บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 974: ยั่วโมโห

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 974: ยั่วโมโห at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 974: ยั่วโมโห

…………………………………………………..

ตอนที่ 974: ยั่วโมโห

“ข้ารู้สึกว่าประกาศิตพร่างสวรรค์นี้ไม่ชอบมาพากล”

ผู้ชายวัยกลางคนสวมมงกุฎขนนกพูดเสียงเข้ม

ทุกคนต่างก็ตะลึงด้วยความฉงนสงสัย

กู้จื้อหมิงขมวดคิ้วขึ้นพลางกล่าว “สหายเต๋าหลี่ ประกาศิตนี้มีอะไรผิดปกติเช่นนั้นหรือ?”

ผู้ชายวัยกลางคนสวมมงกุฎขนนกมีนามว่าหลี่ชิงฉวี มาจากบรรพตวิถีพยัคฆ์มังกรแห่งมหาแดนดิน เขาเป็นคนสลักประกาศิตพร่างสวรรค์แห่งนั้นด้วยตนเอง

หลี่ชิงฉวีส่งเสียงเคร่งขรึมออกมา “ให้ข้าตรวจดูสักหน่อย”

ดวงตาของผู้ชายวัยกลางคนสวมมงกุฎขนนกผุดประกายสีทอง ขณะมองไปที่ ‘ประกาศิตพร่างสวรรค์’ ซึ่งอยู่บนหนทางที่ไกลออกไปเส้นนั้น

พินิจพิจารณาอยู่นานมาก

หลี่ชิงฉวีขมวดคิ้ว จากนั้นจึงกล่าวด้วยความฉงนสงสัย “พลังของประกาศิตพร่างสวรรค์ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เพียงแต่…เพียงแต่…”

กู้จื้อหมิงหมดความอดทน และกล่าวขึ้นมา “เหตุใดต้องอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ด้วย พูดมาตรง ๆ ก็ได้”

หลี่ชิงฉวีสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง จากนั้นกล่าว “ข้ารู้สึกว่า พลังที่อยู่ในประกาศิตพร่างสวรรค์นี้ ทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่ข้าสลักในครั้งนั้นมาก ดูเหมือนว่า… จะแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก…”

ทุกคนพากันตะลึง

เช่นนี้หมายความอย่างไร?

กู้จื้อหมิงก็ตะลึงงันเช่นกัน “เป็นเพราะช่วงระยะเวลานี้ประกาศิตพร่างสวรรค์ดูดซับพลังกฎเกณฑ์ที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หกวิถี จึงได้เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นใช่หรือไม่?”

หลี่ชิงฉวีส่ายหน้าน้อย ๆ พลางกล่าว “ตอบยาก”

“เรื่องนี้มีอะไรต้องสงสัยกันเชียว ขอเพียงประกาศิตพร่างสวรรค์ยังอยู่ ก็แสดงว่าหนทางเส้นนั้นไม่มีเหตุขัดข้องอันใด”

ผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทากล่าวไม่ใส่ใจ

พูดจบ เขาก็เดินไปที่ปากทางเส้นนั้นแล้ว

เขาพินิจพิเคราะห์อยู่สักครู่ จากนั้นจึงหันหน้ามองดูทุกคน ยิ้มพลางกล่าว “ข้าบอกแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอันใดเลย พวกเรารีบเดินทางกันเถอะ”

กู้จื้อหมิงกับคนอื่น ๆ ต่างก็พากันพยักหน้า

ทว่ายังไม่ทันได้ออกเดินทาง สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

ลึกเข้าไปในปากอุโมงค์ด้านหลัง กระดูกมือสีขาวมีเลือดไหลเยิ้มปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มไร้เสียง มันจับตัวผู้ชายที่สวมชุดสีเทาเอาไว้

“ช่วยข้าด้วย…!!”

ผู้ชายคนนั้นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ยังไม่ทันดิ้นกระเสือกกระสนก็ถูกมือกระดูกขาวขนาดใหญ่ดึงเข้าไปในอุโมงค์ หายลับไปไม่เห็นอีก

มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังก้องอยู่ไม่ขาด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกกู้จื้อหมิงจนหนาววาบไปทั้งตัว สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันใด

“นี่ นี่มันเรื่องอันใดกัน?”

มีคนถามเสียงสั่น

ผู้ชายที่สวมชุดสีเทาคนนั้นเป็นถึงจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำของคีรีดาบเก้าดาราเลยเชียว!

ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบกลับไม่ทันได้ดิ้นรนกระเสือกกระสนก็ถูกมือกระดูกขาวเลือดอาบจับตัวไป!!

“ตามที่คาดไว้ไม่ผิด… ประกาศิตพร่างสวรรค์นั่นเกิดเหตุขึ้นแล้ว!”

หลี่ชิงฉวีสีหน้าคร่ำเคร่ง ขณะพูดพึมพำ “หากว่าข้าดูไม่ผิด มีคนลบประกาศิตพร่างสวรรค์ที่ข้าสลักไว้ และทิ้งประกาศิตพร่างสวรรค์ที่เหมือนกันไว้ที่ปากทางเข้าอีกทางหนึ่ง”

พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนก็พากันสูดปาก

“ให้ตายสิ ที่แท้ก็มีคนกลั่นแกล้งพวกเรานี่เอง!!”

มีคนสีหน้าย่ำแย่ร้องด่าออกมา “ชั่วร้ายยิ่งนัก อำมหิตมาก!”

“พี่หลี่ ประกาศิตพร่างสวรรค์เป็นวิชาสืบทอดลับของบรรพตวิถีพยัคฆ์มังกร ทั่วทั้งภูมิมืดมิดแห่งนี้ จะเป็นไปได้เช่นใดที่มีคนรู้วิธีสลักประกาศิตเช่นนี้ได้อีก?”

หลี่ชิงฉวีส่ายหน้า “นี่เป็นจุดที่ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเช่นกัน”

ในชั่วขณะนี้เอง กู้จื้อหมิงราวกับนึกอะไรขึ้นได้ สายตาเป็นประกาย “หากว่าข้าเดาไม่ผิด เป้าหมายที่พวกเรารอคอยในครั้งนี้ชิงตัดหน้าพวกเราเข้าไปในถ้ำสวรรค์หกวิถีแล้ว!”

ทุกคนต่างตื่นตะลึง

“ศิษย์พี่กู้ ที่พี่พูดถึงคือชายหนุ่มขอบเขตวงล้อสวรรค์คนนั้นน่ะหรือ?” ซั่งกวนเจี๋ยทนไม่ไหวจึงกล่าวถามขึ้นมา

“ไม่ผิด ก็คือเขา” กู้จื้อหมิงพยักหน้า

“ความหมายของสหายเต๋ากู้ก็คือ ชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนทิ้งประกาศิตพร่างสวรรค์ไว้เช่นกันอย่างนั้นหรือ?”

หลี่ชิงฉวีกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

สายตาของกู้จื้อหมิงดูแปลกไป “ตามที่ข้ารู้มา เขาสามารถทำได้ถึงขั้นนี้จริง ๆ”

ทุกคนไม่อาจสงบใจได้อีก

“ศิษย์พี่กู้ หรือว่าพี่รู้ที่มาของคนผู้นี้แล้วเช่นนั้นหรือ?” ซั่งกวนเจี๋ยถาม

กู้จื้อหมิงตอบเสียงเข้ม “ประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะเข้าใจ ตอนนี้สำคัญที่สุดคือหาหนทางที่ปลอดภัยเส้นนั้นโดยเร็วที่สุด รีบเข้าไปในถ้ำสวรรค์หกวิถีโดยเร็ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด ชายหนุ่มคนนั้นอาจจะไปถึงที่แห่งนั้นแล้วก็ได้!”

พูดจบ เขาก็เบนสายตามองไปที่หลี่ชิงฉวี ก่อนจะกล่าวขึ้นมา “สหายเต๋า ต้องรบกวนเจ้าให้ลงมืออีกครั้งแล้ว”

ครั้งแรกสุด หลี่ชิงฉวีคือคนสำแดงเคล็ดวิชาช่วยพวกเขาหาหนทางปลอดภัยเส้นนั้นเจอ

“ได้”

หลี่ชิงฉวีพยักหน้ารับปาก

ลึกเข้าไปในถ้ำสวรรค์หกวิถี

มันเป็นถ้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล

รอบสี่ด้านแปดทิศทางเป็นหน้าผาสูงชันจรดฟ้าดิน

เมื่อยืนอยู่บนนั้นแล้วคนตัวเล็กกระจ้อยร่อยราวกับมดตะนอย

ใจกลางอุโมงค์ถ้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ มีตำหนักทองอร่ามงดงามทรงโบราณตั้งตระหง่าน

โซ่เทวะสีดำขนาดใหญ่แต่ละเส้นห้อยลงมาจากตัวภูเขารอบด้าน ร้อยทะลุสี่ด้านของตำหนักทองอร่ามจนเต็มไปหมด

โซ่เทวะสีดำแต่ละเส้นพันด้วยพลังกฎเกณฑ์พิศวง ประกายแสงสลัว ๆ ที่แผ่กระจายออกมาราวกับหมอกควัน ให้ความรู้สึกลึกลับน่ากลัว

โซ่เทวะสีดำนับร้อยนับพันเส้นผูกรัดตำหนักทองอร่ามแห่งนั้นไว้อย่างแน่นหนา

เห็นแล้วรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง

ด้านหน้าตำหนักทองอร่าม เป็นลานวิถีที่กินอาณาบริเวณถึงพันฉื่อ

ทางกว้างขนาดสามจั้งทอดเป็นแนวตรงทะลุผ่านลานวิถี มุ่งตรงไปสู่ประตูใหญ่ของตำหนักทองอร่าม

เมื่อซูอี้เดินเข้าไปในที่แห่งนี้มองเห็นสภาพที่คุ้นเคยเหล่านี้แล้ว สายตาสั่นเครือขึ้นมาน้อย ๆ

ที่ตรงนี้ยังคงเหมือนเมื่อก่อน คล้ายกับคุกเรือนจำที่คุมขังเทพเซียน ไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ทันใดซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย

ผู้ชายร่างผอมผมเผ้าปรกหน้าปรกตาถูกจับตัวอยู่บนเครื่องทรมานทองอร่าม เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด บาดแผลเต็มตัว

ถึงแม้ผมเผ้ารุงรังที่เกรอะกรังด้วยเลือดจะบดบังโฉมหน้าของผู้ชายคอตก ทว่าซูอี้ยังคงจำฝ่ายตรงข้ามได้ในทันทีที่เห็น

เฒ่าบอด!!

ซูอี้ขมวดคิ้วขึ้น ดวงตาลุ่มลึกผุดประกายน่าสะพรึงกลัว

ตอนที่อยู่ตระกูลชุย ณ เมืองตาข่ายม่วง เฒ่าบอดได้ออกเดินทางมายังดินแดนอันเป็นที่ตั้งผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ

แต่ซูอี้ไม่คาดคิดมาก่อนว่ายังไม่ทันหาไก่แจ้เฒ่าเจอ กลับมาเจอเฒ่าบอดอีกครั้งในพิภพยมราชฝังวิถีซึ่งอยู่ในส่วนลึกของทะเลทุกข์แห่งนี้!

“ดูท่าแล้ว คนที่เหล่าบรรดาพันธมิตรเสวียนจวินเหล่านั้นตามหาก็คงจะเป็นข้า…”

ซูอี้ยังคงมีสีหน้าราบเรียบดังเดิม เพียงแต่สายตาลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม

เขาก้าวมายังกลางลานวิถี พลางจ้องดูเฒ่าบอดสักครู่ เฒ่าบอดหมดสติไปแล้ว โซ่ล่ามสีเลือดขนาดเท่ากับหัวแม่มือแต่ละเส้นแทงทะลุแขน เอว และขาของเขา ตรึงรัดเขาไว้บนเครื่องทรมานทองอร่าม

เห็นได้ชัดว่าเฒ่าบอดได้รับการทรมานอย่างแสนสาหัส เนื้อตัวมีแต่บาดแผลเหวอะหวะ พลังในตัวอ่อนแรงจนถึงขีดสุด

บาดแผลที่มีเลือดไหลย้อยเหล่านั้นสร้างความโกรธแค้นให้แก่ซูอี้อย่างระงับไม่อยู่

ทว่า เขาไม่ได้ช่วยเฒ่าบอดในทันที

เพราะโซ่ล่ามสีเลือดที่ผูกรัดบนตัวเฒ่าบอดหลอมประทับด้วยกลิ่นอายกัดกร่อนอันร้ายแรงอย่างที่สุด

เหมือนกับค่ายกลกักขังขนาดเล็ก เพียงแค่จับต้องนิดเดียว เฒ่าบอดก็จะถูกทรมาน

คิดสักครู่ ซูอี้ก็หยิบโอสถรักษาบาดแผลที่เก็บรักษาติดตัวออกมา บดโอสถจนแตกละเอียด จากนั้นตวัดปลายนิ้ว

ผงโอสถที่แตกละเอียดรดลงบนตัวของเฒ่าบอดราวกับแสงสว่างสาดส่อง

บาดแผลรอบตัวเขาสมานตัวกันอย่างรวดเร็วทันตาเห็น

“เฒ่าบอด”

ซูอี้ส่งเสียงเรียกเบา ๆ น้ำเสียงราวกับเสียงกลองบอกเวลายามเช้า แฝงเร้นด้วยวิถีอันลึกล้ำ ดังก้องอยู่ในจิตวิญญาณของเฒ่าบอด

ไม่นานนัก ร่างของเฒ่าบอดสั่นสะท้าน ตื่นขึ้นจากอาการสลบไสล

เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบาก เบ้าตาที่ว่างเปล่ามองไปที่ซูอี้

ฉับพลัน เขาราวกับตื่นจากภาวะฝันร้าย ร้องเรียกด้วยความตื่นเต้น “คุณชายซู!?”

น้ำเสียงแหบแห้ง อ่อนกำลัง

พรึ่บ!

เขาราวกับต้องการจะดิ้นรน ทว่าโซ่ล่ามสีเลือดรอบตัวกลับส่องแสง ระเบิดพลังทำลายล้างอันน่ากลัวออกมารัดตัวเขาอย่างแรง ฉับพลันเขาได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไร้ขอบเขต ร้องส่งเสียงออกมาเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว

“อย่าขยับ”

ซูอี้ร้องเบา ๆ “ข้าจะช่วยเจ้าถอดโซ่ล่ามบนตัวออกก่อน ค่อยพาเจ้าหนีออกไปจากที่นี่”

เฒ่าบอดพลันนึกอะไรขึ้นได้ แผดเสียงออกมาในทันใด “คุณชายซู รีบหนีไป! ไม่ต้องเป็นห่วงข้า! คนพวกนั้นวางกับดักไว้ที่นี่เพื่อเตรียมจัดการกับท่าน!”

เสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน

สีหน้าของซูอี้ราบเรียบพลางกล่าว “นับตั้งแต่ที่เห็นเจ้า ข้าก็เดาไว้แล้ว พูดขึ้นมา ครั้งนี้เป็นเพราะข้าจึงทำให้เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

ขณะที่พูด เขาก็ใช้มือแทนดาบฟันออกไปในพริบตาสิบกว่าครั้ง

ฉึบ! ฉึบ!

ท่ามกลางเสียงแตกละเอียดที่ดังขึ้น โซ่ล่ามสีเลือดที่ผูกรัดอยู่บนตัวเฒ่าบอดขาดสะบั้นลงเป็นท่อน ๆ

หลุดจากการจองจำ ร่างของเฒ่าบอดเซถลา เห็นว่ากำลังจะคะมำกับพื้นก็ถูกซูอี้คว้าตัวไว้ได้ทันเวลา

“คุณชาย! ข้า…ข้าผิดต่อท่าน…”

ใบหน้าของเฒ่าบอดเต็มไปด้วยความละอายใจ เอ่ยพูดเสียงสั่น “หลังจากที่พวกเขาจับตัวข้า ทรมานข้า เดิมทีข้าตั้งใจจะปลิดชีพของตัวเอง แต่ไม่นึกเลยว่าทำไม่ได้ กลับยังโดนพวกเขากักขังไปไหนไม่ได้ และค้นจิตของข้า… ข้า ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าที่แท้แล้วพวกเขารู้ไปมากน้อยเท่าใด…”

ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่ เรื่องอื่น ๆ ย่อมไม่สำคัญ ข้าจะพาเจ้าหนีไปจากที่นี่ก่อน”

ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ สีหน้าของเขาสงบราบเรียบมาก ราบเรียบจนถึงขั้นไร้ความรู้สึก

ทว่าความโกรธแค้นภายในใจกำลังสั่งสมจนใกล้จะระเบิด

นับตั้งแต่เข้าสู่ภูมิมืดมิดมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกยั่วจนโมโห!

และในขณะที่ซูอี้ตั้งใจจะพาเฒ่าบอดหนีไป จู่ ๆ เสียงทุ้มหนักของผู้เฒ่าก็ดังขึ้นในอุโมงค์ถ้ำขนาดใหญ่มหึมาแห่งนี้

“ในมื่อมาถึงแล้ว ไหนเลยจะออกไปได้อีก”

ขณะที่เสียงยังคงดังกึกก้องอยู่นั้นเอง ข้างประตูใหญ่ของตำหนักทองอร่ามที่อยู่ห่างออกไป ใกล้กับเงามืดของโซ่เทวะสีดำขนาดใหญ่ที่ซ้อนทับกันไปมาพลันสะท้อนระลอกคลื่นต้องห้ามขึ้น

จากนั้น ผู้เฒ่าในชุดสีดำ มือถือแส้ปัดสีขาวก็ปรากฏตัว

ใบหน้าของเขามีความเมตตากรุณา ลักษณะท่าทางประดุจเทพเซียน

หลังจากที่เขาปรากฏตัว อานุภาพอันน่ากลัวก็แผ่ขยายตามออกมา นั่นเป็นกลิ่นอายพลังของผู้แข็งแกร่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ!

“คุณชายรีบหนีไป!!”

เฒ่าบอดตกใจจนหน้าถอดสี

“ฮ่า ๆๆ พวกข้ารออยู่ ณ ที่แห่งนี้เป็นเวลานานมากแล้ว จะปล่อยให้พวกเจ้าหนีรอดไปได้เช่นใดกัน?”

อีกด้านหนึ่ง บนเขาที่สูงชัน พลันเงาดำที่หยุดนิ่งอยู่ก็เคลื่อนตัว กลายร่างเป็นผู้ชายร่างผอมในชุดสีทอง

เขามีผมขาวโพลนทั้งหัว ลักษณะท่าทางราวกับชายหนุ่มวัยเยาว์ สายตาเย็นวาบประดุจสายฟ้า อานุภาพยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า กลิ่นอายพลังในตัวไม่ด้อยไปกว่าผู้เฒ่าชุดสีดำ

อย่างไม่ต้องสงสัย นี่ก็เป็นตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเช่นเดียวกัน!

หัวใจของเฒ่าบอดดิ่งวูบ

ทว่าสีหน้าของซูอี้ยังคงราบเรียบเหมือนดังเดิม จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมา “เหตุใดยังหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีก แสดงตัวออกมาให้หมด”

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด