บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 1000: โมโหตาย
ตอนที่ 1,000: โมโหตาย
…………………………………………………..
ตอนที่ 1,000: โมโหตาย
ก่อนหน้านี้ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินหัวเราะพูดคุย ดูแคลนคนอื่น แสดงท่าทีสูงส่งกว่าใครคนอื่น
ทว่าเวลานี้ เขาโดนซัดจนหน้าบวมตาช้ำ ผิวถลอกปอกเปิก ร่างกายอ่อนปวกเปียกราวกับดินโคลน คุกเข่าอยู่ตรงนั้นในสภาพที่ดูไม่ได้
สภาพแตกต่างจากเดิมมาก
“ข้ายังเข้าใจว่าเขาร้ายกาจมาก ที่แท้ก็เพียงแค่วางท่าเท่านั้น…”
ผู้เฒ่าชุดนักพรตบ่นพึมพัม
เย่ลั่วพูดแก้ไขให้ถูกต้อง “นั่นเป็นเพราะเขาเจออาจารย์ของข้า ถึงได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ หากว่าเจอพวกเรา… ก็คงไม่เป็นเช่นนี้”
ผู้เฒ่าชุดนักพรตนิ่งตะลึงอย่างเห็นด้วย
ถึงแม้ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินซึ่งมีระดับการฝึกตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นต้นจะไม่ได้เก่งกาจอะไร ทว่าพลังกฎเกณฑ์มหาวิถีที่เขามีนั้นเรียกได้ว่าเป็นกฎข้อห้าม มีความน่ากลัวอย่างไร้ขีดจำกัด!
“ไม่เพียงแต่กฎวอนสวรรค์ของหอเก้าสวรรค์จะถูกระงับ แม้กระทั่งกฎวิเวกดาราของลัทธิทางช้างเผือกก็ยังถูกระงับไปด้วย มิน่าเล่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเจ้าหอจึงค้นหาพลังอย่างที่ซูเสวียนจวินมีมาโดยตลอด และก็เป็นพลังที่ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลยจริง ๆ…”
ยมบาลตื่นตระหนกตกใจ
นางไม่อาจสงบใจได้ เพราะการค้นพบนี้ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!
“ข้าเป็นเพียงแค่คนตัวเล็ก ๆ ที่รับบัญชาให้มาเฝ้ารักษาการณ์อยู่ตรงนี้ ฆ่าข้าทิ้ง ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แต่หากว่าข้าตาย ผู้อาวุโสของพวกข้าจะรู้ในทันที ผลที่ตามมายากจะคาดเดา”
ซูอี้ถาม “ขู่เช่นนั้นหรือ?”
ผู้ชายชุดสีน้ำเงินถอนใจทำหน้าลำบาก “ไม่เลย เพียงแต่ขอร้องอ้อนวอนไว้ชีวิตเท่านั้น”
เขาในเวลานี้ ไร้ซึ่งแรงกำลัง ตกอับน่าสมเพช ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายแทบจะดับสลาย
“บอกข้ามาก่อน ไก่แจ้เฒ่าอยู่ที่ใด”
ซูอี้ก้มมองผู้ชายคนนั้น
มือหนึ่งของเขาถือค้อนทุบเซียน มือหนึ่งไพล่หลัง ท่าทางงามสง่า
ทว่าในสายตาของผู้ชายชุดสีน้ำเงิน ชายหนุ่มชุดสีเขียวตรงหน้าช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
“เขาอยู่ในตำหนักข้าง ๆ ทางฝั่งตะวันออก”
ผู้ชายชุดสีน้ำเงินปากสั่นระริก เสียงเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน แฝงไว้ซึ่งความหวาดกลัว อับอาย และเคียดแค้น
ซูอี้เหลือบมองไป สองด้านของตำหนักยมราชซึ่งมีประตูใหญ่อยู่ที่ตำหนักด้านข้าง
“พวกเจ้ารออยู่ที่นอกตำหนัก”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่พวกของเย่ลั่ว พลางสั่งกำชับ จากนั้นจึงหิ้วตัวผู้ชายในชุดสีน้ำเงินขึ้น “เจ้าไปกับข้า”
ประตูใหญ่ของตำหนักฝั่งตะวันออกปิดสนิท
เมื่อซูอี้ผลักประตูให้เปิดออก สภาพในตำหนักนั้นสะท้อนเข้าสู่สายตา
ภายในห้องโถงแห่งนี้กว้างขวางมืดสลัว บนพื้นเต็มไปด้วยโครงกระดูกสีขาว
ด้านในสุดของห้องโถง มีเครื่องทรมานตั้งวางเรียงกันเป็นแถว
เครื่องทรมานแต่ละตัวมีความสูงสามจั้ง บนนั้นสลักอักษรวิถีค่ายกลจองจำอันลึกลับ
เพียงแค่ชั่วแวบเดียว ซูอี้ก็เห็นไก่แจ้ตัวลายถูกจองจำอยู่บนเครื่องทรมานตัวหนึ่ง ปีกนกที่อยู่บนตัวขาดรุ่งริ่งมีคราบเลือดติด ถูกตัดปีกทั้งคู่ไปแล้ว
หัวของไก่แจ้ถูกดึงขึ้น หายใจพะงาบ ๆ
เมื่อได้ยินเสียงผลักประตู ไก่แจ้ราวกับได้รับแรงกระตุ้น เงยหน้าขึ้นมาในทันใด จากนั้นร้องด่า “สารเลว! @#%…”
คำพูดด่าทอหยาบคายหลุดออกจากปากเป็นกระบุง
ทันใด ไก่แจ้ก็เบิกตากว้าง ร้องขึ้นมา “อ้าว!!”
มันมองเห็นอย่างชัดเจน ผู้ชายชุดสีน้ำเงินที่ก่อนหน้านี้เคยมองว่ามันเป็นอาหาร เวลานี้กลับเหมือนกับสุนัขซอมซ่อตัวหนึ่งที่ถูกชายหนุ่มชุดสีเขียวหิ้วคอ เขาจึงได้แต่ตกตะลึง
“ถูกทรมานจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว ไก่แจ้เฒ่า ปากของเจ้าก็ยังไม่สงบอีก” ซูอี้ทอดถอนใจ
ไก่แจ้เฒ่ายังไม่ตาย!
“เจ้า… เจ้าคือ?”
ไก่แจ้เฒ่าตื่นตะลึง
ซูอี้หยอกล้อ “ครั้งนั้น เจ้าเรียกบรรพชนขอร้องให้ข้ารับเรือไร้อับปางลำนั้น อย่างไร ตอนนี้แม้กระทั่งบรรพชนก็ยังจำไม่ได้แล้วเช่นนั้นหรือ? ”
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาพบกับไก่แจ้เฒ่า เคยทำการประชุมสมัชชาวิถีร่วมกัน ไก่แจ้เฒ่าร้องท้าทายว่าหากใครแพ้ต้องเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าบรรพชน
“เรียกเจ้าว่าบรรพชน? ชายหนุ่มอายุไม่ถึงสิบแปดยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้า…”
ไก่แจ้เฒ่าหัวเราะเยาะเสียงดัง
ทว่าทันใด เขาราวกับนึกอะไรขึ้นได้ พลันร้องเสียงประหลาดขึ้นมา “ไม่ใช่ ไม่ใช่กระมัง เจ้า เจ้า เจ้า… เจ้าคือสัตว์ประหลาดเฒ่าซู!?”
ซูอี้ก้าวเดินมาข้างหน้า พิจารณาดูบาดแผลบนตัวไก่แจ้เฒ่า กล่าวทอดถอนใจ “ครั้งนั้น ข้าเคยบอกให้เจ้าหั่นปีกท่อนหนึ่งออกมาเป็นกับแกล้มสุราให้ข้า แต่ตอนนี้ กลับมอบให้คนอื่นไปเฉย ๆ”
ไก่แจ้เฒ่า “…”
ทันใด มันตื่นเต้นจนร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลสั่นสะท้าน ร้องออกมา “ข้าบาดเจ็บจนถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะหัวเราะเยาะข้าอีก ไม่รู้สึกสงสารเห็นใจกันบ้างเลยหรืออย่างไร?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
ทว่า เขาไม่รีรอชักช้า โบกมือขึ้น และโซ่ล่ามพันธนาการบนเครื่องทรมานก็ขาดสะบั้นลง
สวบ!
เมื่อไก่แจ้เฒ่าหลุดจากการพันธนาการ กลับมามีอิสระ เขาก็กลับมาเป็นผู้ชายรูปงามดังเทพเซียน สวมชุดนักพรต แขนเสื้อกว้างพลิ้วไปตามแรงลม
คนผู้นี้ก็คือ ‘จ้าวบรรพตเมืองท้อ’ ในสายตาคนทั้งหลาย
และก็เป็นกายาวิถีที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เขาพิสูจน์เต๋าได้สำเร็จ
เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขาในเวลานี้ขาวซีด รอบตัวถูกย้อมด้วยคราบเลือด เห็นได้ชัดว่าพลังต้นกำเนิดอยู่ในอาการสาหัส
“ข้าขอจัดการกับคนชั่วคนนี้ก่อน!”
พอหลุดออกมาได้ ไก่แจ้เฒ่าก็เงื้อมมือออกไปจะขย้ำผู้ชายในชุดสีน้ำเงินด้วยความอาฆาตเคียดแค้น
ทว่าซูอี้รั้งเอาไว้ได้ทัน “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องถามเขา”
ไก่แจ้เฒ่าหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม สุดท้ายจึงระงับความเคียดแค้นและความโกรธที่สั่งสมมาเป็นเวลานานภายในใจลงได้
“ข้าเคยบอกแล้วว่า หากข้าตาย ผู้อาวุโสของพวกข้าจะต้องรู้เรื่องในทันใด”
ผู้ชายชุดสีน้ำเงินส่งเสียงพูดหนัก ๆ ราวกับรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก
เพียะ!
ไก่แจ้เฒ่าตบหน้าผู้ชายในชุดสีน้ำเงิน พลางร้องด่า “จะตายอยู่แล้วยังจะทำปากแข็งอีก อีกประเดี๋ยวข้าจะต้องจัดการกับเจ้าให้ดี ๆ เสียแล้ว!”
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินถูกตบจนหน้าบวมแดง ตัวสั่นงันงก รู้สึกอับอายยิ่งนัก
“ข้าว่า กระชากวิญญาณเลยดีกว่า เหตุใดต้องยุ่งยากด้วย?”
ไก่แจ้เฒ่าเบนสายตามองไปที่ซูอี้
เขามีรูปงามและยังมีลักษณะท่าทางประดุจเทพเซียน ทว่าสิ่งที่พูดและกระทำออกมานั้นกลับคล้ายอันธพาลเกเรที่ทำแต่เรื่องชั่ว
“กระชากวิญญาณ?”
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป จึงแผดเสียงร้อง “จิตวิญญาณของทุก ๆ คนในลัทธิล้วนมีพลังแห่งคำสาปครอบงำอยู่ ขอเพียงมีกำลังจากภายนอกเข้าบุกรุก จิตวิญญาณจะแตกสลาย พวกเจ้าไม่มีทางได้ในสิ่งที่ต้องการ!”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
นี่เป็นแนวปฏิบัติของลัทธิทางช้างเผือก คล้ายคลึงกับหอเก้าสวรรค์มาก
เพื่อควบคุมศิษย์สาวก ลัทธิทางช้างเผือกจะใส่พลังแห่งคำสาปลงในจิตวิญญาณศิษย์สาวก ส่วนหอเก้าสวรรค์จะให้ตั้งสัตย์ปฏิญาณมหาวิถีเวลาที่เข้าสู่สำนัก
“บอกในสิ่งที่ข้าต้องการจะรู้มา แล้วข้าจะละเว้นเจ้า”
ซูอี้กล่าวออกมาโดยตรง “หากปฏิเสธ ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้”
ผู้ชายในชุดสีน้ำเงินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับและการสืบทอดอันเป็นความลับสุดยอดของลัทธิ ขออภัยที่ข้าไม่อาจบอกได้”
ซูอี้กล่าว “ได้”
ในช่วงเวลาถัดมา ซูอี้รู้มาแล้วว่าผู้ชายในชุดสีน้ำเงินคนนี้มีสมญาเต๋าว่า ‘อวิ๋นฉี’ เขามาจากแขนงเมฆาซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘สี่แขนง’ ของลัทธิทางช้างเผือก เป็นเหล่าผู้ผดุงลัทธิเหมือนดังที่ยมบาลกล่าว
เมื่อหลายปีก่อน เขากับเหล่าผู้ผดุงลัทธิอื่น ๆ อีกสามคนใน ‘แขนงเมฆา’ เดินทางมายังทะเลทุกข์แห่งภูมิมืดมิดพร้อมกับ ‘ทูตผดุงลัทธิ’ คนหนึ่งของตำหนักดารา
ส่วนจุดมุ่งหมายที่เดินทางมายังทะเลทุกข์นั้น อวิ๋นฉีไม่ทราบ
เขากับเหล่าผู้ผดุงลัทธิอีกสามคนเพียงแต่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น มีแต่ทูตผดุงลัทธิผู้มาจากตำหนักดาราเท่านั้นที่ทราบเรื่อง
แต่ทว่า เมื่อซูอี้ถามถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ‘ทูตผดุงลัทธิ’ คนนั้นขึ้นมา คำตอบของผู้ชายในชุดสีน้ำเงินกลับประหลาดมาก
เพราะเขาก็ไม่รู้เช่นกัน!
ตามที่อวิ๋นฉีเล่ามา ถึงแม้ ‘ทูตผดุงลัทธิ’ คนนี้จะมาจากตำหนักดารา ทว่ามีฐานะลึกลับและพิเศษมาก ไม่ใช่คนที่เหล่าผู้ผดุงลัทธิจากแขนงเมฆาอย่างอวิ๋นฉีจะทราบได้
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ซูอี้ยังรู้ด้วยว่า เมื่อหลายปีก่อน หลังจากที่พวกของอวิ๋นฉีมาถึงซากโบราณฝังเทวะแล้ว ทูตผดุงลัทธิก็เข้าไปในดินแดนลึกลับที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้
ทว่าอวิ๋นฉีกับเหล่าผดุงลัทธิอีกสามคนกลับถูกสั่งให้เฝ้ารออยู่ข้างนอก ห้ามไม่ให้ใครคนใดเข้าไปใกล้ดินแดนลึกลับแห่งนั้น
อวิ๋นฉีไปเฝ้ารักษาการณ์อยู่ในตำหนักยมราชภูเขาหมื่นกระแส
ส่วนเหล่าผดุงลัทธิอีกสามคนได้ไปเฝ้ารักษาการณ์ที่นอกดินแดนลึกลับแห่งนั้น
เมื่อรับรู้ในเรื่องเหล่านี้แล้ว หัวคิ้วของซูอี้ก็ขมวดขึ้นมา สีหน้าสับสน
ดินแดนลึกลับที่อยู่ส่วนลึกสุดของซากโบราณฝังเทวะแห่งนั้นเรียกได้ว่าเป็น ‘แดนวัฏสงสาร’!
ในโลกนี้นอกจากผีเฒ่าแบกโลกแล้ว ก็มีแต่ซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า ‘แดนวัฏสงสาร’ คือสถานที่ต้องห้ามซึ่งมีความลึกลับเพียงใด
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อชาติที่แล้ว ซูอี้เสาะหาความลับแห่งวัฏสงสารกลับชาติมาเกิดใหม่ที่ ‘แดนวัฏสงสาร’ แห่งนี้!!
หากว่าพูดเรื่องนี้ออกไป ทั่วทั้งแดนดินจะต้องสั่นสะเทือนแตกตื่นอย่างแน่นอน
และที่ซูอี้มายังพิภพยมราชฝังวิถีในครั้งนี้ นอกจากหาโอกาสพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเสาะหาร่องรอยของผีเฒ่าแบกโลก
ในการคาดเดาของเขา หากว่าผีเฒ่าแบกโลกถูกกักขังอยู่ในพิภพยมราชฝังวิถีแห่งนี้จริง ที่นั่นก็จะต้องเป็นแดนวัฏสงสารอย่างแน่นอน!
เพราะว่ามีแต่สถานที่ต้องห้ามลึกลับเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถกักขังผีเฒ่าแบกโลกได้!
ทว่าบัดนี้ ทูตผดุงลัทธิซึ่งมาจากลัทธิทางช้างเผือกได้เข้าสู่ ‘แดนวัฏสงสาร’ ไปแล้ว จะไม่ให้ซูอี้ตกใจได้เช่นใดกัน?
“สิ่งที่สามารถบอกได้ ข้าได้พูดไปหมดแล้ว”
อวิ๋นฉีพูดเสียงแหบแห้ง “ตอนนี้ เจ้าก็รู้แล้วว่า ลัทธิทางช้างเผือกของพวกข้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใด สายวิถีทั่วทั้งภูมิมืดมิดของพวกเจ้าก็ไม่อาจเปรียบได้ ข้าหวังเพียงแต่ว่า เจ้าจะทำตามที่พูด อย่าได้ผิดสัจจะวาจา มิเช่นนั้น…”
ไม่รอให้พูดจบ
ปัง!
การฝึกฝนในร่างของอวิ๋นฉีย่อยยับไปตามแรงฝ่ามือของซูอี้!
อวิ๋นฉีส่งเสียงร่ำร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด แผดเสียงร้องราวกับคนเสียสติ “สารเลว! เจ้าเคยบอกว่าจะไว้ชีวิตข้า แต่…”
พูดยังไม่ทันจบ เขาก็ถูกซัดจนสลบ เสียงร้องราวกับคนเสียสตินั้นจึงหยุดชะงักลง
“ข้าเคยบอกว่าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ไม่เคยบอกว่าจะไม่ทำลายการฝึกฝนของเจ้า”
ซูอี้ส่ายหน้า
จากนั้นเขาโยนอวิ๋นฉีไปให้ไก่แจ้เฒ่า “มอบให้เจ้า ขอเพียงอย่าให้ถึงตาย จะระบายอย่างไรก็ตามแต่เจ้า”
ไก่แจ้เฒ่านิ่งไปสักครู่ จากนั้นเขาก็ทำหน้ารังเกียจพลางกล่าว “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากจะรังแกสิ่งไร้ประโยชน์ที่ใครอยากจะทำอะไรก็ได้ ไม่รู้สึกสาแก่ใจเลยสักนิด”
เขาเลียริมฝีปาก “เจ้าก็รู้ ข้าชอบคู่ต่อสู้ขัดขืนเป็นที่สุด ยิ่งขัดขืนข้าก็ยิ่งตื่นตัว…”
ขณะที่เขากำลังพล่าม ซูอี้ก็หมุนตัวเดินออกจากตำหนักแห่งนี้ไปแล้ว
เห็นเช่นนี้ ไก่แจ้เฒ่าจึงรีบไล่ตามหลังไป
ส่วนอวิ๋นฉีที่ถูกทำลายการฝึกฝนถูกทิ้งไว้กับพื้น ไม่มีใครสนใจอีก
จนกระทั่งร่างของซูอี้กับไก่แจ้เฒ่าหายลับไปจากด้านนอกของตำหนัก
อวิ๋นฉีที่กองอยู่กับพื้นจึงลืมตาขึ้น แววตามีประกายความเจ็บแค้นอาฆาตมาดร้ายผุดขึ้น
เขาอ้าปากพ่นลมออกมา มุกวิญญาณสีดำเม็ดหนึ่งกลิ้งออกมา ลายวิถีสีเงินบิดเบี้ยวคดงออยู่ล้อมรอบมุกวิญญาณ
“ข้า อวิ๋นฉี ฝึกตนมาจนถึงวันนี้ เคยได้รับการดูหมิ่นดูแคลนเช่นนี้เสียเมื่อไรกัน? ไอ้พวกสารเลวเหล่านี้… ต้องตายกันให้หมด!!!”
ประกายดุร้ายผุดขึ้นในดวงตาของอวิ๋นฉี พลันกัดลิ้นของตัวเองเพื่อจะทำอะไรบางอย่าง
มือใหญ่เรียวยาวขาวเนียนปรากฏขึ้น แย่งมุกวิญญาณสีดำเม็ดนั้นไปเสียก่อน
อวิ๋นฉีราวกับถูกฟ้าผ่า เขาแหงนหน้าขึ้นมองไปด้านบน
มองเห็นซูอี้กับไก่แจ้เฒ่าย้อนกลับมาอีกครั้ง
จากนั้นอวิ๋นฉีก็กระอักเลือดออกมา ร่างของเขาชักกระตุกราวกับลมบ้าหมูกำเริบ
เพียงแค่ครู่เดียว หัวของเขาก็หล่นไปอีกทาง ตายไปหน้าตาเฉย
ไก่แจ้เฒ่าบ่นพึมพำ “คนชั่วคนนี้อารมณ์รุนแรงเสียจริง โมโหจนตายก็ได้ด้วย?”
……….
Comments