บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 930: การเปลี่ยนแปลงในเมืองมืด

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 930: การเปลี่ยนแปลงในเมืองมืด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 930: การเปลี่ยนแปลงในเมืองมืด

ตอนที่ 930: การเปลี่ยนแปลงในเมืองมืด

ไม่นานนัก เฟิงอวี่จือ อวิ๋นซงจื่อและคนอื่น ๆ ก็จากไปด้วยกัน

ก่อนลาจาก ซูอี้กล่าวแนะพวกเขาไม่ให้เผยแพร่เรื่องในคืนนี้ออกไป

เพราะถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็ใหญ่มากจนทำให้เกิดจลจลได้ง่าย และตัวเขาก็กลัวว่ามันจะกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ดึงดูดความสนใจทั่วโลกหล้า

แม้ซูอี้จะไม่กลัวถูกพบตัว แต่เขาก็ไม่ได้ชอบความรู้สึกนี้

ในฐานะปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้กล่าวกันว่าเคยเป็นที่เคารพทั่วโลกหล้า ซูอี้มิใส่ใจนามแฝงนี้เลยสักนิด

ทุกคนสาบานจะทำตามเช่นนั้น

และก่อนจากกัน หยวนหลินหนิงก็มีสีหน้าซับซ้อน ดูอยากจะคุยเป็นการส่วนตัวกับซูอี้อยู่หลายหน

ทว่าสุดท้าย นางก็ไม่ได้กล่าววาจาใด

นางรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มในใจ และยิ่งประทับใจกับการกระทำเหนือธรรมดาของซูอี้

แต่นางรู้ดีว่าแม้ตนจะเป็นตัวตนจักรพรรดิ ผู้มีฐานะและชื่อเสียงใหญ่โตในเขตแม่น้ำลืมเลือน แต่นางกับเขาก็ไม่ได้มาจากโลกเดียวกันอยู่ดี

ในภายหน้า เขาและนางก็คงไม่ได้พบกันอีกมากนัก

ดังนั้น นางจึงเลือกเก็บงำความรู้สึกขอบคุณไว้เงียบ ๆ ในใจ

“ชิงเถิงน้อย กล่องหยกนี้ผนึกร่างเต๋าเจ้าไว้ รับไปสิ”

บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์สองขั้ว เมื่อคนอื่น ๆ ต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ซูอี้ก็นำกล่องหยกดำใบหนึ่งออกมาส่งให้ชิงเถิง

“ขอบคุณใต้เท้าซู!”

ชิงเถิงใช้สองมือรับมันมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“เอาล่ะ เจ้าและศิษย์เจ้าก็กลับเมืองเสี่ยวหมิงไปได้แล้วล่ะ”

ซูอี้ยิ้ม

ชิงเถิงลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงกล่าวเสียงต่ำ “ใต้เท้าซู ข้ามีคำขออันไร้เมตตา หวังว่าท่านจะเติมเต็มมันได้ขอรับ”

ชิงเถิงกล่าวอย่างแปลกใจ “ใต้เท้าซูรู้ได้เช่นไร?”

ซูอี้ตอบเสียงเนิบนาบ “เมื่อคืนนี้เมื่อช่วยพวกเจ้าออกมา ข้าได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเจ้าศิษย์อาจารย์แล้ว”

ชิงเถิงพลันตระหนักได้และกล่าวอย่างกระวนกระวาย “อย่างนั้น… ใต้เท้าซูจะรับปากหรือไม่ขอรับ?”

ซูอี้ตอบ “เรื่องนี้ข้ารับปากได้ ว่าหลังออกจากเมืองมรณะ ข้าจะหาที่ฝึกฝนให้ชิงมู่เอง”

ชิงเถิงกล่าวอย่างขอบคุณและโล่งใจ “ขอบคุณใต้เท้าซูสำหรับทุกสิ่งขอรับ!”

เขาหันไปมองชิงมู่ที่ยังตะลึงค้าง และกล่าวว่า “เจ้าทำอันใดอยู่? รีบขอบคุณใต้เท้าซูเข้าสิ!”

ชิงมู่เม้มปากกล่าว “อาจารย์ ข้าไม่อยากจากท่านไปเลย”

แม้วาจาจะเบาหวิว แต่ความดื้อรั้นที่แฝงอยู่ในนั้นยังคงชัดเจน

ชิงเถิงกล่าวตำหนิอย่างเดือดดาลทันที “เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าการออกไปฝึกฝนในโลกภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าเฒ่ามากมายในเมืองอยากไปแต่ไม่อาจเอ่ยขอได้? เจ้า…”

เขากล่าวปรามาสเสียงดังลั่น

นี่ทำให้เขาทั้งโกรธและจนใจ

เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดหัวเราะกล่าวไม่ได้ “เอาล่ะ อย่าฝืนเลย โลกภายนอกทุกวันนี้ก็มิได้สงบสุขนัก อาจจะดีกว่าหากให้พ่อหนุ่มนี่ฝึกฝนกับเจ้าต่อไป”

ชิงเถิงยิ้มอย่างขมขื่น และทำได้เพียงถอดใจ

พ่อแม่คิดการณ์ไกลนั้นก็เพราะรักลูก

ในฐานะอาจารย์ ไฉนเลยชิงเถิงจึงไม่ทำเช่นเดียวกัน?

แต่เขาเองก็รู้กระจ่างว่าไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ เขาพูดได้เพียงว่าวาสนาของชิงมู่มีไม่ถึง ไม่อาจช่วงชิงโอกาสอันมีเพียงครั้งเดียวชั่วชีวิตนี้ได้

“อย่าโอ้เอ้ กลับไปเร็วสิ”

ซูอี้กล่าวเบา ๆ

ชิงเถิงพยักหน้า เขารู้ว่าด้วยนิสัยของซูอี้ อีกฝ่ายไม่ชอบให้พิรี้พิไรมากพิธียามพบยามจาก

ชิงเถิงพาศิษย์ของเขาชิงมู่กลับสู่เมืองเสี่ยวหมิงทันที

ซูอี้ยืดเส้นสาย ก่อนจะกล่าวว่า “ในที่สุดเรื่องยิบย่อยพวกนี้ก็จบ”

โยวเสวี่ยอดยิ้มไม่ได้ ใบหน้าหยกเย็นชาของนางอ่อนหวานดุจกระแสน้ำ

ในความคิดนาง ซูเสวียนจวินเกลียดเรื่องยุ่งยากเช่นนี้แล

เขาชอบทำตามใจด้วยจิตอิสระมากกว่า

“เฒ่าคิ้วขาว ถึงตาเจ้าแสดงฝีมือแล้ว”

ซูอี้มองปีศาจเฒ่าคิ้วขาว

คืนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือไปยังคุกอเวจีทั้งเก้าใต้เมืองมืดและรับตัวเย่อวี๋กลับมา!

“น้อมรับคำสั่งใต้เท้าซู!”

ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวตอบรับอย่างจริงจัง

คุกอเวจีชั้นแรก

เสียงการต่อสู้นั้นดังสนั่นน่าหวาดเกรง

วิญญาณร้ายทั้งหลายทะลักไหลทั่วโลกหล้าดุจคลื่นน้ำ ทิ้งไว้เพียงสถานที่ที่พังทลาย ละเลงเลือดทุกแห่งหนที่เคลื่อนผ่าน

กลุ่มผู้ฝึกตนต่างสิ้นใจคาที่ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างสิ้นหวังมิเต็มใจตาย

ร่างของพวกเขาถูกฉีกกระชากกลืนกิน เหลือเพียงกระดูกแตก ๆ บนพื้น

โลหิตนั้นเจิ่งนองไปทั่วหล้าราวธารสีเลือด ย้อมทุกสิ่งแดงฉาน

เป็นภาพทิวทัศน์สีเลือด

ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่อยู่ในโลกหล้านี้ยังมิได้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ

แต่เดิม พวกเขาถูกผู้อาวุโสสำนักตนพามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ยังคุกอเวจีชั้นแรกนี้

ทว่าช่วงนี้ ด้วยการเสียหายหนักของเส้นทางหยินหยาง คุกอเวจีทั้งเก้าภายใต้เมืองมืดจึงแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน

เมื่อตัวตนซึ่งยังไม่อาจเข้าถึงขอบเขตจักรพรรดิมารับมือภูตผีมวลมารในชั้นแรกนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด อย่างมากก็เอาชนะได้เพียงหลักร้อย

และยามนี้ พวกเขากำลังเผชิญกับศัตรูหลายพันตน!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะต่อกรได้เช่นไร?

ตู้ม!

ทัพวิญญาณร้ายกวาดผ่านมืดฟ้ามัวดินราวพายุสีดำ และไม่นานก็ทะยานหายไปไกล

ภาพอันโหดร้ายนี้เกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว

เหล่าผู้ฝึกตนที่กระจัดกระจายในคุกอเวจีชั้นแรกตายกันไปแสนนาน

เหลือเพียงผู้เหลือรอดเพียงหยิบมือที่ซ่อนตัวอยู่ในสนามเต๋าโบราณแห่งหนึ่ง

สนามเต๋านี้มีขนาดเพียงราว ๆ พันจั้งเศษ มันสร้างจากโขดหินสีดำ และพื้นผิวศิลาใหญ่นี้ก็สลักลวดลายวิถีไว้แน่น

สนามเต๋านี้แต่เดิมคือทางออกจากคุกอเวจีชั้นแรกกลับสู่โลกภายนอก

ลือกันว่าในสมัยโบราณ มันถูกสร้างขึ้นโดยยอดฝีมือในภูมิมืดมิด

ตลอดมา ไร้ปีศาจมวลมารใดกล้าเยื้องกรายเข้าใกล้

ทว่า เนื่องจากการเสียหายหนักของเส้นทางหยินหยาง ค่ายกลที่ปกคลุมสนามเต๋านี้ก็เปลี่ยนแปร พลังของมันลดลงจนน่าใจหาย

จวบจนยามนี้ พลังของค่ายกลทำได้เพียงกั้นขวางไม่ให้เหล่ามารเข้าใกล้ และไม่อาจฆ่าพวกเขาได้อีกต่อไป

ตู้ม!

ทั่วโลกหล้าปั่นป่วน ม่านหมอกคุโชย

ผีร้ายมวลมารปรากฏขึ้นจากทุกสารทิศ เพิ่มจำนวนหนาแน่นล้อมสนามเต๋าไว้มากขึ้นทุกขณะ

ไม่อาจนับจำนวนได้ด้วยสายตา!

ยามนี้มีผู้ฝึกตนสามร้อยเศษรวมตัวกันในสนามเต๋า ทั้งชายหญิง ทุกช่วงวัย และทุกผู้ต่างเป็นผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณ

ใบหน้าของทุกคนดูหน้าซีด หวาดกลัวและสิ้นหวังชัดเจน

เพราะพวกเขาต่างรู้ว่าเมื่อพลังของค่ายกลอ่อนแอลงเรื่อย ๆ พวกมันจะบุกเข้ามาในสนามเต๋านี้ได้ในไม่ช้าก็เร็ว

ถึงยามนั้น คนเหล่านี้ย่อมต้องตายมิเหลือซาก!

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เราก็จะจบสิ้นจริงแท้…”

บางคนกล่าวอย่างสิ้นหวัง

“ไร้หนทางแล้วจริง ๆ หรือ?”

บางคนลนลาน

“นอกจากรอความตาย ข้ายังทำสิ่งใดได้อีก?”

บางคนกล่าวอย่างขมขื่นใจ

คนส่วนมากนั่งนิ่งเงียบ ใบหน้าซีดขาว ราวเป็นคนสิ้นหวังที่นั่งรอความตาย

พวกเขาตามผู้อาวุโสสำนักตนมายังคุกอเวจีชั้นแรกนี้ ตัวตนของพวกเขาย่อมเทียบมิได้กับคนทั่วไป

ทว่ายามนี้ พวกเขาทั้งหมดกลับเหมือนลูกแกะรอวันเชือด สิ้นหวังมิอาจทำอันใดได้

“ไฉนที่นี่จึงเป็นเช่นนี้ได้?”

ทันใดนั้น เสียงเฉยชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ดูเหมือนว่าการพังทลายลงของเส้นทางหยินหยางจะทำให้คุกอเวจีทั้งเก้าใต้เมืองมืดแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์เลย”

จากนั้นทันที เสียงสตรีอันเย็นชาก็ดังตอบ

ยามนี้ ผู้ฝึกตนบางคนก็เห็นแล้วว่ามีคนสามคนปรากฏขึ้นในสนามเต๋ากะทันหัน

เป็นชายหนุ่มชุดเขียว สตรีในชุดกระโปรงเรียบ ๆ และชายชราคิ้วขาวผู้ดูเหมือนคนแคระ

ภาพนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนผงะไปชั่วขณะ และพลันระเบิดความปรีดาออกมา

“มีคนมา! มีคนมาแล้ว!”

“โอ้สวรรค์ เจ้าเข้ามาได้เช่นไร? หรือเส้นทางหยินหยางจะซ่อมเสร็จแล้วหรือ?”

เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้น

ผู้ฝึกตนเหล่านี้ดูยินดีเสียจนบ้าคลั่ง

ยามนี้ ผู้ฝึกตนซึ่งอยู่ ณ จุดอื่นในสนามเต๋าก็ฟื้นจากความสิ้นหวัง และเห็นผู้มาใหม่ทั้งสาม

ทั่วสนามเต๋าเดือดพล่านชั่วขณะ

สำหรับพวกเขา หากมีใครเข้ามาได้ ก็หมายความว่าพวกเขาอาจได้รับการช่วยเหลือ!!

ผู้มาใหม่เหล่านี้ย่อมเป็นซูอี้ โยวเสวี่ยและปีศาจเฒ่าคิ้วขาว

“ขอบังอาจถามผู้อาวุโส เส้นทางหยินหยางเข้าออกเมืองมืดซ่อมเสร็จแล้วหรือขอรับ?”

ชายวัยกลางคนในชุดม่วงผู้หนึ่งซึ่งดูสูงศักดิ์อย่างยิ่งก้าวออกมาคำนับพวกซูอี้ทั้งสาม

ทว่า ดวงตาของเขามองไปทางปีศาจเฒ่าคิ้วขาว

เพราะเขาอนุมานได้ว่าคนแคระชราผู้นี้ให้บรรยากาศร้ายกาจที่สุด!

“เจ้าหนูน้อย เจ้าคิดมากไป เส้นทางหยินหยางไม่อาจซ่อมได้แล้วล่ะ”

ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวกล่าวด้วยสำเนียงโบราณ

ชายวัยกลางคนชุดม่วงชะงักค้าง

ผู้คนซึ่งเดิมแสนปรีดาต่างฉงนใจ

“งั้น… ผู้อาวุโสมาช่วยเราหรือเปล่าเจ้าคะ?”

ไม่ห่างไปนัก สาวงามผู้หนึ่งถามอย่างมีความหวัง

ทุกสายตาต่างหันมองปีศาจเฒ่าคิ้วขาว

เมื่อเห็นเช่นนี้ โยวเสวี่ยก็ลอบถอนใจ

ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวคือนายแห่งดินแดนต้องห้ามธารสุญโลหิตโกลาหล ตัวตนร้ายอาจอันเทียบได้กับจักรพรรดิกระดูกขาวและท่านเทพดาราคล้อย

แม้จะแข็งแกร่งเยี่ยงจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ก็เกรงว่าคงไม่อาจหนีเงื้อมมือเขาพ้น

ทว่าผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณเหล่านี้กลับมองว่าปีศาจเฒ่าคิ้วขาวเป็นผู้กอบกู้ชีวิตพวกตน…

มันเป็นเรื่องที่ต้องบำบัดด่วนจริง ๆ

ทว่าก็เห็นได้ชัดเจนเช่นกัน ว่าผู้ฝึกตนที่ถูกกักขังที่นี่มาสักระยะสิ้นหวังและไม่อยากตายเพียงไร พวกเขาพร้อมคว้าทุกความหวังที่มี แม้จะเป็นเพียงประกายเล็ก ๆ

“ข้าจะช่วยเจ้าได้เช่นไร?”

ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวสีหน้าดูประหลาด เขาอดฉีกยิ้มไม่ได้

ผู้ฝึกตนน้อยเหล่านี้ถือเขาเป็นผู้ช่วยชีวิต นี่คือครั้งแรกที่ได้พานพบเรื่องตลกเพียงนี้

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้ายินดีของเหล่าผู้ฝึกตนก็หายวับไป มองหน้ากันอย่างจนใจ

สีหน้าของใครหลายคนมืดหม่น

ทันทีที่เห็นแสงแห่งความหวัง มันก็ถูกดับสิ้น ทำร้ายจิตใจกันอย่างแสนโหดร้าย

ยามนี้เอง โยวเสวี่ยผู้ไม่ได้เอ่ยคำใดมาก่อนอดถอนใจเบา ๆ และกล่าวขึ้นไม่ได้ “เรามาที่นี่เพื่อรับตัวสหาย หากมีโอกาส เราจะช่วยพวกเจ้าออกไปด้วย”

ทันใดนั้น คู่เนตรหลายคู่ก็หันควับไปมองโยวเสวี่ย และไม่อาจปิดบังความเคลือบแคลงได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด