[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง 150 ไฟล์ 16 : โรงแรมปนตียานัก [1]

Now you are reading [นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง Chapter 150 ไฟล์ 16 : โรงแรมปนตียานัก [1] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Love Hotel Girls’ Party [luhv hoh-tel gurls pahr-tee]

คำนาม, สแลง

หนึ่งในรูปแบบปาร์ตี้ที่มีเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้ แบบที่จัดกันในเลิฟโฮเทล

 

ตัวอย่างการใช้ในประโยคคำพูด: “ได้! ถ้างั้น ไว้กลับไปเมื่อไหร่ก็ไปจัดกันเลย! ไม่ใช่ที่ซากตึกร้างโง่ๆ นี่! ไปงานปาร์ตี้ผู้หญิงที่เลิฟโฮเทลจริงๆ กันเลย!”

“งั้นก็ไปกันเถอะ ไปปาร์ตี้สาวๆ ที่เลิฟโฮเทลกัน เธอกินพวกฮันนี่โทสต์กับอะไรพวกนั้นใช่มั้ยล่ะ? ไม่ใช่ว่าฉันรู้เรื่องพวกนั้นหรอกนะ”

 

 

 

 

 

“คุณเคยเมาจนภาพตัดจำอะไรไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”

 

ฉันถามคุณมิงิวะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในห้องรับรอง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นมาเหมือนกับว่าฉันถามคำถามที่มันคาดไม่ถึงออกไปยังไงยังงั้นเลย

 

“ผมไม่ได้ดื่มขนาดนั้นมาหลายปีแล้วล่ะครับตอนนี้ แต่… ใช่ครับ ผมเคยทำแบบนั้นเหมือนกัน ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว”
“นานมาแล้ว…”
“ประมาณตอนที่ผมอายุประมาณคุณนี่แหละครับ คุณคามิโคชิ อาจจะเด็กกว่านิดหน่อยซะด้วยซ้ำ”
“…ไม่ใช่ว่าตอนนั้นคุณจะอายุต่ำกว่าเกณฑ์แล้วเหรอคะ?”
“ผู้คนในตอนนั้นถึกทนกับเรื่องแบบนั้นกันมากกว่าตอนนี้น่ะครับ แถมมันก็ไม่ใช่ในญี่ปุ่นด้วย”

 

หลังจากตอบกลับมาแบบนั้น คุณมิงิวะก็ยกกาแฟเอสเพรสโซที่มาจากเครื่องชงกาแฟตรงมุมห้องขึ้นจิบ ฉันเองก็ลังเลอยู่ พลางหยิบแก้วของตัวเองขึ้นมาจิบด้วย ซึ่ง มันก็ขมจนไม่อยากจะเชื่อเลย ฉันเอามาช็อตนึงเพราะเคยได้ยินว่ามันเป็นของที่ดื่มได้ด้วยการซัดน้ำตาลลงไปซักปี๊บ แต่ฉันก็ยกธงขาวไปแล้วล่ะ

 

ตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือนมกราแล้ว ฉันมาที่อาคารศูนย์วิจัย DS ที่สถานีทาเมอิเกะ-ซันโนะคนเดียว ไอเดียที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาที่พวกเราจะได้ยึด [ฟาร์ม] เอาไว้จัดการกันเองอย่างการให้พวกเขาจ้างฉันเป็นผู้จัดการพื้นที่นี่ มันก็ได้รับการยอมรับอย่างง่ายดายจนน่าตกใจเลยล่ะ แล้วที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการนั่นแหละ

ออฟฟิศของคุณมิงิวะนี่ทั้งเรียบร้อยทั้งเป็นระเบียบ จนดูเหมือนบ้านตัวอย่างเลย ตรงมุมห้องก็มีมินิบาร์ กับเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ ตู้เย็นหลังเล็กๆ แล้วก็แก้วอีกหลายๆ ใบด้วย

มูลนิธิ―องค์กรส่งเสริมการวิจัย DS―หัวหน้าสำนักงานเลขานุการ คุณมิงิวะ โยอิจิโร่ ผู้ชายลึกลับที่ดูดีในชุดสูทสามส่วนคนนี้ใช้ชีวิตอย่างกินดีอยู่ดีด้วยการระดมเงินจากพวกคนรวยมาในเรื่องอย่างเพื่อการรักษาองค์กรเอาไว้ เขาไม่ใช่แค่มีคอนเนคชั่นส่วนตัวกับคนประสานงานกับกองกำลังเอกชน แต่เขาเองก็ใช้ปืนเป็นด้วย แถมเขายังคุ้นเคยกับการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาอีกต่างหาก ไม่มีทางที่คนๆ นี้จะเป็นคนตรงไปตรงมา ปฏิบัติตัวตามกฎหมายแน่นอน มันน่าฉงนอยู่นะที่คนแปลกๆ คนนี้จะรวมอยู่ในกลุ่มคนที่ฉันรู้จัก―ที่น้อยพอจะเกินนับนิ้วด้วยมือข้างเดียวมานิดหน่อย―ด้วยน่ะ

สัญญาจัดการได้อย่างเร็วเลย แถมยังรวบมาอยู่ประมาณ 3 หน้ากระดาษเอง ตอนแรกก็จะแสดงเงินเดือนของผู้จัดการเอาไว้ ซึ่งกรณีที่เจอเรื่องที่ตัดสินแล้วว่าจำนวนเงินนั้นไม่เพียงพอจะชดเชยกับอันตรายที่ต้องเผชิญ เงินที่ได้ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยนะ จำนวนเงินไม่ได้สูงมากมายอะไรขนาดนั้น (อย่างน้อยก็ในความคิดของฉันล่ะนะ) แต่งานนี้มันก็สร้างขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างจากความคิดหลักลอยของฉันเท่านั้นเองนะ ฉันไม่บ่นอะไรหรอก สำหรับฉันแล้ว การเฝ้าระวัง [ฟาร์ม] เอาไว้เป็นฐานหลักสำหรับการเดินทางสำรวจโลกเบื้องหลังนี่แหละคือเรื่องสำคัญ ถึงฉันก็อยากหาเงินที่ฉันพอจะหาได้ก็เท่านั้นเอง มันแหงอยู่แล้วล่ะ

ระหว่างที่ฉันอ่านรายละเอียดในสัญญา ฉันก็มาเจอหัวเรื่องเกี่ยวกับการเบิกค่าใช้จ่ายที่จำเป็น แต่มาเจอว่าไม่มีเพดานงบเขียนเอาไว้ ฉันไม่อยากจะรีบดีใจด่วนสรุปเรื่องผลประโยชน์ที่ได้นี่ ฉันก็เลยตัดสินใจเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ แล้วถามเขาไป

 

“ตรงนี้มันเขียนไว้แค่ว่า ‘ตัดสินด้วยความสมัครใจทั้ง 2 ฝ่าย’ เอง ไม่มีเขียนตัวเลขเอาไว้ที่มันเจาะจงกว่านี้เหรอคะ?”
“คุณจะเปลี่ยนมันเป็น ‘ในขอบเขตของสามัญสำนึก’ ก็ได้นะครับ”
“ชักไม่แน่ใจแล้วค่ะว่านี่มันคลุมเครือขนาดไหนกันแน่…”

 

ฉันพูดแบบนั้น ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมามอง แล้วก็เห็นคุณมิงิวะมองกลับมาที่ฉันด้วยความรู้สึกที่ดูสนุกอยู่เลย

 

“อะไรเหรอคะ?”
“ผมขอเปลี่ยนเป็นคำถามถามกลับแล้วกันนะครับ คุณคามิโคชิ คุณอยากจะใช้เงินเท่าไหร่เหรอครับ?”

 

ฉันไม่รู้เลยว่าจะบอกยังไงดี ความจริง ฉันก็ตั้งใจจะใช้เงินไปซื้อของนู่นนี่นั่นเต็มเลย แต่ฉันก็ลังเลจะพูดมันออกไปแบบนั้นล่ะนะ

 

“ตอนนี้ฉัน… ยังไม่มีของที่คิดไว้ในใจเท่าไหร่เลยค่ะ”
“พวกเราตัดสินกรอบค่าใช้จ่ายกันได้นะครับ ไม่ว่าจะกรอบงบประมาณที่ใช้ได้ในแต่ละครั้ง หรือกรอบงบประมาณที่ใช้ได้ในแต่ละปี แต่ถ้าเราทำแบบนั้น คุณจะไม่สามารถใช้งบเกินจากนั้นได้อีกเลยนะครับ”

 

ฉันไม่แน่ใจแล้วตอนนี้ว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่

 

“นี่หมายถึง เราสามารถใช้เงินเท่าไหร่ก็ได้ตามต้องการเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ครับ จำนวนเงินนั้นจะตัดสินตามความสมัครใจทั้ง 2 ฝ่าย ครับ”
“เออ…”
“คุณมีเรื่องที่อยากจะทำอะไรซักอย่างกับอาคารนั้นอยู่แล้วสินะครับ”

 

คุณมิงิวะพูดพร้อมกับหรี่ตาลง

 

“หรือบางที ผมควรจะพูดว่า ‘ใน UBL’ จะดีกว่า และพวกคุณก็ไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่คุณทำกัน ผมผิดตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
“เอ่อ ก็…”
“…”
“…คุณรู้อยู่แล้วสินะคะ?”
“ก็ถูกครับ คุณดูรีบไล่พวกเราออกมาแบบที่ผมไม่คิดว่าใครจะทำแบบนั้นกัน”

 

เขาพูดถึงตอนนั้นที่คุณมิงิวะกับคนของเขากลับไปที่ [ฟาร์ม] กับพวกรา ตอนนั้น ฉันเร่งมือเพื่อจะเก็บเกทในตึกพวกนั้นเอาไว้ แล้วก็ให้ทุกคนตรงนั้นกลับกันเลย เว้นแค่ฉันกับโทริโกะ ตอนที่คุณมิงิวะยอมทำแบบง่ายๆ เลยฉันก็โล่งอกนะ แต่ไม่เคยเอะใจคิดถึงเรื่องที่ว่าเขามองฉันออกมาก่อนเลย

ตอนที่ฉันทำตาลอกแลกไปมา คุณมิงิวะก็บอกฉันต่อ

 

“ผมขอขยายความให้ชัดเจนก่อนนะครับ ผมไม่โทษอะไรคุณหรอก คุณไม่ได้เป็นลูกน้องผม แล้วคุณก็ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มวิจัย DS ด้วย ผมไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะบ่นอะไรคุณได้”
“คือ เอ่อ ค่ะ”
“ผมไม่มีความคิดจะปล่อย [ฟาร์ม] เอาไว้โดยไม่ทำอะไรอยู่แล้วครับ และผมก็เชื่อว่าการให้คุณเป็นคนดูแลอสังหานั้นก็เหมาะสมแล้วด้วย เพราะแบบนั้น ผมถึงได้ยินดีกับข้อเสนอของคุณจริงๆ แต่ว่า… ผมอาจจะพูดตรงๆ ซักหน่อย คุณคามิโคชิ ผมไม่ใช่คนที่จะมาปอกลอกกันได้หรอกนะครับ”

 

คุณมิงิวะจะสุภาพอยู่ตลอด พอเขาเปลี่ยนมาพูดตรงๆ แบบนี้ก็ทำเอาตกใจเหมือนกันนะ

 

“ร- เหรอคะ?”
“ครับ ถึงทางเราจะตั้งใจจำกัดพวกคุณเอาไว้ในระดับนึงด้วยสัญญาฉบับนี้ก็ตาม เราก็ไม่ได้มีเจตนาใดๆ ที่จะใช้อำนาจหน้าที่ไปหาผลประโยชน์ของเราในส่วนความรับผิดชอบของพวกคุณเป็นพิเศษหรอกนะครับ คุณคามิโคชิ คุณเป็นคนประเภทที่ไม่พอใจกับการถูกควบคุมสินะ ถ้าเกิดคุณทำตัวหัวอ่อนยอมเชื่อฟังแต่โดยดีล่ะก็ พวกเราคงต้องสรุปแล้วว่าคุณไปทำเรื่องน่ากลัวเข้าตอนที่เราหาตัวคุณไม่เจอนะครับ”
“เออ ไม่… ฉันไม่คิดว่างั้นนะคะ…”

 

ฉันงึมงำออกมา ยังมึนๆ อึนๆ อยู่เลย

การประเมินแบบนั้นมันอะไรล่ะเนี่ย? นี่เขาคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกันนะ?

คุณมิงิวะส่งยิ้มมาให้แบบที่ฉันไม่เข้าใจเลย ก่อนจะว่าต่อ

 

“ถ้าศูนย์วิจัย DS จะลงทุนลงเงินไปกับคนที่เป็นมิตรกับเราแต่ไม่สามารถควบคุมได้ ก็ต้องมีหนทางใดหนทางหนึ่งที่พวกเราจะสามารถติดตามการกระทำได้ครับ… พวกเราคิดถึงวิธีการต่างๆ ออกมาแล้วหลายวิธี จนในท้ายที่สุดก็สรุปได้ว่าการตั้งกรอบงบประมาณเอาไว้คือวิธีที่ได้ผลดีที่สุด”
“เออ… ทำไมคุณถึงไม่ใส่เพดานงบสูงสุดเอาไว้เหรอคะ?”
“ก็ ถ้าเกิดผมได้กรอบงบที่เบิกได้มา ผมก็คงเบิกค่าใช้จ่ายที่จำเป็นมาแบบสูงสุดเต็มวงเงินตลอดเลยล่ะครับ”
“…”
“แต่ว่า ถ้าไม่มีกรอบงบอยู่ล่ะก็ เวลาที่พวกคุณตั้งใจจะใช้เงินก้อนใหญ่ พวกคุณก็จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังมากขึ้น แล้วในแต่ละครั้ง พวกคุณก็ต้องมาปรึกษากับผมก่อน เพราะว่า…”
“…เพราะจำนวนเงินที่เบิกได้นั้นจะตัดสินด้วยความสมัครใจทั้ง 2 ฝ่ายสินะคะ”
“ถูกต้องตามนั้นเลยครับ”

 

ฉันหรี่ตาลงมองไปที่ผู้ชายที่นั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มของคุณมิงิวะที่ตอบกลับมาก็ดูจะกดลึกขึ้นด้วย

 

“ไม่สะดวกเลยใช่มั้ยล่ะครับ?”
“…ค่ะ”

 

เข้าใจซักทีนะฉัน นี่จะจำกัดความสามารถของฉันในการใช้เงินทุนของศูนย์วิจัย DS ภายใต้คำว่างบประมาณทำธุรกิจ แล้วพวกเขาก็ยังสอดส่องฉันได้ด้วยถ้าฉันเลือกจะปรับปรุงภายในอาคารใหม่แบบจริงจัง

ผู้ชายคนนี้ฉลาดเป็นกรดเลย ยอมรับเลยล่ะเรื่องนี้

สีหน้าฉันต้องดูเซ็งสุดๆ แหงเลย เพราะคุณมิงิวะพูดเสริมมาแบบนี้ด้วย

 

“ตรงจุดนี้ ผมพูดค่อนข้างจะเปิดเผยโดยไม่ได้ปิดบังอะไรคุณเลยล่ะนะครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะไปขวางอะไรคุณหรอกนะครับ คุณคามิโคชิ ตรงจุดนั้นคุณสบายใจได้เลย แล้วก็ ในทางกลับกัน ผมเข้าใจนะครับ“
“เข้าใจอะไรเหรอคะ?”
“ในชีวิตของผมเอง ผมก็เคยทำเรื่องแบบเดียวกันนี้มาเหมือนกันครับ”

 

หืม…? อึ้งจนไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไรเลยแฮะ

ก็คือ หลักๆ แล้ว เขาคิดว่าเราเป็นคนแบบๆ เดียวกันงั้นเหรอ? แบบ ฉันเหมือนกับผู้ชายลึกลับที่มีรอยสักอักขระมายันเต็มตัว หน้าตาเหมือนมันสมองของแก๊งยากูซ่า ชำชองในการใช้เงินกับความรุนแรงน่ะเหรอ? มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือน… พวกนอกกฎหมาย ยังไงไม่รู้สิ

ระหว่างที่ฉันยังนิ่งกระพริบตาปริบๆ อยู่ คุณมิงิวะก็ก้มกลับมามองที่กระดาษใบสัญญา

 

“ถ้าตรงนี้เรียบร้อยแล้ว ผมไปที่หัวเรื่องต่อไปเลยนะครับ”
“อ้อ! เออ ได้เลยค่ะ”

 

เราเปลี่ยนเกียร์ แล้วก็ไปต่อจากความช็อกที่ฉันเจอกันได้แล้ว ฉันทบทวนรายละเอียดส่วนที่เหลือในเอกสารสัญญา มันก็เป็นแค่เอกสารสั้นๆ นะ แต่ฉันใช้เวลาไปซักชั่วโมงครึ่งได้เลยมั้ง มันต้องเป็นการหยิบสมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่ออกมาแน่ๆ เลย หลังทำงานเสร็จ มันถึงได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้น่ะ

คุณมิงิวะยื่นเอกสารสัญญาฉบับสำเนาที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมนิดหน่อยมาให้ฉัน ก่อนที่เหมือนกับเขาจะอยู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้พอดี

 

“จะว่าไป แปลกใจเหมือนกันนะครับ ผมคาดเอาไว้ว่าวันนี้พวกคุณทั้งคู่จะมาด้วยกันซะอีก นี่คุณนิชินะมาไม่ได้งั้นเหรอครับ?”
“อ้อ เออ… เรื่องนั้นน่ะ…”

 

ฉันเริ่มลังเลยแล้วที่จะพูดอะไรต่อไปมากกว่านั้น

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็จำไม่ได้น่ะค่ะ”
“จำ… ไม่ได้? ก็ เป็นเรื่องที่ชวนให้ไม่สบายจริงๆ นะครับ”

 

คุณมิงิวะขมวดคิ้วเข้ามา ฉันก็เลยรีบส่ายหน้าบอกเขาไป

 

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ… น่าจะนะ”
“แต่ว่า…”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ…”

 

ถึงตอนที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น ฉันอาจจะไม่ได้ดู ‘ไม่เป็นไร’ เลยซักนิดก็เถอะ คุณมิงิวะถึงกับจัดท่านั่งตัวเองใหม่เลยล่ะ

 

“ถ้าช่วยอะไรได้ ผมช่วยให้คำแนะนำได้นะครับ หรือคุณอยากคุยกับทีมแพทย์ของเรามากกว่า?”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ… ไม่ใช่อะไรแบบนั้น…”

 

ฉันอึกอักอยู่พักนึง จนในที่สุดก็ตัดสินใจแบเรื่องนั้นออกมา แล้วก็ถามเขาไป

 

“คุณเคยเมาจนภาพตัดจำอะไรไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”

 

TN: เนี่ย กินเหล้า อย่าให้เหล้ามันกินเราสิ โธ่~

ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด