บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 987: การเปลี่ยนแปลงของดาบเก้าคุมขัง

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 987: การเปลี่ยนแปลงของดาบเก้าคุมขัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 987: การเปลี่ยนแปลงของดาบเก้าคุมขัง

…………………………………………………..

ตอนที่ 987: การเปลี่ยนแปลงของดาบเก้าคุมขัง

เมฆทัณฑ์บนท้องฟ้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จันทร์เพ็ญสีเงินลอยสูง ทั่วโลกหล้าเงียบสงัด

ทุกสิ่งเงียบงันเช่นกาลก่อน

บนแท่นเกิดใหม่ที่มีความสูงเก้าจั้ง จังหวะแห่งแสงวิถีซึ่งหมุนเวียนบนตัวซูอี้ค่อย ๆ หลอมรวมกับร่างของเขาราวกระแสน้ำบรรจบสมุทร ก่อนจะหายไป

อาภรณ์สีเขียวยังคงเหมือนก่อน ใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงการวางตนที่ปลีกแยกจากโลกหล้า เฉยเมยไม่เห็นสิ่งใดในสายตา

ราวกับเทพเซียนจุติจากสรวงสวรรค์

ซูอี้พลิกมือหยิบไหสุราออกมายกดื่ม

เมื่อสุราลงท้อง เจ็ดส่วนแปรเป็นแสงจันทร์ และสามส่วนที่เหลือกู่คำรามกลายเป็นปราณดาบ กล่าวได้ว่าไร้ใดในหล้าหาญเทียบเท่า!

“สาใจนัก!”

หลังดื่มสุราไปหนึ่งไห สีหน้าแววตาของซูอี้ก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

เขาวางแผนเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิมานานแล้ว

และในที่สุด ยามนี้เขาก็ทำตามคาดหวัง กระโดดเข้าสู่เส้นทางวิถีลึกล้ำได้สำเร็จ

ผู้ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางวิถีลึกล้ำสามารถยกย่องได้ว่าเป็นจักรพรรดิ!

วิถีลึกล้ำนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามขอบเขต ซึ่งก็คือหยั่งเห็นลึกล้ำ รู้แจ้งลึกล้ำ และสานพันธะลึกล้ำ

ในหมู่พวกมัน ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำนั้นก็ยังเป็นที่รู้จักในนามขอบเขตมหาจักรพรรดิด้วย

ในอดีตชาติของเขา ซูอี้นั้นอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลาย และถือว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาแดนดินและโลกหล้า

ยามนี้ เขาเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่ และกลับสู่วิถีลึกล้ำบนแท่นเกิดใหม่ สร้างเส้นทางสู่ขอบเขตจักรพรรดิใหม่อีกครั้ง!

สิ่งใดคือหยั่งเห็นลึกล้ำ?

วงล้อวิญญาณมหาวิถีในร่างของเขาพัฒนาไปเป็น ‘โถงมหาวิถีลึกล้ำ’ สว่างไสวราวตะวัน สาดแสงสว่างเรืองรองหนึ่งเดียวในโลกหล้า

การมาถึงขั้นนี้หมายความว่าอำนาจมหาวิถีนั้นเทียบได้กับท้องนภา เหนือล้ำกว่าผู้ฝึกตนใด ๆ ในโลก

ในด้านการฝึกฝน จักรพรรดินั้นต้องฝึกฝนพลังลึกล้ำมหาวิถี ยิ่งมีพลังลึกล้ำมหาวิถีสูง คุณภาพยิ่งสูง จักรพรรดิผู้นั้นก็ยิ่งแข็งแกร่ง

ทางด้านวิญญาณ เขาสามารถควบรวมอวตารความตั้งมั่น ควบคุมสติเพื่อหยั่งเห็นถึงทุกความเป็นไป

กระทั่งพลังกายยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสะเทือนปฐพี ภัยพิบัติทั้งหลายมิอาจกล้ำกราย สว่างไสวแข่งตะวันจันทรา รากฐานเทียบเท่าฟ้าดิน!

ตลอดมา เหตุที่ผู้ฝึกตนนับร้อยล้านยกย่องจักรพรรดิเป็นดัง ‘เทพ’ ก็เป็นเพราะอำนาจที่พวกเขามีซึ่งสามารถใช้คำว่า ‘อำนาจวิเศษ’ มาบรรยายได้

นี่จึงทำให้เกิดคำเปรียบ ‘วิถีลึกล้ำดุจสรวงสวรรค์ จักรพรรดิเปรียบดั่งเทพ’

“ภายหน้าบนเส้นทาง ไม่จำเป็นที่ข้าต้องใช้ความแข็งแกร่งเข้าประชัน และไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดกลวิธี แค่ดาบสามชุ่นในมือก็ไร้ที่ใดบนโลกที่ข้าไปไม่ได้ และไร้ผู้ใดในโลกที่ข้าเอาชนะไม่ได้แล้วหรือ?”

ซูอี้รู้สึกตื่นเต้น

ครานี้ เขาสัมผัสถึงการแปรเปลี่ยนอันมิเคยเกิดมาก่อนของตนเองแล้ว

ในด้านการฝึกฝน ‘โถงมหาวิถีลึกล้ำ’ ที่สร้างขึ้นในกายเขา ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือพื้นฐานล้วนแข็งแกร่งเหนือใดในโลก เป็นเอกลักษณ์ตลอดกาลนาน!

ในวิญญาณของเขา อวตารความตั้งมั่นดุจผืนหล้านภาสรวง ใหญ่โตไร้จำกัด สะท้อนรับหมู่ดาราบนท้องฟ้า

นี่คือเสน่ห์แห่งธรรมะไร้ใดเปรียบ!

และความแข็งแกร่งของร่างวิถีของเขาก็ยิ่งร้ายกาจไปใหญ่ กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาถูกขัดเกลาดุจทองเทวะ พลังปราณและโลหิตพลุ่งพล่านดุจทะเล อวัยวะภายในและชีพจรประสานจังหวะกับพลังชีวิต ดูราวแปรร่างเป็นรากแห่งฟ้าดิน เทียบเกียรติภูมิตะวันจันทรา!

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดคือปราณลึกล้ำปฐมสวรรค์ซึ่งลอยอ้อยอิ่งในโถงมหาวิถีลึกล้ำ มันเชื่อมระหว่างร่างกับวิญญาณ ทำให้พลังจากการฝึกฝน ร่างกายและวิญญาณสอดประสานสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังทำให้รากฐานมหาวิถีของเขาแข็งแกร่งน่ากลัวยิ่งกว่าเก่า

ก่อนพิสูจน์เต๋า ซูอี้ได้หลอมรวมศิลาเวียนไตรภพทั้งสิบเข้ากับมหาวิถีของเขาไปแล้ว และหลังจากเลื่อนขอบเขต เขาสร้างปราณลึกล้ำปฐมสวรรค์อันแข็งแกร่งไร้ใดเทียบขึ้นในโถงมหาวิถีลึกล้ำทันที!

“หือ? แปลกจัง…”

ไม่นานนัก ซูอี้ก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง

เมื่อเขาได้สร้างร่างเต๋า วิญญาณและการฝึกฝนที่ถูกทำลายขึ้นใหม่บนแท่นเกิดใหม่ ดาบเก้าคุมขังซึ่งลอยอยู่ในห้วงความนึกคิดของเขามาตั้งแต่อดีตชาติกลับลอยเด่นข้างกายเขา ไม่ได้กลับสู่ห้วงความนึกคิดนับแต่นั้น!

ยิ่งกว่านั้น ซูอี้มองปราดเดียวก็เห็นว่าเก้าตรวนลึกลับที่รัดรอบดาบเก้าคุมขังมีการเปลี่ยนแปลง

หนึ่งในโซ่ตรวนแตกหักไปทีละน้อย แปรเปลี่ยนเป็นหมอกแสงสีเทาลอยคลุมและแปรเปลี่ยนดาบเก้าคุมขัง!

“นี่…”

ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้

นับแต่อดีตชาติจวบจนปัจจุบัน นี่คือครั้งแรกที่ดาบเก้าคุมขังแปรเปลี่ยนอย่างน่าตกใจเช่นนี้

หนึ่งตรวนถูกทำลาย หมายความเช่นไร?

ซูอี้เอื้อมมือออกไปคว้าดาบเก้าคุมขังโดยไม่รู้ตัว

ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อดาบเก้าคุมขังพลันหายวับไป และอึดใจต่อมาก็ปรากฏขึ้นในห้วงความนึกคิดของเขา

ขณะเดียวกัน วิญญาณของซูอี้ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนทันทีว่าแสงสีเทาซึ่งแปรเปลี่ยนจากโซ่ตรวนเส้นแรกนั้นแทนตรา ‘อดีตชาติ’ ของเขา!

ตรานี้ได้บันทึกทุกประสบการณ์นับแต่ก่อกำเนิดในอดีตชาติ จนกระทั่งยามที่เขาก้าวสู่จุดสูงสุดแห่งขอบเขตจักรพรรดิ!

เมื่อเขายังเด็ก เขาใช้หนึ่งดาบท่องโลกหล้า ขวนขวายฮึกเหิม เปี่ยมกำลังวังชา ประสบเรื่องพลิกผันมากมาย

ต่อมา เขาก็อุทิศตนเองกับการฝึกฝนวิถีเต๋า เสาะหาจุดสูงสุดแห่งวิถีดาบ

จนกระทั่งเขายืนอยู่ ณ จุดสูงสุดแห่งวิถีดาบบนเก้ามหาแดนดิน ไร้คู่เปรียบในโลกหล้า เขาก็เริ่มสำรวจหาวิถีดาบที่สูงส่งกว่านี้…

ยามนี้ ทุกประสบการณ์ ความรู้ และวิถีเต๋าที่สั่งสมมาในอดีตชาติ… ล้วนถูกหลอมรวมเป็นตรานั้น

ทว่าเมื่อค้นพบสิ่งนี้ ซูอี้ก็ตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน

“หรือตรวนลึกลับนี้จะเป็นตัวแทนวิถีเต๋า… ในอดีตชาติของเราหรือ?”

นี่ช่างเหลือเชื่อ

ควรค่าจดจำว่าในอดีตชาติ ดาบเก้าคุมขังนี้ถูกพันธนาการด้วยเก้าโซ่ตรวน และเพื่อคิดหาทางตีความตรวนทั้งเก้า ซูอี้ก็ไม่รู้ว่าทุ่มเทแรงกายใจเนิ่นนานเพียงไร

ทว่าท้ายที่สุดก็ยังคว้าน้ำเหลว

แต่ยามนี้ เมื่อเขาผ่านภัยพิบัติอันเหมือนทัณฑ์ประหารจากสวรรค์ หวนคืนสู่วิถีลึกล้ำอีกครั้ง ดาบเก้าคุมขังกลับแปรเปลี่ยนเช่นนี้!

ซูอี้จะไม่แปลกใจได้เช่นไร?

“หากตรวนนี้ผนึกกรรมในอดีตชาติของข้า แล้วตรวนอีกแปดเส้นเล่าผนึกอันใด?”

แววตาของซูอี้สับสนงุนงง และความคิดชวนตะลึงก็ปรากฏขึ้นในใจ…

เช่นนั้น ทุกครั้งที่หนึ่งตรวนสลาย ก็เป็นไปได้สูงมากว่าพวกมันจะมีวิถีเต๋าเป็นของตนเอง!

หากเป็นเช่นนั้น ชีวิตในอดีตชาติของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นการเวียนวัฏสงสารครั้งที่เก้าของเขา!

และในชีวิตนี้ ก็น่าจะเป็นการเวียนวัฏสงสารครั้งที่สิบ!

มันจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?

ซูอี้ตะลึงงัน และไม่อาจมั่นใจได้

“หากเป็นเช่นนี้จริง ไฉนในอดีตชาติยามข้าก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ ข้าจึงไม่อาจสำรวจความทรงจำวิถีเต๋าในอดีตชาติก่อน ๆ ของข้าได้เล่า?”

“ทว่าชาตินี้ เมื่อข้าก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ ข้ากลับสามารถสัมผัสวิถีเต๋าอันสมบูรณ์ในอดีตชาติได้ แปลกจริงแท้”

ยิ่งซูอี้คิด เขายิ่งสงสัย

ครู่ต่อมา เขาก็ส่ายหน้าและไม่คิดไปมากกว่านี้

ทุกสิ่งในยามนี้เป็นเพียงการคาดคะเน ไร้พื้นฐานอันเชื่อถือได้ และไม่มีเบาะแสอื่นใด คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

ทว่าการเปลี่ยนแปลงของดาบเก้าคุมขังในวันนี้ก็ยังคงดึงดูดความสนใจของซูอี้อยู่ดี

สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักว่าหากวิถีเต๋าของเขาล้ำกฎต้องห้ามบางอย่าง และได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาก็อาจจะทำลายตรวนบนดาบเก้าคุมขังได้อีกครั้ง!

เพียงในวันนี้ เขาได้ฟื้นคืนจากความตาย และด้วยพลังกฎเกณฑ์ของแท่นเกิดใหม่ เขาก็ผ่านภัยพิบัติจากสวรรค์ และเลื่อนขอบเขตดุจเกิดใหม่จากเถ้าถ่าน

“แม้ระดับการฝึกฝนของข้าจะยังแย่กว่าในอดีตมาก แต่พื้นฐานมหาวิถีที่ข้าสร้างยามมาถึงวิถีลึกล้ำนั้นสูงล้ำยิ่งกว่าอดีตชาตินัก และยังมี ‘ปราณลึกล้ำปฐมสวรรค์’ ที่ข้าไม่มีในอดีตชาติด้วย บางทีคงเป็นเพราะเช่นนี้ ข้าจึงสามารถทำลายตรวนแรกของดาบเก้าคุมขังได้…”

“และนี่ยังอาจหมายความด้วยว่าเส้นทางที่ข้าแสวงหาในชาตินี้เหนือล้ำกว่าอดีตชาติไปไกล!”

ซูอี้ลอบกล่าว

เมฆทัณฑ์บนท้องฟ้าสลายไปแล้ว

ปราณรุนแรงกดดันทุกวิญญาณ เปี่ยมอันตรายถึงชีวิตเองก็สลายไปจากยมบาลทีละน้อย

เมื่อนางลืมตาที่หลับแน่นของนางขึ้นอีกครั้ง ก็พบร่างอันคุ้นเคยยืนอยู่บนแท่นเกิดใหม่

อาภรณ์เขียวดุจหยก เส้นผมสยายยาว ท่วงท่าเหนือมนุษย์ดุจเทพเซียน

เขาคือซูอี้!

ทว่าเมื่อเทียบกับกาลก่อน บรรยากาศรอบกายซูอี้ดูเฉยเมยกว่าเก่า ราวกับได้รับการกลั่นบริสุทธิ์สู่ต้นกำเนิด ล่องลอยแยกตัวจากโลกภายนอก

แม้พินิจอย่างระมัดระวังก็ยังยากจะเข้าใจว่าการฝึกฝนของเขาแข็งแกร่งเพียงใด

หนึ่งประโยคปรากฏขึ้นเงียบ ๆ ในใจของยมบาลสาว ‘ลึกล้ำราวเหวนรกอันไม่อาจคาดเดา!’

“ยินดีด้วยสหายเต๋า ที่ได้พิสูจน์เต๋าขึ้นเป็นจักรพรรดิ กลับสู่วิถีลึกล้ำอีกครั้ง!”

ยมบาลตั้งสติ ก่อนจะยิ้มหวาน

ดวงตาคู่งามของนางเปี่ยมเสน่ห์เฉลียวฉลาด มีทั้งความใคร่รู้และความยินดีจากใจ

ภัยพิบัติก่อนหน้านี้เพียงพอจะลบจักรพรรดิใด ๆ จากโลกหล้าได้ แต่ซูอี้บนแท่นเกิดใหม่หวนคืนจากความตาย และพิสูจน์เต๋าทะลวงผ่านภัยพิบัติ นี่เปรียบดั่งปาฏิหาริย์อันไม่เคยเกิด!

นี่ยังทำให้นางรู้สึกชื่นชมไม่มากก็น้อย

ซูอี้ยิ้ม พลางเดินลงมาจากแท่นเกิดใหม่

ตู้ม!

เบื้องหลังเขา แท่นเกิดใหม่อันลึกลับจมลงทีละน้อย และในที่สุดก็หายไปจากภูเขาน้ำเต้าเซียน

“เอาของมาให้ข้าสิ”

สายตาลึกล้ำของซูอี้จ้องมองไปยังยมบาล

ทันทีที่นางถูกเขาจับจ้อง ร่างอรชรทว่าภาคภูมิของยมบาลสาวพลันแข็งทื่อไปเล็กน้อย และนางก็สัมผัสถึงความรู้สึกกดดันจนจิตใจตึงเครียดอย่างมิเคยเป็นมาก่อน

“หากคนผู้นี้อยากทำลายอวตารของข้าเสียยามนี้ เกรงว่าคงทำได้โดยไม่มากความเลย…”

ยมบาลคิดเช่นนั้นในใจ จากนั้นใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ และส่งสมบัติเหล่านั้นคืนแก่ซูอี้ “สหายเต๋ารับไปสิ”

ซูอี้ยกมือขึ้นดีดจมูกโด่งของนางพลางกล่าวยิ้ม ๆ “เจ้านี่แสนรู้นัก”

ยมบาลสาวตะลึง ด้วยไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะโดนล้อเล่นแบบนี้

เจ้านี่… กล้าดีเช่นไร… มาดีดจมูกนางอย่างหยอกล้อเช่นนี้?!

แล้วยังมาบอกว่านางแสนรู้?

ใบหน้างามของนางแดงก่ำ แววตาเปี่ยมเสน่ห์พราวระยับฉายประกายทั้งอับอายและโทสะ ฟันขาวกระจ่างกัดริมฝีปากสีกุหลาบ หวังเหลือเกินว่าจะได้ชกใบหน้ายิ้มแย้มของซูอี้เต็ม ๆ หมัดสักครั้ง

ซูอี้ยกมือพลิก และดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ ดาบเมฆาแดง โคมไฟเก้ามังกร เกราะสวรรค์แสงเงินและสมบัติอื่น ๆ ก็ถูกเก็บไป

เหลือเพียงหนึ่งกระสวยพรางสวรรค์

“เอาล่ะ เจ้าได้เห็นแล้วว่ามีเคล็ดเวียนวัฏสงสารส่วนหนึ่งอยู่ที่นี่ หากสามารถพอ ก็ไปทำความเข้าใจมันได้”

ซูอี้กล่าวพลางหันหลังจากไป

เมื่อเห็นร่างของเขาทะยานสู่ฟ้า ยมบาลก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “สหายเต๋า เจ้าจะไปจัดการศิษย์สมควรตายของเจ้าหรือ?”

“ถูกต้อง”

“เช่นนั้น ข้าไปกับเจ้าด้วยได้หรือไม่?”

ยมบาลสาวทะยานติดตามขึ้นมาบนฟ้า นางอยากเห็นนักว่าซูอี้หลังพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิแข็งแกร่งเพียงไร

“แน่นอน แต่เงื่อนไขคือ… ถ้าเจ้าตามทันนะ”

เสียงของซูอี้ยังคงไม่จางหาย แต่กระสวยพรางสวรรค์ในมือของเขาก็ระเบิดพลังมิติพาตัวเขาหายไปในพริบตาแล้ว

ยมบาลสาว “?”

ไม่เพียงหยอกข้าเล่น ยังอยากสลัดข้าทิ้งด้วย?

ไม่มีทางเสียหรอก!

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด