[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง 82 ไฟล์ 10 : คุณซันนุกิและคุณคาราเทก้า [1]
“ดูยาวขึ้นเยอะเลยนะ โซราโอะ”
โทริโกะที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดกับฉันหลังจากที่รถไฟกึ่งด่วนไปสถานีฮันโน เพิ่งจะออกจากสถานีอิเคบุคุโระมาได้ไม่นานเท่าไหร่
“หือ? จะหมายถึงส่วนสูงของฉันหรือเปล่า?”
“ฉันหมายถึงผมเธอน่ะ”
โทริโกะยกมือขวาของเธอขึ้นมาจะแตะหัวของฉัน แต่ฉันก็โยกหัวหลบ ก่อนจะตอบกลับไป
“ก็ไม่ได้ตัดมาซักพักแล้วนี่นา ครั้งล่าสุดก็น่าจะตั้งแต่ก่อนเจอเธออีกมั้ง”
“งั้นก็ ซักครึ่งปีได้แล้วสินะ?”
“ก็คงงั้น? ฉันว่าฉันชักจะเริ่มรำคาญแล้วเหมือนกัน ตัดออกหน่อยก็ดีมั้ง?”
“ฉันว่าแบบนี้ก็ดูดีอยู่แล้วนะ”
“พูดจริงเหรอ?”
“ผมเธอเป็นสีดำเป็นมันเงาเลย ถ้าปล่อยให้ยาว ฉันมั่นใจเลยล่ะว่าเธอต้องดูน่ารักแน่นอน”
ฉันไม่ใช่คนที่มั่นใจเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเองหรอก แต่ได้ยินแบบนั้นจากโทริโกะก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ
“ง- งั้น บางที ปล่อยให้ยาวกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกัน”
“อื้ม ต้องออกมาดูดีแน่นอนเลยล่ะ”
โทริโกะยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้
ว่าตามตรง ทุกทีที่โทริโกะชมฉันเรื่องรูปร่างหน้าตา มันก็มีความรู้สึกซับซ้อนยังไม่รู้เข้ามา มันชัดสำหรับฉันอยู่แล้วล่ะว่าถ้าพวกเรา 2 คนนั่งอยู่ข้างๆ กันแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครมอง ยังไงเธอก็เป็นคนที่สวยอยู่แล้ว ขนาดเจ้าตัวยังรู้เลยว่าตัวเองเป็นคนสวยเหมือนกัน
แต่เธอก็พูดชมฉันอย่างไม่ลังเลเลย…
ระหว่างที่ฉันนิ่งคิดไป พลางเหลือบสายตาไปมองข้างๆ โทริโกะก็สังเกตเห็น แล้วจ้องเข้ามาที่ตาของฉันตรงๆ เลย
“อะไรเล่า!?”
“ก็เปล่าหนิ”
ฉันหลบสายตาหนีมา นี่ก็หลายเดือนแล้วนะนับจากที่พวกเราเจอกันครั้งแรก แต่ฉันก็ยังไม่ชินซักที มันมีคนเคยพูดไว้ว่า [อยู่เคียงข้างสาวงาม สามวันผ่านก็ชินชา]
แต่เรื่องนั้นน่ะโกหกทั้งเพ มีแต่คนที่ไม่เคยเจอคนสวยจริงๆ เท่านั้นแหละถึงจะพูดแบบนั้นได้น่ะ
วันนี้โทริโกะใส่เสื้อเชิ้ตคอวีสีขาวกับกางเกงยีนเดนิมสีอ่อน เสื้อแจ็กเกตสีเทา แล้วก็รองเท้าผ้าใบ เป็นเสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่การที่โทริโกะใส่ออกมาแล้วดูดีขนาดนี้เนี่ยขี้โกงจังเลย ฉันใส่แค่เสื้อกีฬาแขนยาวลายทาง เสื้อสเวตเตอร์ถักสีเขียว กางเกงสีน้ำเงินเข้ม แล้วก็กางเกงผ้าใบเหมือนกัน
ตั้งแต่ตอนที่เราเจอยามาโนเกะมา ก็ผ่านมาประมาณเดือนนึงแล้ว จากตอนนั้น เราก็เข้าไปที่โลกเบื้องหลังกันอีก 3 รอบ
หลังจากที่พวกเราใช้ AP-1 ย้ายจากเกทที่บ้านของคุณโคซากุระไปที่เกทตรงจิมโมโจแล้ว พวกเราซื้อเสาหลักไม้เลื้อยที่ใช้ปักในสวนมาปักที่โลกเบื้องหลังเพียบเลย แล้วก็พันเทปฟลูออเรสเซนต์เอาไว้ตรงปลายให้มันเด่นเข้าไปอีก อย่างน้อยก็เพื่อรักษาเส้นทางปลอดกลิตช์เอาไว้ให้พวกเราเองนั่นแหละนะ ทางด่วนที่พวกเราสร้างขึ้นมาเอง
‘แต่ก็เป็นไปได้นี่นาที่กลิตช์มันอาจจะขยับก็ได้ หรือไม่ก็มีอันใหม่ผุดขึ้นมาเพิ่มอะไรแบบนี้?’
ประเด็นที่โทริโกะยกขึ้นมานั่นมันก็จริงนะ แต่ฉันอยากจะทำแบบนี้นี่―สุดๆ เลยด้วย อันที่จริง ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะก่อเป็นอิฐไปเลยด้วยซ้ำ ฉันอยากจะสำรวจแล้วออกเดินทางตั้งแต่ตอนที่เจอกับโลกเบื้องหลังนี่แล้ว นี่ก็เป็นก้าวแรกไงล่ะ
ฉันฝันอยากจะสร้างสถานที่ซักที่นึงเอาไว้เพื่อตัวเองคนเดียวในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี่นะ ความฝันอันนั้น ตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปนิดหน่อยแล้ว―ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวแล้ว แต่เป็นทั้งโทริโกะทั้งฉันเอง สถานที่ของพวกเราเองน่ะ
‘พวกเราไม่ตั้งชื่อถนนนี่หน่อยเหรอ?’
โทริโกะถามขึ้นระหว่างที่พวกเรามองลงไปที่เทปฟลูออเรสเซนสะท้อนแสงแดดขึ้นมาจากพื้นข้างล่างจากบนหลังคาดาดฟ้าที่โครงตึก ตอนนั้นคือการออกสำรวจครั้งที่ 3 ของพวกเรา กำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านกันพอดีเลย
‘ตั้งชื่อ?’
‘ทางด่วนก็ต้องมีชื่อสิว่ามั้ย? อย่างโทไคโด เส้นทางสายไหม ถนนโรมัน หรือรูท 66…’
‘ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลยแฮะ’
‘ถ้างั้น ก็เอาคันจิตัวนึงจากชื่อของพวกเรามาแล้วกันนะ ก็จะเป็นถนนโซราโทริ (空鳥)-…’
‘เหอะ ไม่เอาด้วยหรอก’
‘ไหงงั้นล่ะ!?’
TN: 東海道 (Toukaidou) แปลโดยคร่าวๆ ได้ว่า “เส้นทางเดินเรือตะวันออก” เป็นเส้นทางที่สำคัญที่สุดใน 5 เส้นทางในสมัยเอโดะในญี่ปุ่นซึ่งเชื่อมระหว่างเกียวโตกับเอโดะ(โตเกียวในปัจจุบัน) ปัจจุบันทางเดินโทไคโดเป็นทางเดินขนส่งที่มีการเดินทางมากที่สุดในญี่ปุ่น โดยเชื่อมระหว่างโตเกียว-นาโกย่า-เกียวโต-โอซาก้า
เส้นทางสายไหม เป็นชุดเส้นทางการส่งการค้าและวัฒนธรรมผ่านภูมิภาคของทวีปเอเชียที่เชื่อมตะวันตกและตะวันออกโดยการโยงพ่อค้าวาณิช ผู้แสวงบุญ นักบวช ทหาร ชนเร่ร่อนและผู้อาศัยในเมืองจากจีนและอินเดียไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนระหว่างเวลาหลายสมัย
ถนนโรมัน (via Romana) ในสมัยโบราณ จักรวรรดิโรมันแผ่อาณาเขตกว้างไกลครอบคลุมตั้งแต่คาบสมุทรไอบีเรียทางตะวันตก ถึงดินแดนตะวันออกกลางทางตะวันออก เพื่อความสะดวกในการเดินทาง จึงสร้างถนนโรมันขึ้นเพื่อเชื่อมต่อเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิ ซึ่งทุกสายล้วนมีทิศทางมุ่งสู่กรุงโรมทั้งสิ้น ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ส่วนไหนของแผ่นดินโรมัน คุณสามารถเดินทางมายังกรุงโรมเมืองหลวงได้ทั้งหมด
Route 66 คือถนนไฮเวย์สายประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ลากตัดขวางประเทศ โดยเริ่มจากสุดทะเลฝั่งตะวันตกที่ซานตา โมนิก้าในแคลิฟอร์เนีย ไปสุดที่เมืองชิคาโก รัฐอิลินอยส์ ปัจจุบัน Route 66 ถูกยกระดับกลับมาเป็น “ถนนสายประวัติศาสตร์” (Historic Route 66) หลังจากที่ถูกถอดออกจากระบบทางหลวงของประเทศไปในปี 1985
ฉันพูดต่อโดยทำเป็นไม่เห็นสีหน้าช็อกสุดๆ เลยของโทริโกะเลย
‘เรียกให้มันง่ายๆ เถอะ… อย่างรูท 1 ก็ได้ ตั้งเป็นเกียรติให้ AP-1 ไง มันทำงานช่วยเราหนักสุดๆ เลยด้วย’
‘อืม… ดูง่ายไปยังไงไม่รู้แฮะ แต่ถ้านั่นเป็นเหตุผลเบื้องหลังของเธอล่ะก็…’
โทริโกะงึมงำขึ้นมาพร้อมกับอารมณ์ตกตะลึง
‘โอเค งั้นก็เอาเป็นรูท 1 นะ’
ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในใจฉันเนี่ยมันวิ่งวุ่นไปหมดแล้ว เอาคันจิจากชื่อพวกเรามาตัวนึงเนี่ยนะ? อะไรเนี่ย? แค่คิดก็อายจนไม่รู้ว่าจะว่ายังไงแล้ว…
ก็นั่นแหละ คือสาเหตุที่ถนนเส้นแรกในแผนที่โลกเบื้องหลังของเราถูกเรียกว่า [รูท 1]
การออกสำรวจ 3 ครั้งล่าสุดของพวกเรา เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นหลักก่อน ยังไม่ต้องไปบุกเบิกที่ใหม่ๆ ที่ไหน กลับกัน พวกเราเก็บของที่ดูแปลกๆ ในเส้นทางของพวกเรากลับมาได้ เรื่องนี้น่ะเป็นไปได้สวยเลย เหตุผลก็คือเรื่องของเงินๆ ทองๆ ล้วนๆ ของที่พวกเราเก็บมาขายให้ DS แล็บผ่านทางคุณโคซากุระนี่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแค่ขยะนั่นแหละ แต่ของที่ ‘ถูกรางวัล’ เองก็มีอยู่ประมาณนึงเหมือนกันนะ
ชิ้นแรก เป็นรูปถ่ายที่พวกเราเก็บมาจากหอชมวิวหมุนได้ ภาพของครอบครัวที่ไหนไม่รู้ 4 คนสีขาวดำในกรอบน่ะ หน้าตาของพวกเขาจะเปลี่ยนไปทุกวันเลย บางทีพวกเขาทุกคนก็กลายเป็นหมา 4 ตัวด้วยนะ
อันต่อมา เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวจั๊วะ ตอนแรกมันก็ดูเหมือนกับว่ามันเป็นเสื้อที่ตากไว้ที่ไหนซักที่โดนลมพัดจนปลิวมาถึงที่นี่อยู่นะ แต่จากการสำรวจแบบเจาะลึกก็จะเห็นว่ามันเป็นพืชมีชีวิตที่หน้าตาเหมือนกับต้นอ่อนผักกาดหัวคุณภาพสูงมากแบบเป๊ะๆ เลยมาสานตัวเข้าด้วยกัน ตอนที่พวกเราไปเจอมันเข้า พวกเรารู้เลยว่ามันมีอะไรแปลกๆ ก็ตอนที่เรายกมันขึ้นมาจากพื้นไม่ได้นี่แหละ พวกเราก็เลยขุดมันขึ้นมาพร้อมกับดินข้างล่างซะเลย
สุดท้ายก็คือกลักไม้ขีดไฟสีดำ ข้างในน่ะมันมีไม้ขีดอยู่แค่ก้านเดียว พอเราเปิดออกมาดู ในนั้นก็มีของเหลวสีดำอยู่ แถมมันไม่กระฉอกออกมาเลย ขนาดพลิกมันจนคว่ำก็ยังไม่มีหกออกมาเลยซักหยด
พวกเราทำให้ทาง DS แล็บซื้อสิ่งแปลกปลอมพวกนี้ไปจากพวกเราได้ในฐานะ UB อาร์ติแฟกต์ได้สำเร็จ ขนาดฉันแบ่งเงินกับโทริโกะไปแล้ว ในอนาคตสั้นๆ นี่ฉันก็ใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีปัญหาเลย
เหตุผลที่เรานั่งรถไฟสายเซบุ อิเคบุคุโระก็คือไปที่บ้านของคุณโคซากุระที่สถานีสวนสาธารณะชาคุจิอิ แล้วก็เพื่อจะปรึกษาเรื่องทิศทางการออกสำรวจครั้งต่อไปของพวกเรากัน
ฉันเหลือบสายตาไปมองด้านข้างๆ ที่โทริโกะเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เธอก็นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ พร้อมกับสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดูใจเย็นจนน่าเหม็นขี้หน้าเลยให้ตายเถอะ
ข้อมูลใหม่ที่ฉันได้ฟังจากเธอมาหลังจากที่พวกเราไปเจอกับยามาโนเกะเข้า ทำให้อารมณ์ของฉันมันแกว่งๆ ไปพอควรเลย
ดูเหมือนเธอจะมีสถานการณ์ในครอบครัวที่ออกจะซับซ้อน แล้วก็ได้คุณแม่ 2 คนช่วยกันเลี้ยงสินะ มี [หม่าม้า] กับ [คุณแม่] น่าจะหม่าม้าของเธอสินะที่เป็นทหาร?
จากที่คุณโคซากุระเคยบอกฉัน เหมือนทั้งคู่จะเสียแล้วนะ แต่ฉันก็ไม่ได้ฟังรายละเอียดอะไร ตั้งแต่ตอนนั้นมา โทริโกะก็ไม่ได้พยายามสืบเสาะอยากถามเรื่องสมัยก่อนของฉันเลย ฉันก็เลยคิดว่าน่าจะดีกว่าที่ฉันจะไม่ถามอะไรเหมือนกัน
อย่างน้อย นั่นก็คือสิ่งที่ฉันคิดน่ะนะ
แต่ ทำไมเธอถึงต้องบอกฉันเรื่องนั้นด้วยล่ะ?
คือ เธออยากจะให้ฉันถามงั้นเหรอ? แต่ฉันไม่รู้เลยว่าจะคุยเรื่องครอบครัวของคนอื่นๆ ยังไงเนี่ยสิ ฉันไม่มีเรื่องความละเอียดอ่อนอะไรกับเรื่องพวกนี้เลยน่ะ
อีกอย่าง ฉันมีเรื่องที่ต้องคิดถึงมากกว่านั้นอีกด้วย
เงาของอุรุมะ ซัทสึกิที่ตามหลังพวกเรามาตลอดทางตั้งแต่ตอนเหตุการณ์ยามาโนเกะ จากนั้นมา เธอก็ไม่โผล่มาอีกเลยในการเดินทางครั้งต่อๆ มาของพวกเรา
น่าตกใจเหมือนกันนะที่ไม่รู้เธอจะตามติดพวกเราอะไรขนาดนั้นเมื่อคราวก่อน แล้วพอเธอไม่หายไปไหนไม่รู้ตอนนี้ก็ยิ่งน่ากังวลเข้าไปอีก ระหว่างที่ออกสำรวจกัน ฉันหันไปมองข้างหลังหลายรอบเลยตอนที่สงสัยว่าเธอตามหลังมาหรือเปล่า แล้วนั่นก็ไปทำให้โทริโกะสงสัยเข้าไปอีก มันเหมือนกับว่ามีแมลงน่าขนลุกอยู่ตัวนึงที่ชอบหลบตอนที่เราหันหน้าออกไปแค่แวบเดียว แบบนั้นเลย
รถไฟมาถึงสถานีสวนสาธารณะชาคุจิอิแล้ว พวกเราก็เดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยแล้วตอนนี้ จากวงเวียนหน้าสถานี ตัดผ่านย่านการค้า ก่อนจะเดินไปตรงย่านที่อยู่อาศัยของคนมีตัง อากาศเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วสินะ ความร้อนของฤดูร้อนที่ทิ้งทวนไม่ยอมไปซักทีจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้เนี่ย ตอนนี้มันยังกับเป็นแค่เรื่องโกหกเลยนะว่ามันเพิ่งจะร้อนมา
“ช่วงนี้คุณคาราเทก้าเป็นยังไงบ้าง?”
ระหว่างที่พวกเราเดินลงมาตามเนิน โทริโกะก็ถามขึ้นมาเหมือนกับจู่ๆ เธอก็นึกขึ้นมาได้พอดี
“อ้อ มานึกดูแล้วนี่ ช่วงนี้ก็เงียบไปเลยนะ รู้สึกเหมือนจะไม่ได้เจอเธอมาทั้งอาทิตย์เลย”
คาราเทก้า―รุ่นน้องหญิงปี 1 ที่มหาลัยเดียวกันกับฉัน [เซโตะ อาคาริ] ตั้งแต่ตอนที่พวกเราไปช่วยเธอเรื่องแมวนินจา รุ่นน้องผู้ดื้อรั้นของฉันคนนี้ก็สนใจในตัวฉันสุดๆ ไปเลย ฉันไม่อยากให้เธอมาเกาะแกะตลอดเวลา ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะให้การตอบรับเธออย่างเย็นชาที่สุดเท่าที่จะทำได้ซะ
“เธอว่าในที่สุดเด็กคนนั้นก็ยอมแพ้แล้วล่ะว่ามั้ย ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว”
“ฉันหมายถึง จากที่เธอทำท่าทีเย็นชาใส่แบบนั้น บางทีเด็กคนนั้นก็เลยทิ้งเธอไปสินะ? การมีเด็กอายุน้อยกว่ามาชื่นชมเราเนี่ยไม่ได้มีบ่อยๆ หรอกนะ เธอน่าจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้หน่อยสิ”
“พูดจาไร้ความรับผิดชอบจังเลยนะ เด็กคนนั้นเห็นพวกเราพกปืนอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไงเล่า? เธอก็ไม่อยากให้เด็กคนนั้นยื่นจมูกเข้ามายุ่งให้มันลึกกว่านี้อยู่แล้วล่ะว่ามั้ย?”
“ก็นะ ไม่ใช่ว่าการดูแลหลังการช่วยเหลือสำคัญกว่าอีกเหรอ? ถ้าเกิดเธอคิดจะทำล่ะก็ เธอจับพวกเรา 2 คนติดคุกได้ทันทีเลยนี่”
“[ดูแลหลังการช่วยเหลือ]? นี่เธอหมายถึงอะไรล่ะนั่น?”
“เธอลองหยุดเย็นชาใส่เธอ แล้วก็ฟังเธอดีๆ ดูมั้ยล่ะ? แค่นั้นเอง ง่ายๆ”
ฉันจ้องโทริโกะที่พูดคำนั้นออกมาแบบไม่ทันต้องคิดเลย มันไม่ง่ายสำหรับฉันเนี่ยสิ
แล้วฉันก็รู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว ต่อให้จะไม่ได้คิดแบบให้ตัวเองสำคัญนักหนาแบบที่โทริโกะกำลังบ่นอยู่นั่น เธอเองก็ไม่ได้มีทักษะในการสื่อสารเท่าไหร่เหมือนกัน เธอจะพูดห้วนๆ จนน่าตกใจได้เลยกับคนที่เธอเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นก็จะเข้ามาเกาะหนึบกับคนที่เธอเปิดใจให้ แต่เดิมแล้ว เธอดูเหมือนจะรับมือกับความห่างเหินที่พอเหมาะไม่เป็นเลยด้วยนะ
“อีกอย่าง เธอน-…”
ฉันเริ่มจะพูด แต่ก็เลือกจะปิดปากเงียบไว้ดีกว่า
“อะไรเหรอ?”
“…เปล่า”
“ฉันชักจะอยากรู้แล้วแฮะ”
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ไม่มีอะไร”
อีกอย่าง เธอน่ะไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้จริงๆ เหรอ? โทริโกะคิดยังไงกับเรื่องของอาคาริกันนะ?
ทั้ง 2 คนเป็นอดีตนักเรียนของอุรุมะ ซัทสึกิ เธอตามหาคู่หูในการออกไปสำรวจที่โลกเบื้องหลัง แล้วระหว่างที่ทำหน้าที่เป็นครูสอนพิเศษ เธอก็จะล่อลวงใครก็ตามที่เธอคิดว่าอาจจะมีประโยชน์กับเธอมา
ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าเธอคิดจะทำอะไรกับพวกเด็กมอปลายพวกนั้นกันนะ โทริโกะช็อคไปเลยนะตอนนั้น ตอนที่เธอรู้ว่า ‘เพื่อน’ ของเธอน่ะไปทำข้อตกลงไว้กับอาคาริเหมือนกันในเวลาเดียวกันเลย
ฉันยอมรับวิธีที่โทริโกะยังบอกกับฉันว่าให้สนิทๆ กับคาราเทก้าเอาไว้นั่นไม่ได้หรอก บางทีเธออาจจะบอกว่านิสัยของฉันที่ไม่อยากสุงสิงกับสังคมรอบนอกทำให้เธอเป็นห่วงก็เถอะ แต่นี่ไม่มีเรื่องความอิจฉาอยู่บ้างเลยหรือไงนะ?
“ถ้าเริ่มพูดอะไรเอาไว้ก็พูดให้จบสิ! เธอทำให้ฉันอยากรู้แล้วเนี่ย”
ฉันปัดการเรียกร้องอย่างหัวดื้อของโทริโกะออกไป แล้วพวกเราก็มาถึงบ้านของคุณโคซากุระพอดีเลย เราเดินตัดผ่านสวนหน้าบ้านที่ปล่อยหญ้าขึ้นสูงเข้าไป แล้วก็เดินเลี่ยงๆ เกทที่ประตูหน้าบ้านที่ส่องแสงแวววับเหมือนคลื่นความร้อนออกมา เดินขึ้นมาที่ชานบ้านเรียบร้อย
ถึงเกทนี่จะไม่ทำงานหรอกถ้าเกิดไม่ได้ใช้มือซ้ายของโทริโกะมาเปิดมันออก แต่ฉันก็ยังไม่มีความคิดที่จะเดินลอดมันไปหรอกนะตอนนี้
“มาถึงแล้ววววว… อ๊ะ!”
พอเธอก้มลงมามอง เสียงของโทริโกะก็ขาดไปเลย นั่นก็ทำให้ฉันก้มลงมามองด้วยเหมือนกัน แล้วฉันก็เห็นรองเท้าที่ไม่คุ้นตาคู่นึงวางอยู่ข้างๆ รองเท้าลำลองของคุณโคซากุระด้วย
เป็นรองเท้าบูทผูกเชือกส้นสูง
ฉันได้ยินเสียงคุยกันอย่างเป็นกันเองดังลอยมาตามโถงทางเดินจากทางด้านซ้ายด้วย เสียงนึงเป็นเสียงต่ำๆ ของคุณโคซากุระ ส่วนอีกเสียงนึงก็เป็นของผู้หญิงเหมือนกัน ฟังรายละเอียดของบทสนทนาไม่ออกหรอก แต่ดูแล้วน่าจะคุยกันได้อย่างสงบพอควรเลยนะ
“ใครล่ะเนี่ย? เธอรู้หรือเปล่า?”
ฉันถามโทริโกะไป แต่เธอก็ส่ายหน้ากลับมา
“นอกจากฉัน ซัทสึกิ… กับมิงิวะ ฉันก็นึกไม่ออกแล้วนะว่าใครจะมาที่นี่น่ะ”
ระหว่างที่พวกเราคุยกันด้วยเสียงกระซิบกระซาบ เสียงของคุณโคซากุระก็เรียกเรามาจากอีกฟากนึงของประตู
“มัวรออะไรอยู่เล่า? เข้ามาสิ”
พวกเราหันมามองหน้ากัน ก่อนจะถอดรองเท้าของตัวเอง แล้วก็เข้าไปในบ้าน ฉันเดินไปตามโถงทางเดินมืดๆ แล้วก็เปิดประตูออก
“สวัสดีค-… หา!?”
พอฉันยื่นหน้าเข้าไปดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คำทักทายก็ระเหยยหายไปจากปากของฉันแล้ว ในห้องรับแขก ตรงข้ามกับโต๊ะจากคุณโคซากุระ ไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจากคนที่เราเพิ่งจะพูดถึงเมื่อกี้นี้เอง
“ขอโทษที่มารบกวนนะคะรุ่นพี่!”
ฉันยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่คาราเทก้า―เซโตะ อาคาริ―ยิ้มแย้มให้ฉันอย่างร่าเริง
TN: ได้เห็นหน้าเห็นตาของรุ่นน้องโซราโอะ “เซโตะ อาคาริ” ซักทีนะครับ
อืม… ได้กลิ่นลอยมาเลยว่าต้องมีเรื่องแน่ๆ
Comments