[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง 117 ไฟล์ 13 : แพนโดร่าข้างห้อง [2]
แต่ ก็นะ…
เอาล่ะๆ มันก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะนะ มันรู้สึกเหมือนเธอแค่หลอกฉันเลยแฮะ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะจริงเสมอไปนี่เนอะ น่าจะใช่แหละ
ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันซื้อกับข้าวกึ่งสำเร็จรูปมาจากซุปเปอร์ไว้เป็นมื้อเย็น แล้วก็เดินกลับบ้านในตอนที่ฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว ในที่สุดก็จัดการเอาความรู้สึกตัวเองกลับมาอยู่ใต้การควบคุมได้ซักที
อือ มันก็ควรจะเป็นยังงี้อยู่แล้วล่ะนะ ต่อให้จะเป็นการชดเชยให้กับเรื่องที่ฉันช่วยเธอไว้ก็ตาม มันก็มีขีดจำกัดเรื่องราคาอยู่ดีนั่นแหละ ถ้าแค่ปล่อยให้เธอจัดการไปเลย แล้วพอเธอเลือกมาฉันก็ไม่รับผิดชอบด้วยอีก มีหวังต้องเป็นภาระหนักหัวให้นัตสึมิแน่ อย่างน้อยที่เธอบอกฉันก่อนแบบนี้ก็ยังดีนะ
อืม
แต่ แบบนี้มันก็ยัง…
ไม่รู้สิ อาจจะเพราะฉันหวังว่ามันจะฟรีก็ได้ ผลกระทบจากเรื่องนี้ก็เลยฟาดใส่ฉันแรงขนาดนี้
เรื่องนั้นมันก็กวนใจฉันอยู่ด้วย เพราะตอนที่เธอบอกว่ามีแผนให้เลือกแค่ 100,000 เยน 200,000 เยน แล้วก็ 500,000 เยน ฉันก็เผลอเลือกอันถูกสุดไปก่อนแบบไม่ทันคิดเลย
ก็จริงแหละที่ว่ามันเป็นงบอันเดียวที่คนแบบฉันจะจับต้องได้ แต่มันคือเครื่องมือที่พวกเราต้องเสี่ยงฝากชีวิตเอาไว้ด้วยในโลกเบื้องหลังนี่นา ถึงจุดๆ นี้แล้ว มาขี้เหนียวแบบนี้มันจะดีเหรอ?
สงสัยการจะใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปนี่ สำหรับฉันมันคงยังอีกไกลล่ะมั้ง…
ระหว่างที่เดินไปคิดไป ฉันก็มาถึงอพาร์ตเมนต์ของตัวเองแล้ว
ฉันพักอยู่ห้อง 102 ห้องตรงกลางของชั้น 1 ที่อยู่ 3 ห้อง พอฉันขึ้นบันได้ไปที่โถงทางเดินชั้น 1 รื้อกระเป๋าหากุญแจมาไข ฉันก็เห็นร่างๆ นึงอยู่ใต้แสงไฟหรี่ๆ จากหลอดฟลูออเรสเซนซ์ กำลังพยายามเปิดประตูห้อง 103 อยู่
แหงะ ไม่สบอารมณ์จนเผลอแลบลิ้นออกมาเลยแฮะ จนถึงตอนนี้ ฉันไม่เคยเจอคนคนนั้นเลย
บางทีฉันจะเก็บเรื่องนี้มาคิดมากเกินไปหน่อยนะ แต่การมาเจอเพื่อนข้างห้องคนนึงที่หน้าประตูห้องตัวเองมันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดีนั่นแหละ แต่ถ้าฉันหยุดเดินตอนนี้ ทางนั้นก็ต้องรู้แน่ว่าฉันระแวงเกินไป…
ฉันเดินเข้าไปที่ประตูห้อง พร้อมกับก้าวเท้าช้าๆ หวังว่าเขาจะรีบๆ เปิดแล้วก็รีบๆ เข้าห้องไปซักที แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะตอนที่ทางนั้นเปิดประตูห้องได้ ฉันก็เดินมาถึงหน้าห้องตัวเองแล้ว
ฉันจ้องเขาอยู่แบบนั้น เพราะไม่มีอะไรที่ดีกว่าจะทำ ตอนที่ตั้งใจจะพยักหน้าให้ ฉันก็สังเกตเห็นอะไรแปลกๆ
มือของเพื่อนข้างห้องคนนี้ที่กำลังกำลูกบิดประตูอยู่—ของที่โผล่ออกมาจากปลายแขนเสื้อนั่นน่ะ—มัน… แบนราบเลย
เอ๊ะ!? ฉันเงยหน้าขึ้นมา แต่ตอนนี้ ตัวเพื่อนข้างห้องคนนั้นก็ผ่านช่องประตูหายเข้าไปในห้องแล้ว ประตูปิดตามหลังเขาเงียบๆ แล้วฉันก็ยืนอยู่กลางโถงทางเดินสลัวๆ ตัวคนเดียวแล้วตอนนี้
“หืม…?”
ฉันยืนอยู่ตรงนั้น พินิจพิจารณาประตูอยู่ซักพักนึง ลูกบิดประตูไม่หมุนอีก เสียงอะไรก็ไม่มีมาให้ได้ยินเลย
เหมือนเมื่อกี้ จะเพิ่งเห็นอะไรแปลกๆ ด้วยแฮะ…
ฉันเอียงคอ บิดกุญแจห้องตัวเอง เข้าห้อง แล้วก็ปิดประตู
ล็อกประตูตามหลัง แล้วก็คล้องโซ่เอาไว้ด้วย พอถอดรองเท้าออก ฉันก็เปิดไฟ เดินตัดผ่านห้องครัวไปที่ห้องของตัวเอง
ห้องขนาด 6 เสื่อที่คุ้นเคย กับแสงสลัวๆ ของหลอดฟลูออเรสเซนซ์
ฉันโยนกระเป๋าของตัวเองไปไว้บนเตียง เอาถุงอีกใบจากซุปเปอร์ไปวางบนโจ๊ก ก่อนจะถอดเสื้อโค้ดของตัวเองออกไปแขวนกับไม้แขวนที่ราวผ้าม่าน ถอดถุงเท้าโยนเข้าไปในเครื่องซักผ้า แล้วก็ไปล้างมือในอ่างล้างมือ
พอปิดน้ำเรียบร้อย ฉันก็พยายามตั้งใจฟังเสียง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากห้องข้างๆ เลย
“ฮืม…?”
ฉันเดินกลับมาในห้องตัวเอง นั่งลงที่โต๊ะเตี้ยๆ แล้วก็เอาอาหารที่ซื้อจากซุปเปอร์ออกมา ปลาอาจิคลุกซอสนันบัง สลัดเต้าหู้บดกับถั่วเขียว แล้วก็ข้าวอบเกาลัด ฉันกดต้มน้ำในกาน้ำไฟฟ้าทีฟาว เทใส่ชามกับก้อนซุปมิโซะสำเร็จรูป ก่อนจะเริ่มมื้ออาหารนี้
ถึงเวลาออกไปกินข้าวกับโทริโกะ ฉันจะไม่มาเข้มงวดเรื่องเงินอะไรกับตัวเองหรอก แต่ส่วนใหญ่ เวลาฉันอยู่คนเดียว ฉันก็จะซื้ออาหารลดราคาจากซุปเปอร์มากินนี่แหละ มันเป็นการคุมความเสียหายจากค่าสัมประสิทธิ์เองเกลของฉัน คือฉันมีเตาไมโครเวฟนะ ถ้าจะอุ่นก็ทำได้ แต่ฉันชินกับการกินกับข้าวเย็นๆ แล้ว ด้วยส่วนใหญ่ฉันก็จะกินมันทั้งๆ ที่เย็นๆ แบบนี้นี่แหละ บางที นิสัยที่ติดมาจากตอนมอปลายมันก็ยังอยู่ ไม่หายไปไหนแฮะ
ฉันกินข้าวเสร็จแบบเงียบๆ เอากล่องใส่อาหารไปล้างในอ่าง ล้างน้ำเบาๆ ก่อนจะรวมใส่ถุงสำหรับขยะพลาสติก ตามด้วยล้างชามกับตะเกียบ แล้วก็ผึ่งทิ้งไว้ให้แห้ง พอปิดน้ำ ฉันก็ตั้งใจฟังเสียงอีกรอบ
ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
TN: อาหารเรียบง่าย สไตล์เด็กหอ มาดูกัน
ปลาอาจิ (味 / Horse mackarel / ปลาสีกุน) ในภาษาญี่ปุ่นนี้มาจากคำว่า “อาจิ” ที่หมายถึง “รสชาติ” เนื่องจากรสชาติที่ดีของมัน เป็นปลาเนื้อแน่นมีไขมันแทรกเล็กน้อย นิยมนำมาทำซูชิ, ย่างเกลือ และทอดกรอบ
ส่วนซอสนันบัง (南蛮) หรือซอสทาร์ทาร์ เป็นซอสสีขาวเนื้อข้นรสเปรี้ยวหวาน ทำจากมายองเนสผสมกับไข่ต้มบด, หัวหอม และผักดอง ใช้ราดสเต็ก, ของทอด และอื่นๆ
ค่าสัมประสิทธิ์เองเกล (Engel’s Coefficient) หรือสัดส่วนของรายจ่ายที่ใช้ไปกับอาหาร หมายถึงสัดส่วนของรายจ่ายด้านอาหารจากยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภค กล่าวคือ คนที่มีรายได้ยิ่งน้อย สัดส่วนของรายจ่ายด้านอาหารในยอดการใช้จ่ายของคนประเภทนี้ก็จะยิ่งสูง ในขณะที่คนที่มีรายได้เพิ่มมากขึ้น สัดส่วนนี้ก็จะลดลง สำหรับประเทศที่ยิ่งยากจน สัดส่วนของรายจ่ายเพื่อซื้ออาหารในยอดการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของประชาชนก็จะยิ่งสูง แต่ในทางตรงข้าม หากประเทศใดมีความมั่งคั่ง สัดส่วนนี้ก็จะลดต่ำลงตามเช่นกัน
“…”
ฉันเดินกลับไปที่ห้อง นั่งที่โต๊ะ เปิดโน้ตบุ๊ค เปิดเช็คเว็บไซด์มหาลัย
พรุ่งนี้วันจันทร์แล้ว ฉันมีเลกเชอร์ต้องเข้าด้วย แต่ฉันมั่นใจว่ามีรายงานต้องส่งด้วยแน่ๆ
บางทีก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะ แต่ในฐานะนักศึกษามหาลัยแล้ว ทั้งฉันทั้งโทริโกะก็ต้องใช้เวลามาเรียนเยอะอยู่พอควรเลย
ว่าตามตรง เพราะพวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกเบื้องหลัง การเรียนที่ควรจะเป็นความสนใจหลักของพวกเราก็เลยโดนความกดดันเยอะเลย จนทำเอาฉันคิดว่าบางทีฉันก็น่าจะเลิกๆ เรียนไปซะดีกว่า ถ้าทำแบบนั้น ฉันไปทำงานหาเงินด้วยการเก็บของจากโลกเบื้องหลังเอาก็ได้
แต่คิดๆ ดูแล้วนี่ ฉันก็ไม่ได้เกลียดการเรียนขนาดว่าอยากจะหยุดมันซะวินาทีนี้หรอก แล้วฉันก็จ่ายค่าเทอมไปแล้ว ด้วยอะไรต่อมิอะไรที่ว่ามา ฉันก็เลยยังลากตัวเองไปเรียนได้อยู่
ฉันเปิดรายงานที่เขียนเอาไว้แล้วส่วนนึงขึ้นมา พลางพิมพ์ก๊อกแก๊กที่แป้นพิมพ์อยู่ซักพักนึง มันเป็นการบ้านวิชา ‘ขอบเขตสังคมวิทยา II’ ทำการสรุปว่าระบำบาหลีแบบดั้งเดิมถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นศิลปะการแสดงเพื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างไร ระหว่างที่ฉันนึกถึงเสียงสวด *จัก จัก จัก* ดังต่อเนื่องไม่หยุดในพื้นหลังของวิดีโอระบำเกจักที่ดูในห้องเลกเชอร์ ฉันก็โดนกวดสมาธิอีกแล้ว
…ไม่ใช่จากแค่เรื่องระบำเกจักหรอกที่ทำให้ตั้งสมาธิยาก แต่ในหัวฉันมันวนคิดเรื่องมือของเพื่อนร่วมห้องไม่หยุดเนี่ยสิ
TN: ระบำเกจัก (Kecak) เป็นนาฏศิลป์ฮินดูแบบบาหลีพื้นถิ่นที่พัฒนาขึ้นในทศวรรษที่ 1930 ในเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย มีที่มาจาก [การร่ายรำซังฮียัง] ที่ใช้ในการไล่วิญญาณชั่วร้าย และมีพื้นฐานมาจากเรื่องราวของรามายณะ แสดงถึงเหตุการณ์การสู้รบในรามายณะ ที่ซึ่งพวกลิงซึ่งนำโดยหนุมาน ไปช่วยพระรามต่อสู้กับทศกัณฑ์ ผู้แสดงอาจมีมากถึง 150 คน โดยนักแสดงหลักของเกจักเป็นผู้ชาย ล้อมวงเป็นวงกลม ร้องขานเสียง “จัก” พร้อมทั้งขยับแขนกับขา ตามธรรมเนียมแล้วจะแสดงในปูรา (โบสถ์พราหมณ์ตามแบบแผนของบาหลี และศาสนสถานของผู้นับถือศาสนาฮินดูแบบบาหลีในประเทศอินโดนีเซีย) และหมู่บ้าน
นิ้วของฉันหยุด ก่อนจะวางพาดพักไปบนแป้นพิมพ์
“…อือ มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละ เนอะ?”
ฉันพึมพำพลางหลับตาลง พยายามย้อนนึกถึงเรื่องที่เตะตาฉันในวินาทีนั้น
ข้อมือที่แบนเป็นกระดาษยื่นออกมาจากปลายแขนเสื้อ มีส่วนมันวาวเหมือนโลหะสีดำอยู่บนนั้นด้วย จากการเรียงตัวของเล็บที่ดูสุ่มนั่นมันก็ดูห่วยเกินกว่าจะคิดว่ามันเป็นอวัยวะเทียมได้…
แล้วฉันก็ตาเบิกโพลง ขนลุกเกรียวไล่ไปตามกระดูกสันหลังเลย
ไม่สิ… เดี๋ยวนะ อะไรน่ะ? ฉันเห็นอะไรกันแน่เนี่ย?
ตอนนี้ พอมาคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว เสื้อผ้าของคนคนนั้นก็ไม่ชัดจนแปลกเหมือนกันด้วยนี่ ฉันพยายามนึกดูแล้ว แต่ที่คิดออกก็มีแค่ น่าจะ ออกเป็นของผู้หญิงล่ะมั้ง? ต่อให้คนคนนั้นจะได้ความไม่แยแสเรื่องเพื่อนข้างห้องของฉันไปมากขนาดไหนก็เถอะ แต่คนคนนั้นกลับทิ้งภาพเอาไว้ในหัวฉันได้นิดๆ ด้วยเนี่ยสิ
จะว่าไป มาลองคิดๆ ดูแล้วเนี่ย ตลอดเวลาที่ฉันอยู่ที่นี่มา ฉันไม่เคยได้ยินเสียงอะไรมาจากห้องข้างๆ เลยซักครั้งนี่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันอยู่คนเดียวในอพาร์ตเมนต์ด้วย ฉันก็เลยพยายามเต็มที่ในการระมัดระวังเรื่องเสียงรบกวน ฉันก็เลยเห็นว่าเพื่อนข้างห้องของฉันคนนี้เองก็เงียบเป็นเป่าสากเหมือนกัน คือ ฉันยังได้ยินเสียงทีวี เสียงจานชามกระทบกัน หรือเสียงนู้นเสียงนี้ดังมาจากห้อง 101 อยู่นะ
หลังจากที่พิมพ์รายงานจนเสร็จ (ซึ่งช่วงท้ายๆ มันก็มั่วไปแล้วล่ะนะ เพราะฉันไม่มีสมาธิทำงานเลย) ฉันก็ปิดโน้ตบุ๊ค แล้วก็พยายามตั้งใจฟังอีกรอบนึง
แล้วก็เป็นไปตามคาด ไม่มีเสียงอะไรเลยเหมือนเดิม
ฉันลังเลอยู่หน่อยๆ ก่อนจะตัดสินใจไปหยิบแก้วมาใบนึง แนบมันกับกำแพง แล้วฉันก็เอาหูไปฟังอยู่ข้างๆ
ฉันรู้ดีเลยล่ะว่าเรื่องที่ทำอยู่นี่ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลย แต่ถ้าฉันจะมั่นใจได้ว่าคนที่อยู่ห้องข้างๆ นี่ก็แค่คนเงียบมากๆ เท่านั้นเองเนี่ย แค่นี้ก็คงพอแล้ว ปัญหาคือ… แล้วถ้ามันไม่ใช่ล่ะจะเอายังไง? ฉันรู้สึกว่าตัวเองจำฉากนี้ได้ เหมือนเคยอ่านเรื่องประสบการณ์ของคนอื่นที่ไปเจอมา อย่างการที่มือของเพื่อนข้างห้องดูแปลกๆ ตอนที่เขายื่นออกไปเปิดประตูน่ะ…
ฉันแนบหูตัวเองเข้ากับก้นแก้ว แล้วก็กลั้นหายใจ
ตอนแรก เสียงที่ฉันได้ยินก็มีแต่เสียงเลือดวิ่งมาเลี้ยงใบหูตัวเอง
แต่พอฉันหลับตาแล้วตั้งสมาธิ ฉันก็ได้ยินเสียงอู้อี้ๆ
‘…ไม่’
‘ดึง…’
‘…ใครจะ…’
‘…กำแพง’
หา? ถึงฉันจะฟังไม่ได้ศัพท์ก็เถอะ แต่เสียงนั่นมันเหมือนกับว่าคนหลายๆ คนกำลังคุยกันอยู่ในนั้นเลย
ในเสียงพวกนั้น มีเสียงของแข็งๆ กำลังถูอยู่กับอะไรซักอย่างด้วย ประมาณเสียงลิ้นชักถูกดึงเข้าดึงออก
แล้วเสียงที่ฉันได้ยินก็ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ
‘ไปชินจิระผู้หญิงที่ไหน?’
‘เราต้องมีวัวสลด’
‘เราต้องมี’
‘บางที อาจจะมีวันของคิอุมิที่เป็นคุจิริก็ได้’
ฟังไม่รู้เรื่องเลย มันมีบางส่วนที่เพี้ยนไปหมด ยังกับว่าเป็นภาษาจากคนละโลกงั้นแหละ
ฉันว่าตัวเองเคยฟังใครพูดอะไรแบบนี้มาก่อนนะ มันเหมือนกับตอนที่ผับกลายเป็นพื้นที่คั่นกลาง ก่อนที่เราจะหลงเข้าไปที่สถานีคิซารากิเลย
ตอนนี้ เสียงพวกนั้นก็เบาลงไปจนถึงจุดที่ฉันไม่ได้ยินอะไรแล้ว พวกนั้นแค่หยุดคุยกันเฉยๆ งั้นเหรอ? หรือเพราะบทสนทนาที่ยังคุยกันอยู่นั่นมันเสียงเบาลง?
ฉันแนบหูเข้าไปหาก้นแก้วให้ชิดมากกว่าเดิม
แล้วนั่นแหละ คือตอนที่เรื่องนี้มันเกิดขึ้น
จู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงจากอีกฟากของกำแพง อย่างชัดเจน
—นี่คือผู้หญิงนั่นเรอะ?
—ผู้หญิงนั่นแหละ
—คามิโคชิ
—โซราโอะ
“กรี๊ด…!”
ฉันเด้งออกมาจากกำแพงแรงขนาดที่หงายหลังลงมากระแทกกับพื้นเลย แก้วใบนั้นร่วงตกกลิ้งไปกับพื้นเสื่อทาทามิ
ในคืนที่เงียบสนิทแบบนี้ เสียงนั่นคงจะดังก้องไปทั้งตึกได้เลยล่ะมั้ง แต่ฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดถึงเรื่องพรรคนั้นหรอก
คำพูดนั่น พูดกับฉันชัดๆ พูดแบบปากของคนพูดอยู่ใกล้กับกำแพงเลย
*ก๊อก ก๊อก*
ได้ยินเสียงเคาะด้วย
ฉันหันไปมองที่ประตูทางเข้าของห้อง
ใต้แสงไฟจากห้องครัว ประตูนั่นก็เป็นสีขาวเลย
*ก๊อก ก๊อก*
มีเสียงเคาะดังมาอีกแล้ว
ใครกันน่ะ?
ที่นี่ไม่มีใครที่จะมามีธุระแล้วจู่ๆ ก็มาเคาะประตูห้องฉันในเวลาป่านนี้หรอก ต่อให้มีเรื่องฉุกเฉิน พวกเขาก็คงตะโกนเรียกฉันแล้วล่ะ
หรือก็คือ ฉันไม่ควรจะไปเปิดประตูให้คนหลังประตูตอนนี้แน่ๆ
ดีใจจังที่คล้องโซ่เอาไว้… แต่หลังจากนั้น ฉันก็กังวลเรื่องช่องสอดจดหมายขึ้นมา
แย่ล่ะสิ ไม่อยากให้ทางนั้นมาแอบเปิดช่องแล้วส่องเข้ามาทางนั้นเลย ไปหาอะไรมาปิดไว้ก่อนดีกว่า…
ฉันลุกขึ้นมานั่งในท่าหมอบเหมือนเตรียมวิ่งอย่างระมัดระวัง เพื่อที่จะลุกขึ้นยืนได้ทันทีที่จำเป็น ฉันเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่โยนไว้บนเตียง แล้วก็หยิบมาคารอฟออกมาให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่อยากให้ใครก็ช่างที่อีกฟากของประตูรู้สึกได้ว่าฉันอยู่นี่ ฉันก็เลยหยุดอยู่ที่เดิม รอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่
เวลาผ่านไปแบบนั้น คงซัก 10 นาทีได้ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรมาจากอีกฟากของประตูเลยนะ ห้อง 103 เองก็เหมือนกัน
แล้วอยู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงดังมาจากโถงทางเดิน
เป็นเสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกุญแจ แล้วประตูที่อีกห้องนึงก็เปิดออกและปิดลง ตามมาจากเสียงก้าวเท้าหนักๆ กับเสียงอู้อี้จากทีวี ดูเหมือนคนที่พักในห้อง 101 จะกลับมาที่ห้องแล้วนะ
“ฟิ่ว…”
ฉันถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืน
จากเสียงพวกนี้ แสดงว่าคนที่พักห้อง 101 จะไม่ได้ตกใจกับอะไรเป็นพิเศษนะ ถึงฉันจะยังไม่รู้เลยว่าใคร (หรืออะไร) มาเคาะที่ประตูห้องฉันกันแน่ แต่ฉันก็พอจะตีความได้ว่าสถานการณ์ข้างนอกห้องของฉันตอนนี้มันไม่ได้พิสดารอะไรมากมาย ‘ขนาดนั้น’ แล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะเปิดออกไปดูหรอกนะ
ไม่ว่านั่นจะเป็นใคร แต่เจ้านั่นพูดชื่อของฉันแน่นอน
“บ้าที่สุด…”
ฉันสบถ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? มาถึงบ้านฉันเลยเนี่ยนะ…
พอนึกถึงเกทที่มาเปิดอยู่หน้าบ้านคุณโคซากุระ กับเรื่องที่ห้องของโทริโกะเคยเชื่อมต่อกับโลกเบื้องหลังแล้ว ฉันก็ยอมรับนะว่าเรื่องแบบนีมันก็เป็นไปได้ แต่ว่า… ตอนนี้ พอมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วเนี่ย ก็ยังรู้สึกแย่สุดๆ ไปเลย
ฉันขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะมองไปที่ประตู
“…สำหรับตอนนี้ ฉันควรจะกั้นมันไว้ก่อนดีมั้ยเนี่ย?”
ฉันหยิบม้วนเทปผ้ากาวออกมาจากชั้นเหนืออ่างล้างจาน เดินไปที่ประตูหน้าห้อง แล้วก็ปิดช่องสอดหนังสือพิมพ์เอาไว้เพื่อไม่ให้มันเปิดออกมาได้
ก่อนจะไปปิดไฟ ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ฉันนั่งพิงกำแพงฝั่งห้อง 101 แล้วก็ห่อตัวเองไว้ในผ้าห่มเพราะว่ามันหนาว
ฉันชี้ปากกระบอกมาคารอฟไปที่ห้อง 103 พลางนิ่งคิดอยู่ซักพัก
มันเกิดอะไรขึ้นกับอีกฟากของกำแพงนั่นกันแน่นะ?
ถ้ายิงปืนที่นี่ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
…ก็ต้องมีซักคนเรียกตำรวจมาที่นี่อยู่แล้วล่ะนะ…
ฉันยอมแพ้ ก่อนจะลดปืนลง
ในห้องมืดๆ นี่ ไม่ว่าฉันจะใช้ตาขวาของตัวเองเพ่งดูที่กำแพงนั่นไปมากแค่ไหน ฉันก็มองไม่เห็นเลยว่ามันมีอะไรอยู่ที่อีกฝั่งนึงกันแน่
TN: ดีจริงๆ โดนกันถ้วนหน้าครบทุกคนแล้วตอนนี้ เฮ้อ…
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r
Comments