บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 913: ผู้ลงทัณฑ์

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 913: ผู้ลงทัณฑ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 913: ผู้ลงทัณฑ์

ตอนที่ 913: ผู้ลงทัณฑ์

ในฐานะเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า ชิงเถิงเองก็ก่อร่างขึ้นจากวิญญาณชั่วร้ายในเมืองมรณะ เขาย่อมกลัวศิลาหลุมศพนั่นเช่นกัน

แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าหากไร้การปกปักษ์ของศิลาหลุมศพ ด้วยอำนาจของเหล่าภูตผีมวลมารในเมืองมรณะ หากพวกมันทะลักออกไปด้านนอกคงก่อให้เกิดความโกลาหลทั่วโลกหน้าเป็นแน่!

นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินไป

เพราะนับแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนได้ถูกผนึกกักไว้ในเมืองมรณะนี้มายาวนาน

วิญญาณมารร้ายอันแข็งแกร่งสุดขั้วเช่นทูตรับใช้กาฬราตรี อีกาเก้ามืดมิด นักพรตมารชั่วร้ายและบุตรมารวิบากกรรมนั้นต่างแข็งแกร่งพอที่จะเป็นภัยต่อตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้ทั้งสิ้น

หากปล่อยพวกมันออกจากเมืองมรณะได้ จะยังมีขุมกำลังสูงสุดใดในโลกสามารถต้านทานได้อีก?

“เหล่าวิญญาณมารร้ายในดินแดนต้องห้ามสูงสุดแห่งเมืองมรณะอยู่ใต้บัญชาวัดเสวียนหมิงหมดแล้วหรือไม่?”

ซูอี้โพล่งถามขึ้น

ชิงเถิงผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะส่ายหน้าตอบ “รายงานใต้เท้าซู ยามนี้มีเพียงยอดฝีมือไม่กี่คนตามดินแดนต้องห้ามต่าง ๆ เท่านั้นขอรับที่ยอมจำนน ยอดฝีมือส่วนใหญ่ในพื้นที่ต้องห้ามอื่น ๆ ทำเพียงมองสถานการณ์อย่างเย็นชาขอรับ”

หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “อีกาเก้ามืดมิดไม่กล้าใช้กำลังเข้าสยบพวกเขา เพราะถึงอย่างไร ในดินแดนต้องห้ามนับร้อย ๆ ในเมืองมรณะนี้ไม่ได้ขาดตัวตนร้ายกาจอันสามารถทัดเทียมกับอีกาเก้ามืดมิดได้เลย”

ซูอี้พยักหน้า “งั้นก็จัดการง่าย”

ต่อมา ซูอี้ก็ถามถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ของเมืองมืด

จากคำกล่าวของชิงเถิง เส้นทางหยินหยางที่นำสู่เมืองมืดเสียหายอย่างหนัก และผู้ฝึกตนที่ติดอยู่ในคุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดก็ยังไม่มีผู้ใดออกมา

“แล้ว ‘ปีศาจเฒ่าคิ้วขาว’ จากธารสุญโลหิตโกลาหลเล่า ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่?”

ซูอี้ถาม

ชิงเถิงคิดสักพัก ก่อนจะตอบว่า “ปีศาจเฒ่าผู้นั้นไม่ได้ปรากฏกายมาแสนนาน ข้าไม่ได้ข่าวคราวของเขาเลยขอรับ”

ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ และกล่าวว่า “ลืมไปเสีย หาโอกาสเถอะ ข้าจะไปเยือนธารสุญโลหิตโกลาหลเสียหน่อย”

ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวคือ ‘สัตว์สุญญะสว่างว่าง’ ผู้สามารถควบคุมกฎแห่งมิติได้โดยกำเนิด และสามารถเคลื่อนไหวผ่านโลกหล้าต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ

ซูอี้ในอดีตชาติเคยมีข้อขัดแย้งกับปีศาจเฒ่าคิ้วขาวยามออกเดินทางในเมืองมรณะ ยามนั้นปีศาจเฒ่ารีบร้อนเผ่นหายเข้าไปในเมืองมืดโดยไม่ได้ผ่านเส้นทางหยินหยางเลย!

ยามนี้ที่เส้นทางหยินหยางเสียหายหนัก หากต้องการไปช่วยเย่อวี๋ในเมืองมืด เขาก็ควรขอความช่วยเหลือจากปีศาจเฒ่าคิ้วขาว

“ใต้เท้าซู ท่านพบเคล็ดเวียนวัฏสงสารจริง ๆ หรือขอรับ?”

ชิงเถิงอดถามไม่ได้

ซูอี้กล่าวโดยไม่ปฏิเสธ “น้อยคนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ แต่ในเมื่อเจ้าได้เบาะแสมาบ้าง ข้าจะไม่ปิดบัง”

หลังได้รับคำยืนยันจากซูอี้ ชิงเถิงก็อ้าปากค้างอย่างตะลึงอึ้ง

เนิ่นนานจากนั้น ชิงเถิงผู้เพิ่งคืนสติก็กล่าวอย่างจริงจัง “ไม่ต้องห่วงขอรับใต้เท้าซู ข้าจะไม่เผยเรื่องนี้ออกไปแม้เพียงเล็กน้อย หากข้าฝ่าฝืน…”

ซูอี้กล่าวขัด “เอาน่า ก็แค่เรื่องเล็กน้อย ไฉนต้องสาบาน เมื่อข้าพร้อม ข้าจะช่วยเจ้าหาร่างเต๋าและวิถีเต๋าที่พวกมันชิงไปจากเจ้านะ”

ต่อจากนั้น ซูอี้ก็ฝึกฝนเงียบ ๆ ไม่กล่าววาจาใดอีก

บนยอดเขาอันสร้างจากโขดหินยักษ์สีดำแห่งหนึ่ง

อีกาเก้ามืดมิดยืนเกาะกิ่งไม้อันว่างเปล่า คู่เนตรสีเลือดมองออกไปไกล

ทางเข้านภาโกลาหลเป็นหุบเหวยักษ์อันปกคลุมด้วยหมอกสีดำตลอดทั้งปี ตลอดกาลนับแต่โบราณ มียอดฝีมือมากมายพยายามค้นหาโอกาสที่นี่ ทว่าก็ลงเอยด้วยการถูกฝัง

วันนี้ที่ใกล้ทางเข้านภาโกลาหลมีสนามเต๋าขนาดยักษ์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ มีรูปลักษณ์เป็นเก้าตำหนักซึ่งมีเสาสำริดสูงร้อยจั้งจำนวนเก้าสิบเก้าต้นค้ำอยู่

นี่คือค่ายกลสังเวยเลือด!

“ใต้เท้ากาดำ นักบวชลำดับสองเพิ่งได้ข่าวมาว่าจักรพรรดิเจ็ดคนไปถึงเมืองมืดแล้วขอรับ โดยมีหนึ่งคนเป็นตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขอรับ”

ชายในอาภรณ์สีเลือดผู้หนึ่งพลันปรากฏออกมาคำนับอีกาเก้ามืดมิดจากอากาศธาตุ “นักบวชลำดับสองต้องการคำชี้แนะจากท่าน มีคำสั่งใดหรือไม่ขอรับ?”

“ให้ซุ่มรอไปก่อน มีจักรพรรดิยี่สิบสามคนเข้ามาในเมืองมรณะคืนนี้ และในหมู่พวกเขามีเพียงห้าคนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้่ำ ดังนั้นแม้แต่คนเดียวก็ให้หนีออกไปไม่ได้นะ”

ชายในอาภรณ์สีเลือดรับคำสั่งอย่างเกรงขาม “ขอรับ!”

อีกาเก้ามืดมิดพลันถามขึ้น

ผู้ลงทัณฑ์!

เขาคือชายชราผู้หนึ่งซึ่งมีที่มาลึกลับ

บุคคลผู้นี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในเมืองมรณะเมื่อเก้าปีก่อน เขามาหาอีกาเก้ามืดมิดโดยอ้างตนเป็นสหายเก่าของยมบาลและจะช่วยพวกเขากำจัดศิลาหลุมศพซึ่งผนึกเมืองมรณะไว้

ยิ่งกว่านั้น เพื่อพิสูจน์ตัวตนและฝีมือของเขาผู้ลงทัณฑ์เคยเข้าสู่นภาโกลาหลเพียงลำพัง และนำป้ายตราจากยมบาลผู้ถูกกักขังกลับมาด้วย!

ถึงจุดนี้ อีกาเก้ามืดมิดก็สิ้นสงสัยเกี่ยวกับ ‘ผู้ลงทัณฑ์’ ผู้นี้ และตั้งค่ายกลสังเวยเลือดขึ้นข้างทางเข้านภาโกลาหลจากคำชี้แนะของผู้ลงทัณฑ์และไล่จับเหล่าจักรพรรดิที่เข้ามาในเมืองมรณะมาสังเวย

เก้าปีมานี้ ผู้ลงทัณฑ์ได้อาศัยในบริเวณใกล้ศิลาหลุมศพ พยายามหาเคล็ดวิชามากำจัดศิลาหลุมศพมาแต่นั้น

“รายงานใต้เท้า ผู้อาวุโสผู้ลงทัณฑ์ยังไม่ได้เคลื่อนไหวขอรับ”

ชายในอาภรณ์สีเลือดตอบกลับอย่างหวั่นเกรง

เนตรสีเลือดของอีกาเก้ามืดมิดวูบไหว “ช่างเถอะ เมื่อถึงคราวที่จับเครื่องสังเวยมาได้ไม่พอ ข้าจะไปพบเขาเอง”

ทันทีที่กล่าวถึงตรงนี้ เสียงแหวกอากาศอันรีบร้อนก็ดังขึ้น

วูบ!

ร่างของชายชราผู้หนึ่งในชุดสีเงินปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ

สีหน้าของเขาดูลนลาน ขณะรีบเร่งคำนับอีกาเก้ามืดมิดและกล่าวว่า “ใต้เท้า เกิดเรื่องแย่ขอรับ! นักบวชลำดับสามเถี่ยเต๋าเหรินและกลุ่มของเขาตายในเมืองเสี่ยวหมิงหมดแล้วขอรับ!”

อีกาเก้ามืดมิดร่างชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง “จริงหรือ!?”

ชายชราชุดสีเงินสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ผู้น้อยไม่กล้ากล่าวเท็จ ก่อนหน้านี้เมื่อนักบวชลำดับสามลงมือ ผู้น้อยซุ่มรออยู่ในเมืองเสี่ยวหมิงแล้วขอรับ นอกจากนั้น ยามเมื่อเกิดศึกผู้น้อยก็ได้เห็นพวกนักบวชลำดับสามล้มตายทีละคนกับตา ไม่มีผู้ใดเหลือรอดขอรับ”

เขากล่าวทุกสิ่งที่รู้เห็นออกมา

หลังฟังจบ อีกาเก้ามืดมิดผู้แสนเดือดดาลก็กล่าวขึ้น “ข้าบอกแล้วว่าตัวตนของเจ้าคนต่ำต้อยในตระกูลชุยผู้นี้มีปัญหา ไม่ควรดูแคลนเลินเล่อ บอกให้พวกนั้นระวัง แต่ก็ไม่ฟังข้ากันเลย!”

ชายชราชุดสีเงินก้มหน้ากล่าวเสียงสั่น “รายงานใต้เท้า ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาเองก็… ถูกสยบขอรับ…”

อีกาเก้ามืดมิดพลันโพล่งอย่างเดือดดาล “บัดซบ!! ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้? นั่นคือสมบัติของยมบาลนะ จะถูกสยบได้เช่นไร?”

อีกาเก้ามืดมิดดูเกรี้ยวกราดนัก

ทั้งชายในอาภรณ์สีเลือดและชายชราชุดสีเงินต่างเงียบไป

เนิ่นนานจากนั้นอีกาเก้ามืดมิดก็สงบจิตใจ และค่อย ๆ คลายโทสะลง

มันถามว่า “แล้วยามนี้ นักบวชสูงสุดอยู่หนใด?”

ชายในอาภรณ์สีเลือดรีบกล่าว “รายงานใต้เท้า นักบวชสูงสุดกำลังเดินทางขอรับ หากไร้อุบัติเหตุ เขาจะไปถึงที่นั่นในครึ่งชั่วยามขอรับ”

“ส่งข้อความให้เขาไปยังเมืองเสี่ยวหมิง บอกเจ้าคนต่ำต้อยจากตระกูลชุยว่าข้าจะให้โอกาสแลกเปลี่ยนกับเขา เอาดาบปลายมนไร้วจีแผดเผามาแลกกับร่างเต๋าและวิถีเต๋าของเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า”

ชายในอาภรณ์สีเลือดกล่าว “ใต้เท้า แล้วหากเจ้าคนต่ำต้อยผู้นั้นปฏิเสธเล่า?”

อีกาเก้ามืดมิดเงียบไปครู่หนึ่ง

ทว่าโชคร้ายที่ต้องมาเสียดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาไปในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน

สิ่งนี้ทำให้อีกาเก้ามืดมิดคิดไม่ตก

หากเขาพาคนไปยังเมืองเสี่ยวหมิง มันจะส่งผลถึงการไล่จับเป็นจักรพรรดิเหล่านั้นอย่างไม่อาจเลี่ยง

ทว่าหากไม่ทำเช่นนี้ ก็ไม่อาจได้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผากลับมา อย่างน้อยก็ครู่หนึ่ง

ครู่ต่อมา อีกาเก้ามืดมิดก็สูดหายใจลึก ๆ กลั้นความหดหู่ในใจ ก่อนจะกล่าวว่า “การมาเยือนเมืองมรณะของคนผู้นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการหาความลับของเมืองมืดเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยังปฏิเสธแล้วล่ะ”

กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของมันก็ฉายประกายมุ่งมั่น “ทำตามที่ข้าพูดก็พอ จำไว้ว่าอย่าให้นักบวชสูงสุดไปยั่วยุเขาอีก เจ้าคนต่ำต้อยผู้นี้มากด้วยลูกไม้ และต้องนับว่าเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง!”

“ขอรับ!”

ชายในอาภรณ์สีเลือดรีบร้อนจากไป

หอทัศนาสวรรค์

เมื่อซูอี้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ชิงเถิงก็กล่าวขึ้นทันที “ใต้เท้าซู นักบวชสูงสุดจากวัดเสวียนหมิงมาที่นี่ เขากล่าวว่าต้องการพูดกับท่าน ยามนี้เจ้าตัวรออยู่นอกเมืองเสี่ยวหมิงขอรับ”

ซูอี้อดกล่าวอย่างแปลกใจมิได้ “เขามาคนเดียวหรือ?”

ชิงเถิงพยักหน้า “ใช่ขอรับ”

ซูอี้ลุกขึ้นเดินออกประตูไป

ณ นอกเมืองเสี่ยวหมิง

ภิกขุซื่อเอ้อร์รออยู่เงียบ ๆ ใบหน้าชราวัยของเขาดูสุขุม

เมื่อเขาเห็นร่างของซูอี้เดินเข้ามาหาจากด้านในประตูเมืองเสี่ยวหมิง ภิกขุซื่อเอ้อร์ก็พนมมือพลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋า เราพบกันอีกแล้ว”

ซูอี้กล่าวด้วยแววตาหยอกเย้า “เจ้ามาที่นี่เพียงพูดเรื่องนี้หรือไร?”

ก่อนจะเข้าสู่เมืองมรณะ ภิกขุซื่อเอ้อร์เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่าคราวหน้ายามพานพบ อีกฝ่ายจะชำระวิญญาณเขา

ภิกขุซื่อเอ้อร์ไม่สบายใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “หากสหายเต๋าเต็มใจคืนดาบปลายมนไร้วจีแผดเผามา สงฆ์เฒ่าผู้นี้ยินดีขอขมาสหายเต๋าและเปลี่ยนร้ายเป็นดีได้”

หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “และวัดเสวียนหมิงของเราก็จะคืนร่างเต๋าและวิถีเต๋าของสหายเต๋าชิงเถิงให้ด้วย”

ซูอี้แค่นเสียงกล่าว “แล้วหากข้าไม่ตกลงเล่า?”

ภิกขุซื่อเอ้อร์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงรำพึง “อย่างนั้นข้าก็เกรงว่าสหายเต๋าจะไร้โอกาสได้รอดชีวิตจากเมืองมรณะแล้ว”

ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “กลับไปบอกเจ้ากาน้อยนั่นเสียว่าข้าจะไปเมืองมืดในภายหลัง หากมันอยากได้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผา ก็ไปล้างคอรอข้าได้ที่ทางเข้าเมืองมืด”

ภิกขุซื่อเอ้อร์หรี่ตาลงทันควัน ก่อนจะกล่าวอย่างแปลกใจ “จริงหรือ?”

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า”

ภิกขุซื่อเอ้อร์กล่าวอย่างระมัดระวัง “ในเมื่อสหายเต๋าได้ไปพบผู้คุมรัตติกาลมาก่อน เจ้าย่อมเข้าใจว่าเมืองมืดเป็นพื้นที่ต้องห้ามอันน่ากลัวเพียงไร เจ้าไม่กังวลว่าจะ… บาดเจ็บล้มตายหรือไร?”

ภิกขุซื่อเอ้อร์อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวพลางมองซูอี้อย่างลึกล้ำ “ย่อมได้ สงฆ์เฒ่าผู้นี้จะแจ้งการตัดสินใจของสหายเต๋าแก่ใต้เท้ากาดำตามจริง”

กล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไป

“สหายเต๋า ไฉนจึงไม่จัดการเขาเสียเล่า?”

ร่างของโยวเสวี่ยปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ

ซูอี้ยิ้มอย่างไม่แยแส “ในสายตาข้า เขาไม่ต่างอันใดกับคนตาย แค่ว่าจะส่งเขาไปสู่สังสารวัฏยามใดเท่านั้น”

โยวเสวี่ยเม้มปาก และสุดท้ายก็อดยิ้มไม่ได้

“ไปเรียกคนอื่น ๆ เถอะ เราไปหุบเขาเทพร่วงโรยกันก่อน”

ซูอี้สั่ง

“ได้!”

โยวเสวี่ยหันหลังจากไป

ขอเพียงเป็นคำสั่งของซูอี้ นางจะไม่ถามว่าทำไม และไม่ใส่ใจว่าไฉนนางต้องไปหุบเขาเทพร่วงโรยด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด