บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 171: ถึงแม้ไม่อาจเอื้อมถึง แต่ใจนั้นฝักใฝ่ถึง
หากว่าเป็นเมื่อก่อน โจวจือหลีคงจะลังเลอยู่บ้าง
เพราะอย่างไรเสีย แต่ก่อนเขาเคยคิดจะดึงซูอี้มาเป็นพวกด้วยตั้งหลายครั้ง ทว่าทุก ๆ ครั้งล้วนบอกลาด้วยความพ่ายแพ้
ทำให้เขาเข้าใจได้อย่างถ่องแท้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างซูอี้จะยอมเป็นพวกเดียวกับเขา
ทว่าตอนนี้ ลำพังเพียงแค่ซูอี้ช่วยจัดการองครักษ์ระดับปรมาจารย์สามคนข้างกายเสด็จพี่สามของเขา ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ซูอี้ช่วยชีวิตฉางกั้วเค่อ เพียงเท่านี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่โจวจือหลีจะรับเงื่อนไขของอวี๋ไป๋ถิง
โจวจือหลีเงยหน้ากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก “ผู้อาวุโสอวี๋ ข้าขอบอกกับเจ้า ในสายตาของข้า การสนับสนุนของตระกูลอวี๋ยังเทียบไม่ได้กับนิ้วมือสักนิ้วของคุณชายซู”
“ตระกูลของพวกเจ้า… ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ!”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อออกไป
ชิงจิน ฉางกั้วเค่อ มู่จงถิงตามออกไป
ในใจของพวกเขาต่างก็รู้สึกขบขันยิ่งนัก คิดจะฆ่าซูอี้?
อวี๋ไป๋ถิงคงจะเสียสติไปแล้ว!
มองตามพวกเขาออกไป อวี๋ไป๋ถิงนั่งนิ่งอยู่กับที่ด้วยสายตาหม่นหมองอยู่นาน
บ่าวรับใช้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างกายอดไม่ได้เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “เพื่อซูอี้ องค์ชายหกถึงขั้นขัดใจตระกูลอวี๋ของพวกเรา ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน”
“โง่เขลา? เขาฉลาดมากต่างหาก”
อวี๋ไป๋ถิงหยิบกาสุราขึ้น รินสุราให้ตัวเอง “เป็นเพียงคนหนุ่มขอบเขตรวบรวมลมปราณคนหนึ่ง ซึ่งสามารถฆ่าราชาหมาป่าขนสีโลหิตได้ กระทั่งปรมาจารย์ขั้นหนึ่งอย่างเฉียวเหลิ่งก็ยังไม่สามารถทำได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เฒ่าเหวิน… ก็ตายด้วยฝีมือคนหนุ่มคนนี้เช่นกัน…”
พูดถึงจุดนี้ ความเก็บกดผุดขึ้นในสายตาของอวี๋ไป๋ถิง ในใจรู้สึกถึงความเจ็บปวด
ผู้เฒ่าเหวินช่ำชองในศาสตร์ลับ และเป็นถึงปรมาจารย์ในวิถียุทธ์ขั้นสอง ตลอดช่วงเวลาหลายปีมานี้เขาก็เป็นหนึ่งในผู้ช่วยแขนซ้ายขวาของเขามาโดยตลอด
เรื่องมากมายที่ต้องเก็บเป็นความลับ ผู้เฒ่าเหวินล้วนสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
ทว่าเมื่อคืนนี้เอง ผู้เฒ่าเหวินกลับต้องมาตายต่อหน้าคนหนุ่มคนนั้น!
อวี๋ไป๋ถิงตรวจดูบาดแผลบนร่างผู้เฒ่าเหวินแล้ว ภายนอกดูคล้ายกับตายเพราะถูกงูตัวน้อยสีแดงนั้นดูดโลหิต ความจริงแล้วบาดแผลที่ทำให้ถึงชีวิตอยู่ที่การตีกลับของวิญญาณ!
กระทั่ง ‘ตาทิพย์จับวิญญาณ’ อันแก่กล้าของผู้เฒ่าเหวินก็ยังถูกทำลาย!
เช่นนี้เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัยว่าซูอี้คนนั้นน่าหวาดกลัวเพียงใด
“ฉลาด?”
บ่าวเฒ่าข้างกายไม่เข้าใจมากนัก
“หากข้างกายข้ามีบุคคลที่น่ากลัวอย่างเช่นซูอี้อยู่ด้วย จะยอมโง่เขลาจนถึงขั้นทำลายซูอี้เพื่อเปลี่ยนตัวผู้สนับสนุนคนหนึ่งเช่นนั้นหรือ? ทำเช่นนี้ไม่ผิดไปจากการทำลายการฝึกฝนของตัวเองเลย”
อวี๋ไป๋ถิงดื่มสุราไปจอกหนึ่ง ลิ้มรสชาติเผ็ดร้อนประดุจดาบของสุราจอกนั้นแล้ว เขากล่าวขึ้นมาเบา ๆ “ข้าตัดสินใจไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ว่าจะสนับสนุนองค์ชายรองพร้อมกับเซี่ยงเทียนชิว สาเหตุที่มาพบองค์ชายหกในวันนี้ก็เพียงเพื่อดูท่าทีของเขาเท่านั้น”
บ่าวเฒ่าข้างกายเข้าใจขึ้นมา และกล่าวว่า “ที่แท้ใต้เท้าก็ตัดสินใจไว้ก่อนแล้ว”
“ข้าไม่ได้ตัดสินใจไว้ก่อน แต่เมื่อคืนนี้ เป็นเพราะคำพูดที่ซูอี้ให้เฉียวเหลิ่งนำกลับมาบอกประโยคนั้น ทำให้ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้”
แววตาของอวี๋ไป๋ถิงเย็นยะเยือก
“บอกว่าอย่างไรหรือขอรับ?”
“เขาบอกว่า เมื่อไรที่รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจะมาเดินเล่นที่จวนตระกูลอวี๋ของพวกเรา… หึหึ นานมากแล้วที่ข้าไม่เคยรู้สึกโดนข่มขู่เช่นนี้”
“คน ๆ นี้ช่างโอหังยิ่งนัก!” บ่าวเฒ่าสีหน้าเคร่งเครียด
อวี๋ไป๋ถิงหัวเราะสีหน้าเหี้ยมเกรียม ในสายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “โอหัง? ไม่เลย คนหนุ่มอย่างเขา ในเมื่อกล้าพูดออกมาเช่นนี้ นั่นก็แสดงว่ากล้าที่จะทำเช่นนั้นจริง ๆ อยากจะทำลายความคิดของเขา มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น”
เขายกกาสุราขึ้นรินอีกครั้ง กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ฆ่าเขาเสีย ลำบากหนเดียวสบายใจไปชั่วนิรันดร์”
พูดจบ เขายกสุราจอกนั้นขึ้นดื่มจนหมด
สีหน้าของบ่าวเฒ่าแสดงความกังวล “ใต้เท้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปพวกเราก็ต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อองค์ชายหกซึ่ง ๆ หน้าเช่นนั้นหรือขอรับ?”
“ผิดแล้ว”
อวี๋ไป๋ถิงแย้มรอยยิ้มน้อย ๆ ออกมา “เมื่อคืนนี้ที่ข้าไปพบเซี่ยงเทียนชิวเป็นอันดับแรก เพราะข้าคิดไว้แล้วว่าจะยืมกำลังขององค์ชายรองจัดการกับเรื่องนี้”
ดวงตาของบ่าวเฒ่าลุกวาว
บัดนี้ ในมหานครกุ่นโจว กำลังระดับสุดยอดที่เป็นกองกำลังขององค์ชายรองมีจวนเจ้าแคว้น ตระกูลจ้าว และตระกูลไป๋!
เรียกได้ว่าเป็นสามมหาหิน
หากว่ารวมตระกูลอวี๋ของพวกเขาเข้าไปด้วยอีกตระกูล องค์ชายหกอย่าได้ฝันว่าจะมีโอกาสสอดมือยุ่งเกี่ยวกับตำแหน่งเจ้าแคว้นคนใหม่!
และที่เด็ดกว่าคือ เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลอวี๋ของพวกเขาสามารถใช้กำลังของพันธมิตรคนอื่นจัดการกับองค์ชายหกในทีเดียว
เมื่อองค์ชายหกล้ม ซูอี้จะรอดไปได้อย่างไร?
“เมื่อคืนนี้เซี่ยงเทียนชิวก็รับปากแล้วว่า ขอเพียงตระกูลอวี๋ของข้าสนับสนุนองค์ชายรอง เขาจะช่วยข้าจัดการกับเรื่องนี้”
อวี๋ไป๋ถิงกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “มีดเล่มดีเช่นนี้ ไม่ใช่ก็น่าเสียดาย…”
——
“ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้คุณชายซูไปทำอะไรไว้ ทำให้ตาเฒ่าอวี๋ไป๋ถิงโกรธจนถึงขั้นเสนอเงื่อนไขให้ข้า แก่แล้วเลอะเลือนเสียจริง”
ระหว่างทางที่ย้อนกลับสู่ตระกูลเจิ้ง โจวจือหลีหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมา
ท่าทีหยิ่งยโสที่อวี๋ไป๋ถิงแสดงออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้ไฟโกรธสุมอยู่ในหัวใจของเขาเช่นกัน
“ฝ่าบาท สำหรับพวกเราแล้ว การทำเช่นนี้กลับเป็นเรื่องที่ดีมาก!”
มู่จงถิงหัวเราะพลางกล่าว “เพราะเรื่องนี้ ถึงแม้คุณชายซูไม่เคยเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเรา แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ด้วยวิธีการของคุณชายซู เพียงพอจะทำให้ตระกูลอวี๋สูญเสียอย่างหนักแน่นอน!”
ฉางกั้วเค่อย่นคิ้วพลางกล่าว “ใต้เท้ามู่ เจ้าคิดจะใช้คุณชายซูเป็นดาบเช่นนั้นหรือ?”
น้ำเสียงแฝงด้วยความเย็นเยือก
มู่จงถิงรีบอธิบาย “น้องฉางอย่าได้เข้าใจผิด มู่ผู้นี้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดหลอกใช้คุณชายซู ข้าเพียงแค่วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของสถานการณ์เท่านั้น”
โจวจือหลีกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม “อาจารย์ลุงฉางกล่าวไม่ผิด คุณชายซูมีพระคุณต่อพวกเรา จะคิดหลอกใช้ไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อท่านพี่ของข้าตรวจสอบพบเบาะแสของคุณชายซูแล้ว ข้าจะไปกราบคารวะด้วยตนเอง และจะบอกเขาถึงท่าทีของตาเฒ่าอวี๋ไป๋ถิงด้วย ไม่ว่าเขาต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ข้ารับรองว่าจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา!”
น้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
ฉางกั้วเค่อกล่าวชื่นชม “บุญคุณความแค้นแยกแยะชัดเจน จิตใจยึดมั่นคุณธรรม ลูกผู้ชายควรจะเป็นเช่นนี้!”
ชิงจินเบะริมฝีปากแดงอิ่มเอิบด้วยความเย้ยหยัน กล่าว “ศิษย์พี่ไม่ทราบ ในใจของฝ่าบาทหก ซูอี้อยู่ในตำแหน่งที่สูงมาก ไม่มีใครสามารถแทนที่เขาได้ หากว่าซูอี้เป็นหญิง เกรงว่าฝ่าบาทหกคงจะหมอบกราบอยู่ใต้ชายกระโปรงงามไปตั้งนานแล้ว”
โจวจือหลีหน้าเจื่อนขึ้นในทันใด แล้วกล่าวว่า “ท่านอา กล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ที่ข้าทำไปนั้นเรียกว่าเห็นอกเห็นใจกันและกัน ในใจของข้า คนอย่างคุณชายซูสามารถกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลไร้ผู้เทียมทาน ความแกร่งฉกาจของเขา ความสง่างดงามของเขา ถึงแม้ไม่อาจเอื้อมถึง แต่ใจนั้นฝักใฝ่ถึง”
ชิงจินเหลือกตาดวงโตใส่ “คำพูดเยินยอเหล่านี้ เจ้าเก็บไว้ไปพูดให้เขาฟังเถอะ”
โจวจือหลีแอบถอนใจ เป็นดังที่คาดไว้ไม่ผิด หลังจากถูกคุณชายซูตบไปหนึ่งฉาด ปากของท่านอาก็เปลี่ยนไป เหน็บแนมเก่งขึ้นมาก
—–
หอศิลาทองคำ
“ต่อไปเมื่อคุณชายแสดงป้ายแผ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นสาขาไหน ๆ ของหอศิลาทองคำ ล้วนได้รับการต้อนรับในฐานะแขกคนสำคัญ”
หญิงงามเรือนร่างชดช้อยในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนยิ้มน้อย ๆ พลางยื่นแผ่นป้ายให้คนหนุ่มชุดสีเข้มตรงหน้า
นางมีนามว่าฮวาเหยียน เป็นผู้รับผิดชอบหอศิลาทองคำในแคว้นกุ่น อายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น งดงามละเมียดละไม ชุดกระโปรงยาวตัดเย็บพอดีตัวขับเน้นเรือนร่างอรชรให้มีส่วนโค้งเว้าชัดเจน ขายาวเนียนขาวประดุจหยก รูปร่างได้สัดส่วนเป็นเลิศ
ซูอี้รับแผ่นป้ายมา จากนั้นยื่นให้ฉาจิ่นที่อยู่ข้างกาย “เก็บไว้”
ฉาจิ่นเก็บแผ่นป้ายเป็นอย่างดี เชื่อฟังคำสั่งยิ่งนัก
ดวงตาคู่งามของฮวาเหยียนมีแววตาเปลี่ยนไป
รูปร่างหน้าตาของฉาจิ่นเรียกได้ว่าไม่มีใครเทียมเทียบ ยิ่งกว่านั้นคือความสดใสงดงามอันเป็นเอกลักษณ์บนตัวนาง หญิงงามเช่นนี้กลับยอมเป็นหญิงรับใช้ข้างกายคนหนุ่มชุดเข้มคนนี้ นางคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ
นึกถึงสินค้าจำพวกอาวุธและไม้หายากที่ซูอี้ซื้อนำออกมาขายเมื่อสักครู่แล้ว นางก็ยิ่งอยากรู้นักว่าที่แท้แล้วคนหนุ่มคนนี้เป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่
“ต่อไปหากว่ามีเวลาว่าง จะมารบกวนอีก”
พูดพลาง ซูอี้ก็หมุนตัวออกไป
“ยินดีต้อนรับคุณชายเสมอ”
ฮวาเหยียนยิ้มพลางออกไปส่งพวกเขาด้วยตนเอง
จนกระทั่งเดินออกจากหอศิลาทองคำแล้ว พลันซูอี้ก็ถามขึ้น “เจ้าบอกว่าชื่อฮวาเหยียน หรือว่ายังมีพี่น้องที่ชื่อว่าเฉียวอวี่?”
ฮวาเหยียนนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นเม้มปากหัวเราะน้อย ๆ กล่าวพลางกะพริบตาปริบ ๆ “คุณชายทายแม่นดังเทพเซียน ข้ามีน้องสาวที่ชื่อว่าเฉียวอวี่จริง ๆ”
“น้องสาวฝาแฝดเช่นนั้นหรือ?” ซูอี้ประหลาดใจ
ฮวาเหยียนหัวเราะมีเลศนัย กล่าว “ต่อไปหากคุณชายมีโอกาสไปหอศิลาทองคำที่นครหลวงอวี้จิง บางทีอาจจะได้รับคำตอบก็เป็นได้”
“น่าสนใจ”
ซูอี้ก็หัวเราะเช่นกัน จากนั้นเดินมือไพล่หลังส่ายอาด ๆ ออกไป
ฉาจิ่นรีบตามติด ในใจแอบบ่นพึมพำอยู่คนเดียว พี่น้องฮวาเหยียนเฉียวอวี่?
ข้าว่าพูดจาฉอเลาะหว่านเสน่ห์ผู้ชายมากกว่า!
ทว่า ดูท่าทางคุณชายจะให้ความสนใจอยู่บ้าง…
หรือว่าเขาชอบผู้หญิงที่อายุมากกว่าตัวเองเช่นนั้นหรือ?
หากว่าเป็นเช่นนี้จริง เขาก็ไม่เว้นเลยจริง ๆ ด้วย…
ฉาจิ่นรู้สึกขมขื่นและอึดอัดขึ้นมาในใจอย่างประหลาด
เห็นว่าซูอี้กับฉาจิ่นเดินจากไปไกลทุกทีแล้ว ฮวาเหยียนจึงเก็บรอยยิ้มที่มุมปาก หมุนตัวกลับเข้าไปในหอศิลาทองคำ และเข้าสู่ห้องลับแห่งหนึ่งโดยเร็ว
“คุณหนู”
ในห้องลับ ชายเฒ่าผมขาวโพลนลุกขึ้นแสดงความเคารพ
“ลุงอิงมองที่มาของอาวุธเหล่านั้นออกหรือไม่?”
ฮวาเหยียนนั่งลงด้วยกิริยาท่าทางที่งดงาม
อาวุธมากมายวางเรียงกันบนโต๊ะด้านหน้าชายเฒ่าที่ถูกเรียกว่าลุงอิง
“ร่มคันนี้ ชื่อว่าทิ่มโลหิต มีกลไกลับซ่อนอยู่ เป็นอาวุธวิญญาณที่ไม่ธรรมดา เป็นของปรมาจารย์ฮวาเหลียนซิ่ว”
ลุงอิงกล่าวน้ำเสียงต่ำทุ้ม “ขวานคู่นี้ ชื่อว่าทลายภูผา หากว่าข้าเดาไม่ผิด ควรจะเป็นอาวุธของปรมาจารย์จี๋ชางเหอ
เนตรงามของฮวาเหยียนนิ่งไป ก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อวานนี้ ข้าได้ข่าวจาก ‘หอสิบทิศ’ ว่า องครักษ์ขอบเขตปรมาจารย์สามคนตายอยู่ในป่าลึกนอกมหานครกุ่นโจวห่างไปสามร้อยลี้”
“นอกจากฮวาเหลียนซิ่วกับจี๋ชางเหอแล้ว ยังมีอินถงที่ปรึกษาข้างกายองค์ชายสามอีกคน”
กล่าวถึงตรงนี้ บนใบหน้าของนางปรากฏสีหน้าประหลาด “หรือว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของคนหนุ่มคนเมื่อสักครู่?”
หอสิบทิศ องค์กรใต้ดินลึกลับองค์กรหนึ่ง ขึ้นชื่อว่ามีข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว มีเส้นสายไปทั่วอาณาจักรต้าโจว อาณาจักรต้าเว่ย และอาณาจักรต้าเยียน
องค์กรนี้ขายข้อมูลทุกประเภทในใต้หล้า ทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่งจะประกาศข่าวที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ์ให้ภายนอกรับรู้
ดังเช่นอันดับรายนาม ‘ปรมาจารย์แห่งต้าโจว’ ที่ถูกผู้ฝึกยุทธ์พากันเอ่ยถึงไม่หยุดก็ล้วนเป็นข้อมูลจากหอสิบทิศ
รายนามนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขทุก ๆ ครึ่งปี แต่ละครั้งจะประกาศเพียงแค่ชื่อของปรมาจารย์หนึ่งร้อยอันดับแรกเท่านั้น ทั้งยังแนบคำติชมที่มาจากหอสิบทิศอีกด้วย มีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อผู้ฝึกยุทธ์ในต้าโจว และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นการจัดอันดับที่น่าเชื่อถือที่สุดอีกด้วย
ในเมื่อข่าวการตายของฮวาเหลียนซิ่วมาจากหอสิบทิศ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน
ทว่าลุงอิงกลับส่ายหน้าพลางกล่าว “คุณหนู ตามที่ข้ามอง คนหนุ่มคนนั้นคงจะเป็นเพียงแค่ผู้แบ่งผลประโยชน์เท่านั้น ข้าไม่คิดว่าคนหนุ่มในขั้นขอบเขตรวบรวมลมปราณจะสามารถฆ่าคนระดับปรมาจารย์สามคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานานได้”
ฮวาเหยียนพยักหน้า ทว่าในใจกลับรู้สึกสงสัยยิ่งกว่าเดิม พลางพึมพำออกมา “ข้างกายคนแบ่งผลประโยชน์ สามารถมีหญิงสาวสวยงดงามถึงเพียงนั้นอยู่เคียงข้างได้ ถ้าเช่นนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาควรจะเป็นใครกัน?”
Comments