[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru 13.1 บทที่ 1 ตอนส่งท้าย ความทรงจำของดอกกุหลา
ข้อความจากผู้แต่ง
ตอนนี้เป็นตอนแยกล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักเลย ข้ามได้เลยถ้าต้องการ
ตอนที่ได้เจอเขาก็คือช่วงกำลังทำงานพาร์ทไทม์ในร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วๆไป
เขาดูน่าจะเป็นนักเรียนมัธยม
มีผมสีลูกเกาลัด ผิวขาวสว่าง รูปร่างที่ไม่ค่อนไปทั้งชายหรือหญิง และผอมบาง
ความประทับใจแรกเห็นในตอนนั้นก็คือ เด็กหนุ่มหน้าสวย
แม้ว่าหลังจากนั้นจะได้ยินเรื่องไม่น่าเชื่อเข้า ว่าเขาเรียนจบมัธยมมานานแล้ว และกำลังศึกษาเพื่อเข้าสอบมหาวิทยาลัยผ่านทางไปรษณีย์ (correspondence course เป็นระบบศึกษาต่อที่บ้านด้วยตนเอง ให้เทียบก็คือเหมือนการเรียนออนไลน์ของสมัยนี้ แต่เมื่อก่อนทำการทุกอย่างผ่านไปรษณีย์ ใครคุ้นเคยระบบนี้ไม่นับว่าเด็กแล้วนา)
“ที่ส่วนสูงกับสีผมเป็นแบบนี้ก็แค่เพราะขาดสารอาหารเฉยๆนะ”
ตอนแรกที่ได้ฟังความเห็นเสียดสีตัวเองแบบนี้ก็คิดว่าเขาคงพูดเล่น –ดันเชื่อแบบไม่มีมูลไปเสียได้ว่าเรื่องแบบนี้ในสังคงคมยุคใหม่ไม่มีทางเป็นไปได้– แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับรู้ว่านี่คือเรื่องจริง
เพราะว่าเขามีใบหน้าที่ค่อนข้างสะดุดตา เพื่อนร่วมงานหลายคนจึงสนใจ และเข้ามาพูดคุยกับเขา แม้เขาจะตอบคำถามอย่างเป็นมิตร แต่ก็ดูเว้นระยะอย่างประหลาด และเมื่อทุกคนรู้สึกว่าเขาเข้าถึงยากก็เลยค่อยๆห่างเหินไป ในทางกลับกัน ตัวเขานั้น ดูไม่แยแสราวกับเรื่องนี้ไม่ได้รบกวนเขาเลยซักนิด
แต่ก็นะ ฉันเองก็ด้วย ที่ดันสนใจเขาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แล้วก็เข้าไปคุยกับเขาทุกครั้งที่มีเวลา ระหว่างพัก และตอนเลิกงาน
“เธอเป็นคนแปลกๆนะรู้ตัวไหม?”
ฉันชวนเขาไปร้านฟาสฟูดระหว่างทางกลับบ้าน แม้ว่าเขาจะลังเลเพราะเปลืองเงินก็ตาม จากนั้นก็สั่งเซ็ทที่ถูกที่สุดแล้วบอกว่าไม่มีเงิน ฉันมึนไปเลยละ
“–งั้นหรอ?”
“แหงสิ คนอื่นเขาอ่านบรรยากาศออกก็เลยไม่เข้ามายุ่งไง”
“อืม นั่นก็อาจจะจริงนะ แต่ฉันค่อนข้างจะสนใจเลยแหละ พอดีไม่มีใครสายตาเฉียบขาดได้เท่านายแล้ว แถมยังเด็กด้วยนะ”
“เธอนี่มันคือตัวอย่างของ ‘ความสงสัยฆ่าแมว’ ชัดๆ แต่ก็นะ ผมขอชมเชยความมุ่งมั่นนั้นแล้วกัน”
หลังจากนั้นเราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย (หรือจะพูดให้ถูกก็คือการที่ฉันถามคำถามเขาอยู่ฝ่ายเดียว และเขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย)
อาศัยอยู่คนเดียวหลังจากสูญเสียพ่อแม่ไปทั้งคู่
ทำงานพาร์ทไทม์ในซุปเปอร์มาเก็ตนั้นมาได้ 2 ปีแล้ว ต้องขอบคุณคนค้ำประกันให้เลย
เรียนที่ห้องสมุดในวันหยุดเพื่อสอบเข้ามหาลัย
งานอดิเรกคือเล่นเกมออนไลน์
“หืม- นั่นมันวิถีโอตาคุนี่นา~”
“ช่างเถอะน่า โลกออนไลน์มันง่ายกว่ามากเพราะทุกคนอยู่ใต้หน้ากากเหมือนๆกัน แล้วก็ไม่ต้องทะเลาะกันเพราะความสัมพันธ์ยุ่งยากด้วย”
ในเมื่อฉันเป็นคนลากเขามากับฉันตอนกลับบ้าน ก็เลยจะจ่ายค่าข้าวให้ แต่เขาก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว
“ผมเกลียดการติดหนี้นะ ขอจ่ายด้วยตัวเองดีกว่า”
“ไม่คิดว่านี่จะนับเป็นการติดหนี้ได้หรอกนะ อีกอย่าง ฉันเป็นคนลากนายมา ไม่ใช่ว่าฉันต่างหากที่ติดค้างนายหรอกหรอ?”
“ไม่” น้ำเสียงนั่นดูเย็นชาอยู่นิดหน่อย “ไม่ว่าจะกรณีไหน คนที่เป็นฝ่ายให้เงินก่อนก็จะได้เปรียบในแง่จิตวิทยาเสมอ”
หลังจากนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาส เราก็จะดื่มด่ำไปกับชาและพูดคุยระหว่างกลับบ้านเสมอ (ถึงแม้บางทีอาจจะเป็นฉันคนเดียวที่ดื่มด่ำอยู่ แต่เขาก็ยอมปล่อยไปทุกครั้ง เพราะงั้นไม่คิดว่าเขาจะรังเกียจนะ)
แต่ในเมื่อเขาไม่มีเงินมากนัก เราจึงทำเพียงแค่ซื้อกาแฟจากร้านสะดวกซื้อ หรือผลไม้กระป๋องตรงม้านั่งในสวนสาธารณะเอา
แม้เราจะพูดคุยกันน้อยครั้ง แต่ฉันก็ค่อยๆมองเห็นภาพในชีวิตส่วนตัวของเขาขึ้นมานิดหน่อย
“ตอนที่ผมเกิด ครอบครัวของผมค่อนข้างมีเงินเลยแหละ พ่อแม่ก็มีสถานะทางสังคมสูงเหมือนกัน พวกเขารักผม แต่ก่อนจะอายุ 10 ขวบ อุบัติเหตุนั่นและทุกสิ่งก็เกิดขึ้น”
“หลังจากตอนนั้น มันก็เกิดขึ้นเร็วมาก คุณตายายที่เคยใจดี ญาติคนอื่นๆ และคนที่คิดว่าน่าจะเป็นญาติก็กรูกันเข้ามายึดบ้านของพ่อแม่ ที่ดิน และ ทรัพย์สินด้วยเหตุผลสารพัดไปจนหมด”
“สุดท้ายแล้วลุงกับป้ารับผมไปเลี้ยง พวกเขามีลูกที่อายุมากกว่าผมปีนึงและบอกว่าจะเป็นผู้ปกครองของผม แต่ก็อย่างที่เห็นกันได้บ่อยๆ ผมโดนรังแกทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่ออายุครบ 13 ปี ร่างกายผมก็หยุดโต”
“ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็เลยไปแจ้งตำรวจกับที่โรงเรียน แต่..มันก็ชัดเจนว่าผู้มีอำนาจจะฟังลุงที่มีสถานะทางสังคมสูงกว่า แถมเป็นผู้นำของชุมชนมากกว่าเด็กคนนึงอยู่แล้ว หลังจากนั้นการทารุณก็รุนแรงขึ้นอีก”
“คนที่น่ารำคาญที่สุดเลยก็คือลูกพี่ลูกน้องอายุมากกว่าคนนั้น คนเราจะเริ่มสังเกตเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นก็เมื่อเข้าม.ปลายใช่ไหมละ? ดูสภาพของผมก็คงจะรู้ นอกจากจะรังแกทั้งทางกายและใจ ผมก็เริ่มโดนคุกคามทางเพศด้วย”
“ก็นะ ตอนที่โดนแย่งเอาทรัพย์สมบัติไปก็เพราะผมไม่สนใจด้วย มันก็เป็นความผิดผมส่วนนึง แต่ผมเองก็อยากปกป้องสิ่งที่เหลืออยู่กับชีวิตตัวเองเหมือนกัน”
“ผมหนีออกมาจากบ้านหลังนั้นอย่างไร้จุดหมาย แล้วก็ได้เจ้าหน้าที่คนนึงมาเจอโดยบังเอิญ แล้วไม่นานมานี้ การทารุณกรรมและความรุนแรงกลายเป็นปัญหาทางสังคมแล้ว ผมถูกส่งไปที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว แล้วนั่นก็คือสาเหตุที่ผมมาอยู่ตรงนี้”
“อา ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองน่าสงสารหรือโชคร้ายขนาดนั้น โลกใบนี้ยังมีคนที่เกิดมาพร้อมกับโรคร้ายแรง แล้วถ้ามองๆไป ก็จะเจอคนอีก 70% ทั่วโลกต้องดิ้นรนเพื่อให้มีน้ำดื่มในหนึ่งวัน”
“อืม จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าลุงกับญาติเป็นคนเลวสุดๆหรืออะไร โลกใบนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน หรือการกุศลหรอก คนเราก็แค่ทำตามความสะดวกของตัวเอง ผมก็แค่ไร้เดียงสาเกินไปที่คาดหวังเรื่องแบบนั้น”
“พูดอีกแบบนึง ก็เป็นเรื่องของคนดีกับคนไม่ดีใช่ไหมละ? จนกระทั่งวันนั้น วันที่พ่อกับแม่ตาย พวกเขาเคยเป็นคนดีกับผม และผมก็มั่นใจว่าพวกเขาเป็นคนดีในสายตาคนอื่น”
“เพราะงั้นตอนที่เธอบอกว่าผมเป็นคนมีเหตุมีผล เธอผิดแล้วละ ผมก็แค่คนขี้ขลาดคนนึง”
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ตายในอุบัติเหตุ
และหลังจากนั้นอีกไม่นานเช่นกัน เกมออนไลน์ที่เขาเล่นบ่อยๆก็ปิดตัวลง เดิมทีแล้วบริษัทวางแผนจะเปิดเกมยาวถึง 5 ปี แต่ก็ตัดสินใจไม่ทำต่อเพราะค่านิยมในปัจจุบันที่คนไม่สนใจเกมออนไลน์กันแล้วอะไรราวๆนั้นตามที่อ่านมาจากออนไลน์
ฉันไม่รู้ว่ามีการจัดงานศพให้เขาไหม หรือเขาถูกฝังอยู่ที่ไหน
เพราะงั้นในวันนี้ หนึ่งปีหลังจากอุบัติเหตุนั่น ฉันวางช่อกุหลาบสีแดงที่เขาชอบที่สุด ไว้บริเวณที่เกิดเหตุ และพนมมือเข้าด้วยกัน
“ผมชอบดอกกุหลาบละ โดยเฉพาะกุหลาบแดง เธอรู้ไหมว่าในฝรั่งเศษเขาปลูกดอกกุหลาบในไร่ที่ใช้ทำไวน์เพราะว่ากุหลาบเป็นพืชที่ไวต่อโรคมาก พวกเขาก็เลยปลูกเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณเพื่อเป็นการกันไม่ให้โรคเข้ามาในประเทศ แล้วดอกกุหลาบพวกนั้นก็พยายามปกป้องตัวเองด้วยหนาม แม้ว่าจะอ่อนแอมากขนาดนั้นเลยนะ กล้าหาญมากๆเลยว่าไหม?”
เขาคือชายที่เป็นดั่งกุหลาบนั้น
นายรู้รึเปล่า ความหมายของดอกกุหลาบสีแดงคือ “ความหลงใหล” และ “ความรักที่ลึกซึ้ง”
นายบอกว่านายไม่เชื่อในความรัก แต่จริงๆแล้วนายเองก็อยากจะเชื่อใช่ไหมละ
ฉันคงไม่มีวันได้ยินคำตอบหรอก แต่ว่า ฉันรักนายนะ
*—
ข้อความจากผู้แต่ง
ไม่ใช่ว่าการกระทำของฮิยูกิมันขัดแย้งกันเองหรอกหรอ?
หลายคนชี้มาถึงข้อนี้ ฉันก็เลยอยากจะเปิดเผยเนื้อเรื่องเบื้องหลังซักหน่อย
ฮิยูกิยึดมั่นว่า “ไม่พรากชีวิตผู้อื่น” “ไม่พรากทรัพย์สินผู้อื่น” “ไม่พรากจุดยืนของผู้อื่น” เป็นคำสัญญาขั้นต่ำสุดที่มนุษย์ควรกระทำต่อกัน แต่คนเราก็มักจะทำแบบนั้นเพราะสะดวกตนเองเข้าว่า เพราะงั้นจึงเชื่อถือคนอื่นไม่ได้ และไม่มีทางเลือกนอกจากสู้เพื่อปกป้องตนเอง แต่ลึกๆแล้วก็อยากจะเชื่ออยู่ การกระทำย้อนแยงนั้นก็เลยชี้นำให้เอาความโกรธไปลงกับหัวหน้ากิลด์คอนราด
แล้วก็ เธอเริ่มเล่นเกมหลังจากถูกพาไปยังศูนย์พักพิง แล้วก็ไม่ได้สนใจมาตราฐานการเล่นเกมออนไลน์ ก็เลยจัดสรรค่าสถานะตัวละครออกมาแบบนั้น
มีใครน้ำตาซึมบ้างคะ คนแปลก็อยากจะซึม แต่พอเจอศัพท์งงๆก็หายซึมเป็นปลิดทิ้งเลย Orz
ในตอนที่เล่าว่าโดนยึดบ้าน ยึดของ จริงๆแล้วมันคือของสามสิ่ง 1.ที่อยู่อาศัย 2.สิ่งของที่จับต้องได้หรือเงิน (ทรัพย์สิน) และ 3.สิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างพวกที่ดิน อสังหา หุ้น สัญญาต่างๆ จะเรียกว่า กรรมสิทธ์ (มั้ง ไม่ได้เก่งกฏหมายด้วยสิ แต่ดิกมันแปลว่าเช่นนั้น) แต่เพื่อความเข้าใจง่ายก็เลยแปลไปตามข้างบนคะ
จบบทที่ 1 แล้ววว เย้~
พอมาแปลใหม่อีกรอบ ก็รู้สึกว่า เอ้อ การกระทำ คำพูดของตัวละครมันดูดีกว่าที่ตัวเองแปลเมื่อก่อนเยอะเลยแฮะ ดูมีเหตุผลและขั้นตอน ดูไม่มั่วซั่วพิกลๆ
หรือก็คือตัวเองเข้าใจภาษาอิ้งได้ดีขึ้นนั่นเอง บวกกับอากู๋ทรานแปลยุ่นได้ดีมาก ขนาดที่ว่าไม่รู้ยุ่นเลยซักนิด ก็แปลจากยุ่นได้โดยตรง
แต่สำนวนการแปลอาจจะยังมีงงๆ มีเอ๋อๆอยู่บ้าง ในส่วนนั้นก็..
จะพยายามปรับปรุงไปเรื่อยๆนะคะ เทเฮะ~ แม้ไม่แน่ใจว่าจะดีขึ้นไหมก็เถอะ เทเฮะ~
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (เดือนนี้ซัดชานมไป 150 บาทแล้วคะ ไม่อ้วนซักนิดสาบานได้)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
Comments