักเจ้าค่ะ กระทั่งฮองเฮาเองยังได้เสวยคางคกหิมะเพียงปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น ท่านมาได้ถูกเวลาจึงมีโอกาสได้ทานสิ่งนี้ด้วย” 

        ฉู่เหลียนรู้สึกแย่จนอยากจะร้องไห้ นางไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ จริงมั้ย? ไม่มีทางแน่ ถ้าการมาอยู่ตรงนี้หมายถึงการต้องทานเจ้านี่! 

        ในที่สุด เมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว ฉู่เหลียนก็ฝืนกลืนคางคกหิมะสีดำปี๋ลงคอ ให้พูดตรง ๆ ก็คือ รสชาติเลวร้ายสุดประมาณ คางคกหิมะนี้ถูกทอดและต้มนานจนเกินไป ทำให้รสชาติยิ่งเค็มกว่าเดิม สิ่งเดียวที่ลิ้นของนางรับรู้ได้ คือรสจัดของความเค็ม ขณะที่รสชาติดั้งเดิมอื่นของมันหายไปจนเกลี้ยง

        เมื่อทานเสร็จ นางก็รีบซดน้ำซุปที่ไร้รสชาติลงไปล้างคอถ้วยหนึ่ง

        มื้ออาหารที่โถงชิ่งสี่นี้ นับเป็นหนึ่งในความเจ็บปวดที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอ

        ฉู่เหลียนกลืนคางคกหิมะลงไปราวกับมันคือยาขม ทว่ากลับเห็นเฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อต่างดื่มด่ำกับรสชาติของมันอย่างช้า ๆ ทีละคำ พร้อมซดน้ำซุปเต็มปาก ดั่งว่ากำลังทานอาหารแสนอร่อย หากว่านางมิได้เห็นคางคกหิมะที่ดำไหม้เป็นตอตะโกถูกแบ่งเป็นสามถ้วยด้วยตาตัวเอง ฉู่เหลียนคงคิดว่าสาวใช้ยกอาหารคนละอย่างขึ้นโต๊ะเป็นแน่

        นอกจากนี้ ชาที่ยกขึ้นโต๊ะล้วนแต่เป็นเซนฉะ ฉู่เหลียนรู้ดีว่าตนไม่ควรทำตัวให้ผิดแผกไปจากผู้อื่นต่อหน้าเฮ่อเหล่าไท่จวิน ยามนี้จึงอึดอัดยิ่งนัก นางจะขอเครื่องดื่มอื่นก็คงไม่ได้ แต่ท้องของนางเองก็รับเซนฉะลงไปไม่ได้เช่นกัน

        เมื่อทานอาหารเสร็จ เฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อก็รับผ้าเช็ดมือจากสาวใช้ พวกนางต่างเช็ดมือและบ้วนปากอย่างสง่างาม หลังจากนั้นเฮ่อเหล่าไท่จวินก็ต้องการนอนพักกลางวัน ฉู่เหลียนจึงถือโอกาสนี้หลบกลับไปยังเรือนซงเถาของตน

        นางไม่กล้าอยู่นานนัก ด้วยเกรงว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินจะบังคับให้นางทานอะไรที่พิสดารยิ่งกว่านี้

        บ่ายแล้วเฮ่อซานหลางก็ยังไม่กลับมา ฉู่เหลียนที่เดินกลับมาถึงเรือน นางรีบรุดดื่มน้ำเปล่าลงไปสามแก้ว ก่อนจะกลั้วคอต่อด้วยน้ำเกลือ เพื่อกำจัดรสชาติแปลกประหลาดที่ติดค้างอยู่ในปากออก

        หลังจากถูกทรมานอยู่ที่เรือนชิ่งสี่ราวครึ่งวัน ในที่สุดฉู่เหลียนก็ได้พักผ่อน นางเอนกายลงบนเก้าอี้นุ่มข้างหน้าต่าง ผ่อนคลายสบายใจไปกับสายลมเย็น ๆ ของฤดูร้อนที่พัดมาอย่างอ่อนโยน เหมาะแก่การนอนงีบเป็นอย่างยิ่ง

        ฉีเยี่ยนและสาวใช้คนอื่น ๆ เห็นว่านายหญิงตัวน้อยของพวกนางง่วงนอนแล้ว จึงนำเอาผ้าห่มบางเบามาห่มตัวให้ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างเงียบงัน และปล่อยให้ฉู่เหลียนอยู่เพียงลำพัง

        เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ฉู่เหลียนที่งีบหลับก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อยกแขนขึ้นนางก็สังเกตเห็นกำไลหยกแดงบนข้อมือซ้ายของตน พาให้นึกถึงสิ่งที่โจวซื่อเล่าให้ฟังเมื่อเช้า

        นางขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนจะขานเรียกสาวใช้ “ฉีเยี่ยน!” 

        ฉีเยี่ยนเร่งร้อนเดินเข้ามา “นายหญิงสาม มีอะไรจะสั่งบ่าวหรือเจ้าคะ?” 

        ฉู่เหลียนผุดลุกจากที่นั่ง มือขวาขยับเล่นกำไลที่สวมอยู่อีกฝั่ง “ไปเถอะ ข้าอยากเห็นสินเดิมที่อยู่ในห้องเก็บของ” 

        “เอ๊ะ? ท่านอยากดูสินเดิมหรือเจ้าคะ?” ฉีเยี่ยนมิคาดว่าฉู่เหลียนจะถามถึงสิ่งนี้ขึ้นกะทันหัน สินเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกเลือกมาก่อนแต่งงาน ดังนั้นนางจึงเคยดูทุกสิ่งในรายการนั้นแล้ว และย่อมต้องรู้ดีที่สุดว่าสินเดิมของตนมีมูลค่าเพียงใด แล้วเหตุใดจึงยังต้องการดูมันอีกเล่า? 

        “ใช่ ทำไมหรือ? หรือข้าจะดูสินเดิมของตนมิได้?” 

        ฉีเยี่ยนรีบส่ายหน้า “รอสักครู่นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปเอากุญแจห้องเก็บของมาให้

        ฉู่เหลียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยขณะยิ้มและโบกมือไหว ๆ ไล่ฉีเยี่ยน “ไป ไป” 

        ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวสายหลักของจวนอิ้ง แม้จะมิได้เป็นที่โปรดปรานเท่าใดนัก ทว่าจวนอิ้งกั๋วกงก็ยังมอบสินเดิมให้แก่นางก่อนจะตบแต่งเข้าจวนจิ่งอันป๋อที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนไปทั่วเมืองหลวง หากสินเดิมของเจ้าสาวมีน้อยไปก็ย่อมดูไม่ดีเป็นแน่

        ในชาติก่อนนางต้องหาเงินทุกเหรียญด้วยตนเอง แต่เมื่อมายังยุคราชวงศ์อู่นี้ นางโชคดีนักที่ได้ทุกสิ่งมาเป็นของตนโดยที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเดียว แค่คิดก็อารมณ์ดีแล้ว

        ในยุคราชวงศ์อู่นี้ บุตรีที่แต่งออกจะต้องมีสินเดิมของตนบันทึกเก็บไว้ สินเดิมล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพวกนาง แม้ว่าหลังจากนั้นจะหย่าร้างจากสามี สตรีเหล่านี้ก็ย่อมสามารถนำเอาสินเดิมทุกชิ้นกลับไปได้โดยไร้ซึ่งคำถามใด นับเป็นหนึ่งในกฎหมายราชวงศ์อู่ ดังนั้น ยิ่งเจ้าสาวมีสินเดิมติดตัวมามากเท่าใด พวกนางก็ยิ่งได้รับความเคารพนับถือจากบ้านใหม่มากเท่านั้น ในเมืองหลวงอันเฟื่องฟูนี้ จำนวนสินเดิมยังเป็นสิ่งชี้วัดว่าบุตรีผู้นั้นเป็นที่โปรดปรานมากเพียงใดในบ้านเดิมอีกด้วย ยิ่งมีสินเดิมมาก เจ้าสาวย่อมสามารถเชิดหน้าชูตาได้มาก แม้กระทั่งในหมู่ภริยาขุนนางด้วยกัน

        ในนิยายมิได้บอกว่าสินเดิมของฉู่เหลียนมีกี่มากน้อย และเมื่อฉู่เหลียนข้ามมิติมาถึงยุคนี้ในวันงานแต่งพอดี นางยิ่งไม่มีเวลาดูสิ่งเหล่านั้น จึงยังไม่ทราบชัดว่าตนเองมีทรัพย์สินเท่าใดแน่

        ฉีเยี่ยนเดินนำหน้าโดยมีกุ้ยหมัวมัวเดินอยู่ด้านหลังเคียงข้างฉู่เหลียน ทว่าทั้งคู่ต่างก้มหน้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด พวกนางลอบมองฉู่เหลียนที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่บ่อยครั้ง

        เรือนซงเถาอยู่ไม่ห่างจากห้องเก็บของคู่ จึงใช้เวลาไปเพียงไม่นานก็มาถึง

        ฉีเยี่ยนสั่งให้สาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูให้ออกไป และเปิดประตูหนึ่งในห้องเก็บของออกด้วยตนเอง “นายหญิงสาม สินเดิมของท่านส่วนใหญ่อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” 

        ภายในห้องเก็บของนี้มิได้มีแสงมาก ทว่าก็ยังเป็นช่วงเวลากลางวัน ดังนั้นจึงมีแสงสว่างส่องลอดเข้ามาให้ฉู่เหลียนมองเห็นทุกสิ่งด้านใน

        ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่โต มีชั้นวางของเก่าแก่หลายชั้น แต่ละชั้นล้วนว่างเปล่า และมีหีบเปล่าที่เปิดอ้าวางอยู่ทั่วไป บริเวณด้านในสุดของห้องมีหีบสีแดงวางอยู่ตรงมุม เนื่องจากห้องนี้ว่างเปล่า หีบแดงนั้นจึงโดดเด่นสะดุดตายิ่ง

        ทันทีที่นางก้าวเข้าห้อง ฉู่เหลียนก็อดมิได้ให้มุมปากยกขึ้น นางมองไปรอบห้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะหันไปมองกุ้ยหมัวมัว กุ้ยหมัวมัวเองก็หันไปมองฉีเยี่ยนแทบจะในทันที เพื่อให้นางเร่งก้าวออกไปจับแขนของฉู่เหลียนไว้ “นายหญิงสาม เหตุใดท่านไม่นั่งลงตรงนี้ล่ะเจ้าคะ? ประเดี๋ยวบ่าวกับหมัวมัวจะไปนำหีบเหล่านั้นออกมาให้นายหญิงสามดูเอง” 

        ฉู่เหลียนมองฉีเยี่ยนที่หลบตานางอย่างสงสัย ก่อนจะนำนางไปนั่งที่โต๊ะโดยไม่กล่าวสิ่งใด

        หลังจากนั้นกุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนก็นำหีบห้าหกใบมาวางไว้เบื้องหน้า แม้จะเป็นหีบไม้ที่สูงเท่าเอว ทว่าสตรีสองนางกลับสามารถยกมาได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าภายในคงมีของไม่มากนัก

        กุ้ยหมัวมัวส่งรายการที่ม้วนอยู่ในซองหนังสีแดงให้แก่ฉู่เหลียน แล้วจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง “นายหญิงสาม นี่เป็นรายการสินเดิมของท่านเจ้าค่ะ โปรดตรวจสอบดูว่ามีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่” 

        ยามที่ฉู่เหลียนสั่งให้ฉีเยี่ยนไปนำกุญแจห้องเก็บของมานั้น กุ้ยหมัวมัวก็ไตร่ตรองกับตนเองว่าเหตุใดฉู่เหลียนจึงอยากดูสินเดิมของตน สุดท้ายนางก็คาดว่าคงเพราะฉู่เหลียนเกรงว่าจะมีสิ่งใดขาดตกไปกระมัง จึงได้ต้องการตรวจสอบอีกครั้ง

        ฉู่เหลียนยิ้มรับรายการมาเปิดดู ดวงตาดั่งผลชิ่งกวาดนับรายการอยู่ในใจ ดูแล้วมีทั้งสิ้น 99 อย่าง นางลอบพยักหน้า พอใจกับจำนวนเหล่านั้น

        ดังนั้นนางจึงเริ่มอ่านรายการเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงปนตื่นเต้น พร้อมทั้งให้กุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนนำของเหล่านั้นมาให้ตนตรวจดู

        “ฉากกั้นห้องสี่ฤดูอันวิจิตร” ฉู่เหลียนอ่าน

        กุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนลอบมองหน้ากันก่อนจะนำเอาขอบฉากและผืนผ้าฉลุลายออกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าฉู่เหลียน

        ฉีเยี่ยนกล่าวขึ้นอย่างเขินอาย “นายหญิงสาม หากเราประกอบและแยกชิ้นฉากนี้อีกครั้ง ผ้าฉลุลายคงเสียหายเป็นแน่ หากยังไม่ใช้ ยังไม่ประกอบย่อมดีกว่าเจ้าค่ะ” 

        ฉู่เหลียนนิ่งงันไป ทีแรกนางอ่านรายละเอียดในรายการสินเดิมอีกครั้ง ก่อนจะมองสิ่งของเบื้องหน้าตน ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เจ้าของที่มีชื่อหรูหราว่า ‘ฉากกั้นห้องสี่ฤดูอันวิจิตร’ นี้กลับเป็นเพียงผ้าปักฉลุลายกับไม้ทาสีไม่กี่ชิ้น…แม้นางจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องการตีราคาสินค้า ทว่าเพียงมองก็บอกได้ว่าของสิ่งนี้ไม่มีค่าอะไร อย่างมากราคาก็คงไม่ถึงสิบตำลึง

        หลังจากดูของอีกสองสามชิ้นแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่ต่างจากฉากกั้นที่ เหมือนจะหรูหราแต่ไม่ได้มีค่าอะไรทั้งนั้น อาจจะดูสวยงามอยู่บ้าง ทว่าเทียบกับสมบัติแท้ ๆ มิได้เลยแม้แต่น้อย

        ในที่สุดฉู่เหลียนก็คร้านจะดูของทั้งหมด นางโบกมือให้กุ้ยหมัวมัวปิดหีบแล้วเอาไปเก็บเสีย จากนั้นก็นิ่งไปพร้อมกับรายการสินเดิมในมือ

        นางดูรายการสิ่งของอย่างละเอียดแล้ว ในนี้มีอยู่เกือบ 100 อย่าง แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่มีค่าแม้แต่น้อย จากที่กุ้ยหมัวมัวคิด สิ่งเดียวที่มีค่าอยู่บ้างคือตราประทับหยกเหลืองที่นางนำออกมาพกติดตัวไว้ตลอดเวลา

        นอกจากของร้อยอย่างนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก ไม่มีร้านค้า หุ้นส่วน หรือกระทั่งที่ดิน ไม่มีเลย! 

        ฉู่เหลียนหัวเราะขมขื่นในใจ นางคงมิได้โชคดีไปทุกเรื่องเสียแล้ว

        เทียบกับสินเดิมของหลิวฮูหยินแล้ว สินเดิมของนางนับว่าอัตคัดยิ่งนัก

 

                                                               ————————

                              อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^

                                                https://www.kawebook.com/story/6816

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+