บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 350: จี้หยกหอยหิมะ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 350: จี้หยกหอยหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 350: จี้หยกหอยหิมะ

ตอนที่ 350: จี้หยกหอยหิมะ

เป็นเวลาเนิ่นนาน

ซูอี้ตื่นจากการทำสมาธิ ดวงตาอันล้ำลึกของเขากระจ่างใสทว่าสงบเรียบ

“ในขอบเขตไร้แพร่งพราย การบ่มเพาะขอบเขตนี้คือการปรับแต่งพลังภายในซึ่งหมุนเวียนอยู่ในร่าง ขณะนี้ข้าปรับแต่งมันได้สามในสิบส่วนแล้ว หากคงความเร็วระดับนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ ราวหนึ่งเดือนการปรับแต่งย่อมจะสมบูรณ์…”

ซูอี้ฉุกคิดได้ถึงสิ่งหนึ่ง เขาพลิกฝ่ามือ

ดาบดุร้ายของซูหงหลี่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันบนฝ่ามือ ก่อนหน้านี้ยามเมื่อมันปรากฏ มันแผ่กลิ่นอายดุร้ายอันน่ากลัวยิ่งจนแม้แต่ฟ้าดินยังมืดหม่น

แต่ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ มันกลับเชื่องราวกับลูกแกะ ควบคุมกลิ่นอายของมันเองอย่างระมัดระวังที่สุด

“ข้าควรนำดาบนี้มาปรับแต่งและใช้งานหรือไม่?”

ซูอี้ลังเล

ดาบเล่มนี้มีความพิเศษมาก วิธีการที่มันถูกหลอมสร้างขึ้นมานั้นนับว่าไม่ธรรมดา หากเขานำมันมาปรับแต่งอีกที ชายหนุ่มมั่นใจว่าอำนาจที่มันจะสามารถสำแดงออกมาจะต้องทำให้ทั้งโลกตกตะลึงได้อย่างแน่นอน

ว่ากันตามระดับของศาสตรา ดาบเล่มนี้เกินขอบเขตของศาสตราระดับวิถีต้นกำเนิด และสามารถเรียกได้ว่าเป็นศาสตราขั้นวิถีวิญญาณ ซึ่งคนที่จะสามารถสร้างศาสตราระดับนี้ได้จะต้องเป็นผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขั้นวิถีวิญญาณขึ้นไปเท่านั้น!

ในแง่ของวิธีการลับในการหลอมสร้าง ดาบนี้มาจากสำนักมารอย่างชัดเจน เพราะตัวดาบมีพลังจากเหล่าวิญญาณชั่วร้ายสถิตอยู่อย่างหนาแน่น ดังนั้นดาบเล่มนี้จึงถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์เดียวซึ่งก็คือการสร้างความวินาศให้กับทุกสรรพสิ่ง

แต่ในสายตาของซูอี้ ดาบเล่มนี้ยังขาดคุณสมบัติที่สำคัญไป

สิ่งที่ขาดก็คือมันไม่สามารถวิวัฒนาการไปถึงจุดที่เขาต้องการได้ อย่างมากที่สุดหลังจากเขานำมาปรับแต่ง จิตสำนึกของมันจะบังเกิดขึ้นมาก็แค่เท่านั้น แต่มันจะไม่มีทางพัฒนาไปถึงขึ้นเบิกปัญญาหรือก่อร่างวิญญาณได้อย่างแน่นอน

มันยังห่างไกลจากดาบนิลกาฬกลืนฟ้าซึ่งตราบใดที่ซูอี้ยังคงหล่อเลี้ยงดาบนิลกาฬกลืนฟ้าด้วยบัญญัติกลืนวิญญาณไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็เร็วดาบนิลกาฬกลืนฟ้าก็จะมีจิตสำนึกเป็นของมันเอง ถัดจากนั้นมันจะมีสติปัญญาและท้ายที่สุดมันก็จะพัฒนาไปจนถึงสามารถก่อร่างวิญญาณได้

หากเปรียบเทียบในด้านพลัง ณ ปัจจุบัน ดาบดุร้ายของซูหงหลี่นั้นเหนือกว่าดาบนิลกาฬกลืนฟ้าหลายเท่า

แต่ถ้าเป็นในแง่ของศักยภาพการพัฒนา ดาบดุร้ายของซูหงหลี่นั้นห่างไกลจากดาบนิลกาฬกลืนฟ้าอย่างไม่อาจเทียบได้

“ช่างเถิด ข้าจะเก็บมันเอาไว้ก่อน หากอนาคตชะตาฟ้าลิขิตให้ข้าได้รับโอกาสพัฒนาจนมันสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของมันได้ ข้าจะปรับแต่งและเก็บมันไว้ใช้ แต่ถ้าไม่ ข้าค่อยหลอมมันรวมเข้ากับดาบนิลกาฬกลืนฟ้า”

ซูอี้พูดกับตัวเอง

ฮึ่ม!

ดาบดุร้ายสั่นเล็กน้อยคล้ายกับแสดงอาการดีใจ

ซูอี้เก็บดาบแล้วลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง

ราตรีนี้เงียบสงบนัก

หมู่ดาวระยิบระยับ

ที่ลานบ้าน ฟางหยวนรออยู่ตรงนั้นแล้ว เมื่อเขาเห็นซูอี้ปรากฏกายขึ้น เขาก็รีบลุกขึ้นและเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าซู”

ซูอี้พยักหน้า

ฟางหยวนรายงานด้วยเสียงเบา “ใต้เท้าซู ในช่วงเวลาที่ท่านกำลังบ่มเพาะ ราชาสะกดขุนเขามู่ซีและคนอื่น ๆ มาหาท่านพร้อมกับเหล่าสมบัติจากบรรดาผู้ปราชัย”

หลังจากพูดจบ ฟางหยวนก็ยื่นจี้หยกมิติสีขาวราวกับผลึกแก้วให้แก่ซูอี้และกล่าวว่า “สมบัติทั้งหมดเหล่านั้นอยู่ในจี้หยกมิตินี้ขอเชิญใต้เท้าตรวจสอบ”

ซูอี้รับจี้หยกนี้มาเพ่งมอง มันปล่อยไออุ่นอันแสนสบายแก่ผู้ถือ ขนาดของมันราวครึ่งฝ่ามือ รูปทรงของมันเป็นวงกลมซึ่งดูธรรมดามาก แต่ถ้ามองใกล้ ๆ จะเห็นประกายแสงสีทองกะพริบอยู่โดยทั่ว

ด้านหลังจี้หยกสลักอักษรตัวเล็กสองตัว ‘หอยหิมะ’

“หยกวิญญาณธาตุมิติ?”

ซูอี้ประหลาดใจ นี่คือวัตถุวิญญาณระดับสูงซึ่งเป็นที่นิยมนำมาใช้ทำสมบัติประเภทคลังมิติเก็บของ

ฟางหยวนรีบพูด

“รายงานใต้เท้า ตามที่ราชาสะกดขุนเขาบอกกล่าว จี้หยกนี้จัดเก็บมาจากร่างของผู้อาวุโสใหญ่แห่งภูเขามังกรเร้น ‘โจวฉางอี้’ ซึ่งน่าจะเป็นสมบัติที่ถูกส่งต่อมาตั้งแต่โบราณ”

จี้หยกมีพื้นที่ว่างด้านในถึงร้อยหมู่ ซึ่งใหญ่มากหากเทียบกับจี้หยกสีหมึกที่เขาพกอยู่ตลอดซึ่งมีพื้นที่เก็บของเพียงสามสิบหมู่

และสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าของจี้หยกหอยหิมะคือภายในพื้นที่มิติของมันเต็มไปด้วยปราณวิญญาณซึ่งจะช่วยรักษาคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณที่ถูกเก็บอยู่ด้านในให้ยังคงมีฤทธิ์เช่นเดิมเต็มสิบส่วนเหมือนเมื่อตอนที่เพิ่งจัดเก็บเข้าไปแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี

พูดได้ว่าจี้หยกหอยหิมะนี้เป็นสมบัติที่ซูอี้ไม่คิดว่าจะเจอในโลกที่แห้งแล้งนี้!

จากนั้นซูอี้เพ่งความสนใจไปที่เหล่าสิ่งของมากมายที่ถูกจัดเก็บอยู่ในจี้หยกหอยหิมะ

ด้านในมีทั้งสมุนไพรวิญญาณ วัตถุวิญญาณ สมบัติวิเศษ ศาสตราวิญญาณ และของมีค่าอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งพวกมันถูกกองแยกกันเป็นหมวดหมู่มาแล้วอย่างเป็นระเบียบ

ซูอี้อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นจำนวนสมบัติที่ได้มาในครั้งนี้

มันมากกว่าทุกครั้งที่เขาได้รับมา!

สมุนไพรวิญญาณมีอยู่เกือบสองร้อยชนิด และทั้งหมดนั้นอยู่เหนือระดับสี่ มีสมุนไพรวิญญาณระดับห้าและหกผสมรวมอยู่ด้วยจำนวนไม่น้อย!

วัตถุวิญญาณนับร้อยชนิดต่างก็อยู่ในระดับสี่ขึ้นไปทั้งหมดเช่นกัน อีกทั้งทรัพยากรการบ่มเพาะแทบทั้งหมดต่างก็เป็นชนิดที่เหมาะสมสำหรับให้ผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดนำไปใช้

“สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้เพียงพอที่จะหลอม ‘โอสถทวิมรรคานพบริสุทธิ์’ ซึ่งยานี้จะทำให้ข้าใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนในการไปถึงระดับสมบูรณ์แบบของขั้นต้นในขอบเขตไร้แพร่งพราย

“ส่วนวัตถุวิญญาณทั้งหลายที่ได้มาน่าจะเพียงพอให้ข้าสามารถสร้าง ‘ค่ายกลแก่นแท้เบญจธาตุ’ และใช้สร้างยันต์ลับเพื่อให้หลิงเสวี่ยและฉาจิ่นติดตัวไว้เพื่อป้องกันตัว”

“ท้ายที่สุด วัตถุวิญญาณที่เหลือและศาสตราวิญญาณที่ไม่จำเป็น ข้าจะหลอมละลายแยกส่วนประกอบแร่และวัสดุต่าง ๆ ของพวกมันออกให้หมด นำมาปรับแต่งดาบนิลกาฬกลืนฟ้าให้ทรงอำนาจยิ่งขึ้น”

…ซูอี้วางแผนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

เขาไม่กังวลกับการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู แต่เขาต้องป้องกันไม่ให้เหล่าศัตรูใช้วิธีสกปรกทำร้ายคนที่เขาห่วงใย

ศึกวันนี้สร้างความโกลาหลให้กับโลกอย่างแน่นอนและหลังจากนี้เขาจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั่วทั้งโลก ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าทุกคนที่เฝ้าจับตาดูเขาจะสามารถยับยั้งความโลภในใจของตัวเองได้กันทุกคน มันจะต้องมีไอ้โง่สักตัวหนึ่งที่ถูกความโลภบดบังความคิดอ่านจนกล้าลงมือทำอะไรชั่ว ๆ กับคนใกล้ชิดของเขาแน่นอน

หลังจากเก็บจี้หยกหอยหิมะ ซูอี้ก็หยิบเก้าอี้หวายออกมาและนั่งเอนหลังอย่างเกียจคร้านก่อนจะพูดว่า “เจ้ามีอะไรอีกหรือไม่?”

ฟางหยวนรีบกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า ตระกูลซูได้ส่งคนมาบอกแล้วว่าเครื่องสังเวยทั้งหมดถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นอกจากอัฐิของโหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นแล้ว ยังมีอัฐิของสมาชิกตระกูลซูคนอื่น ๆ อีกสามสิบเก้าคน และอัฐิของบรรดาข้ารับใช้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องทุกตำแหน่งอีกหนึ่งร้อยสามสิบสามคน ในตอนเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้พวกเขาจะส่งเครื่องเซ่นไหว้เหล่านี้ไปยังภูเขาชิงฉี เป็นการส่วนตัว”

หลังจากรายงานจบ ฟางหยวนหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ซูอี้ “ใต้เท้า นี่คือรายชื่อของเหล่าเครื่องเซ่นไหว้โปรดใต้เท้าลองตรวจทานดู”

ซูอี้ไม่ได้รับมันมาแต่เอ่ยถามกลับแทน “เจ้าคิดว่าขณะนี้ตระกูลซูกล้าคิดตบตาข้างั้นหรือ?”

ฟางหยวนกล่าวโดยไม่ลังเล “ใต้เท้า จากมุมมองของผู้น้อย ตระกูลซูที่เพิ่งผ่านภัยพิบัติครั้งใหญ่ไปย่อมไม่กล้าที่จะเล่นกลในเรื่องนี้เพราะผลที่ตามมาย่อมได้ไม่คุ้มเสีย”

หลังจากหยุดครู่ ฟางหยวนก็เอ่ยต่อ “แต่อย่างไรแล้ว หากใต้เท้าเพียงแค่ไม่อยากวุ่นวายตรวจสอบเรื่องนี้ให้เสียเวลาของท่าน ผู้น้อยยินดีที่จะดูรายชื่อเหล่านี้แทนให้เพื่อความถูกต้องกับการเซ่นไหว้ในวันพรุ่งนี้ที่จะถึง”

ซูอี้โบกมือและพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจอีก”

หลังจากสังหารซูหงหลี่ จิตใจที่ขุ่นมัวมาหลายปีของซูอี้ก็ปลอดโปร่งขึ้น ทำให้เขาคร้านเกินกว่าจะใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยนี้

ฟางหยวนกล่าวต่อ “ใต้เท้า ราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิงมาหาท่านที่นี่เช่นกัน และกล่าวว่าพรุ่งนี้เขาจะนำแผ่นศิลาจากภูเขาเถาวัลย์อาถรรพ์มาให้ท่านด้วยตนเอง”

ซูอี้ประหลาดใจทันที

เดิมทีเขาวางแผนที่จะไปเยือนภูเขาเถาวัลย์อาถรรพ์เพื่อตรวจสอบแผ่นศิลาสลักคำทำนายลึกลับที่โด่งดังอันนั้นด้วยตนเอง แต่ไม่คิดเลยว่าเก๋อฉางหลิงจะตัดสินใจนำมันมาให้เขาดูโดยที่ไม่ต้องเสียแรง

“มีอะไรอีกหรือไม่?” ซูอี้ถาม

ฟางหยวนพูดอย่างรวดเร็ว “เรื่องสุดท้ายใต้เท้า ราชาขนนกเยว่ซือฉานกล่าวว่าต้องการพบท่านเป็นการส่วนตัวในวันพรุ่งนี้ หากท่านตกลง ผู้น้อยจะไปแจ้งนางหลังจากนี้”

ซูอี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสตรีผู้งดงามคนนั้น เขาพูดทันทีว่า “ตกลง เจ้าไปบอกนางได้”

หลังจากนั้น ซูอี้จ้องมองที่ฟางหยวนและกล่าวว่า “ในไม่ช้านี้ข้าจะเดินทางออกจากนครหลวงอวี้จิง ซึ่งเกรงว่าข้าคงไม่สามารถให้เจ้าติดตามข้าต่อไปได้”

ฟางหยวนอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นดวงตาของเขาเศร้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น “ผู้น้อยทราบดีว่าจะต้องมีสักวันที่จะต้องแยกจากใต้เท้า แต่ผู้น้อยเพียงแค่ไม่คาดคิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเช่นนี้ แต่อย่างไรแล้วใต้เท้าโปรดวางใจ แม้ผู้น้อยจะไม่ได้กล้าแกร่งเยี่ยงเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในโลกนี้ ทว่าผู้น้อยมั่นใจว่าสามารถเอาตัวเองรอดได้ แต่ภายหน้าหากมีโอกาสอีก ผู้น้อยหวังว่าใต้เท้าจะอนุญาตให้ผู้น้อยได้รับใช้ท่านอีกครั้ง”

ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยันต์หยกเปล่าออกจากแขนเสื้อคลุม และสลักเคล็ดวิชาการบ่มเพาะด้วยกระแสจิตของเขาเอง ก่อนจะมอบมันให้แก่ฟางหยวนและกล่าวว่า “นี่คือเคล็ดวิชาบ่มเพาะลับ แม้ไม่ลึกซึ้งมาก แต่มันเหมาะมากสำหรับตัวเจ้า จงรับไว้”

ร่างกายของฟางหยวนสั่น เขาคุกเข่าลงและก้มกราบทันทีก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตาผู้น้อย!”

“แววตาของเจ้าทำให้ข้าได้เห็นอนาคตอันเป็นไปได้ของเจ้า ดังนั้นอย่าทำให้ข้าผิดหวัง และเมื่อใดที่เจ้าประสบความสำเร็จในอนาคต อย่าได้นำชื่อข้าซูอี้ไปอ้างใช้”

ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย

ฟางหยวนรับปากอย่างหนักแน่น “อย่าได้กังวลใต้เท้า ทุกคำสั่งของท่านผู้น้อยจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด!”

“ไปได้แล้ว”

ซูอี้กล่าวก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย และเดินมือไพล่หลังกลับเข้าไปในเรือน

หลายปีต่อมาเมื่อฟางหยวนกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณและได้รับฉายา ‘มหาปราชญ์สะกดจันทรา’ เขาก็เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้กับชนรุ่นหลังด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน

เซียนอมตะชี้แนะ เกียรติสูงสุดแห่งชีวิต!

เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ห้าเดือนห้า

วันนี้ซูอี้วางแผนจะไปกวาดหลุมศพแม่ของเขา ‘เยี่ยอวี่เฟย’

เช้าวันนี้มีฝนพรำเล็กน้อย

ด้านนอกประตูเมืองทิศเหนือ เหล่ากองทหารราชองครักษ์ยืนเรียงแถวประจำการอยู่ที่นั่นมากมาย

โจวจือหลียืนอยู่หน้าแถวกองทหารด้วยสีหน้าประหม่าระคนคาดหวัง

ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง เขารีบตระเตรียมตัวเองสวมชุดรัชทายาทสีเหลืองทองอร่ามและมงกุฎขนนก รออยู่ที่นี่พร้อมกับกองทหารและเหล่าขุนนางอย่างยิ่งใหญ่

“เจ้ากำลังทำอะไร?”

ทันใดนั้น เสียงไร้แยแสดังขึ้นท่ามกลางฝนปรอย

ทุกคนแลเห็นที่ใต้ซุ้มประตูเมือง มีชายหนุ่มในชุดเขียวคนหนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันเดินออกมา ท่าทางดูองอาจและสูงส่งประหนึ่งเทพสวรรค์ผู้ซึ่งมาพักผ่อนที่โลกเบื้องล่าง

แน่นอนว่าผู้ที่เอ่ยทักคือซูอี้

เมื่อเห็นซูอี้ โจวจือหลีก็รู้สึกประหม่าและพูดตะกุกตะกัก “พ…พี่ซู ข้า… ข้าเพียงมาเพราะ…”

ซูอี้เหลือบมองที่เหล่ากองทหารองค์รักษ์ซึ่งอยู่ในชุดเกราะวาววับคล้ายกับมาสวนสนามแสดงความงดงามมากกว่ามารบพุ่ง เขาก็เข้าใจในทันทีและกล่าวว่า “บิดาของเจ้าบอกให้เจ้ามางั้นสิ?”

“ไม่ผิด!”

โจวจือหลีพยักหน้าก่อนจะรีบพูดต่อ “อันที่จริงแม้องค์พระบิดาไม่มีรับสั่งให้ข้ามา ข้าก็จะมาอยู่ดี นานแล้วที่ข้าไม่ได้พบเจอพี่ซูอี้อีกทั้งวันนี้คือวันสำคัญของพี่ด้วย ข้าจะไม่มาได้อย่างไร”

ซูอี้โบกมือและพูดว่า “ดี เช่นนั้นเจ้าตามข้ามาเพียงลำพังก็พอ”

โจวจือหลีรีบตกลงก่อนจะรีบเดินตามหลังซูอี้อย่างเบิกบาน

เหล่ากองทหารราชองค์รักษ์ทั้งหลายต่างแสดงสีหน้าโง่งม องค์รัชทายาทจากไปโดยไม่สนใจพวกเขาเลยอย่างนั้นหรือ?

อันที่จริงแล้วโจวจือหลีไม่สนใจเหล่าทหารตั้งแต่แรก

ในเวลานี้ อะไรจะสำคัญไปกว่าการติดตามซูอี้?

ระหว่างทาง ซูอี้ไม่จำเป็นต้องถามคำถาม โจวจือหลีก็อธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเขาเองได้กลายเป็นรัชทายาท

หลังจากนั้นเขามองไปที่ซูอี้อย่างประหม่าด้วยความรู้สึกผิด

ซูอี้อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี ทำไมเจ้าถึงแสดงสีหน้าประหม่ากับข้าเช่นนี้ด้วย? ข้าเข้าใจเป็นอย่างดีกับการกระทำของบิดาเจ้า ดังนั้นเมื่อเจ้ากลับไปแล้ว จงนำคำพูดนี้ไปบอกกับบิดาของเจ้าว่า ข้าไม่ถือสากับเจตนาของเขา ทว่าเพียงหลังจากที่เจ้ามีสิทธิ์ขาดในอำนาจการบริหารต้าโจวแล้วเท่านั้น ข้าจึงจะอนุญาตให้ตัวเจ้าอ้างชื่อของข้าได้เมื่อเผชิญกับปัญหาที่เจ้าไม่สามารถแก้ได้”

โจวจือหลีแทบจะอ้าปากค้างเมื่อเข้าใจความหมายของคำพูดซูอี้

นี่หมายความว่าถ้าเมื่อใดที่ต้าโจวมีโจวจือหลีเป็นผู้กุมอำนาจ เขาจะสามารถเอ่ยอ้างนามของซูอี้เพื่อสะกดข่มเหล่าผู้ฝึกตนที่ทรงอำนาจของอาณาจักรอื่นได้

แต่ถ้าเป็นในยามนี้ที่บิดาของเขายังถืออำนาจอยู่ ซูอี้จะไม่อนุญาต!

ผ่านไปครู่ใหญ่ โจวจือหลียังคงรู้สึกใจสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

คำพูดนี้ของซูอี้มันเป็นเรื่องน่ายินดีกว่าตอนที่เขาได้รับทราบว่าตัวเองได้เป็นรัชทายาทอย่างไม่อาจเทียบได้!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *