บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 372: ความลับของขอบเขตไร้เบญจธัญ และเมล็ดพันธ์เต๋าสุดขั้ว!

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 372: ความลับของขอบเขตไร้เบญจธัญ และเมล็ดพันธ์เต๋าสุดขั้ว! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 372: ความลับของขอบเขตไร้เบญจธัญ และเมล็ดพันธ์เต๋าสุดขั้ว!

ตอนที่ 372: ความลับของขอบเขตไร้เบญจธัญ และเมล็ดพันธ์เต๋าสุดขั้ว!

ผู้คนทั้งหมดต่างตกอยู่ในอาการตะลึง

ฮวาซิ่นเฟิงกล่าวขออภัย “พี่ชายของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา จึงไม่เคยแสดงความปรานี ทำให้องค์ชายหกต้องคุกเข่าและเสียหน้าแล้ว”

ขณะที่พูด สีหน้านางก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“ขออภัยทำไม ข้าพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว เขาแสวงหาความอับอายเอง”

ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย

“เอ่อ…”

ฮวาซิ่นเฟิงกลอกตาพลางแสดงสีหน้าเขินอาย ก่อนกล่าวกับคนรอบ ๆ ว่า “พวกท่านดูสิ พี่ชายของข้าเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ตั้งแต่เกิด ซึ่งเกรงว่าชาตินี้คงเปลี่ยนไม่ได้แล้ว”

ทุกคน “…”

ฉินฝูโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา

เขาถูกบีบให้คุกเข่า ทั้งเสียหน้าและอับอาย คำพูดแปลกประหลาดของฮวาซิ่นเฟิงเป็นการโรยเกลือลงบนบาดแผลของเขาและทิ่มแทงหัวใจของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

ซูอี้เมินเฉยอย่างสิ้นเชิง!

มดปลวกเช่นนี้จะอยู่ในสายตาของเขาได้อย่างไรกัน?

ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขาคงเอาวิญญาณของผู้สิงสถิตออกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว และคงไม่ใจอ่อนขนาดนี้

เมื่อเห็นเช่นนี้ฉินฝูก็ถอนใจอย่างโล่งอก แต่ความอับอายของการถูกเพิกเฉยกลับเพิ่มขึ้นในใจ สิ่งที่น่าเศร้ากว่าการถูกเหยียบย่ำ คือการที่ไม่ได้สนใจจะเหยียบย่ำเจ้า

“ถึงตาเจ้าแล้ว”

ซูอวี้มองไปที่ซางลั่วอวี่

หัวใจของทุกคนในที่นั่นเครียดเขม็ง ทุกคนต่างตระหนักว่าชายหนุ่มจากต้าเซี่ยผู้นี้เป็นคนหัวดื้ออย่างยิ่ง หากไม่ลงมือไม่เป็นไร แต่เมื่อลงมือไปแล้วจะฉุดไม่อยู่!

มีความแข็งกระด้างปรากฏที่หว่างคิ้วของซางลั่วอวี่

แต่นางก็ไม่หวาดกลัว เมื่อเผชิญกับสายตาของซูอี้ นางเหยียดตัวขึ้นแล้วกล่าวอย่างเย็นชา

“ยามซูอี้แห่งต้าโจวอยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ เขามีพลังพอที่จะสังหารเทพเซียนเดินดินขอบเขตเปิดทวารลงด้วยดาบเดียว เมื่อเทียบกับเขาแล้วเจ้ายังล้าหลังอยู่มาก”

คำพูดเหล่านี้ต่างได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ในที่นี้

แม้ว่าพวกเขาจะเกลียดชังซูอี้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธความสำเร็จอันน่าสะพรึงกลัวในอดีตของซูอี้ได้

มันก็แค่…

มุมปากของฮวาซิ่นเฟิงกระตุกอย่างแรง ซึ่งยากยิ่งสำหรับนางที่จะกลั้นยิ้มไว้

นางไม่เคยคิดเลยว่าซางลั่วอวี่จะใช้ความสำเร็จในอดีตของซูอี้มาปรามาสตัวซูอี้เอง…

ดวงตาของซูอี้เองก็ฉายแววประหลาด เขากล่าว “ข้าให้โอกาสเจ้าลงมือก่อน”

ก่อนนี้เขาให้โอกาสฉินฝูลงมือก่อน แต่ฉินฝูถูกจัดการลงอย่างง่ายดาย

มายามนี้ เผชิญหน้ากับขอบเขตไร้เบญจธัญอย่างซางลั่วอวี่เขาก็ยังคงพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ซึ่งท่วงท่าสบาย ๆ ดังกล่าวก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“เฮอะ”

คิ้วของซางลั่วอวี่มีกลิ่นอายเย็นเยียบ จนถึงตอนนี้นางยังไม่เคยพบตัวตนที่อวดดีเช่นนี้มาก่อน

นี่ทำให้นางรู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีถูกยั่วยุ

“มีดดาบไร้นัยน์ตา โปรดระวังด้วย”

ซางลั่วอวี่กล่าวขณะเตรียมลงมือ

ทว่าฉินต่งซวีกลับกล่าวขึ้นยิ้ม ๆ คั่นระหว่างกลาง “เอาล่ะ สหายจากต้าเซี่ยได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว หากยังประลองฝีมืออีกจะสร้างความขัดแย้งขึ้นได้”

ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ฮวาซิ่นเฟิงถ่ายทอดเสียงมาหาเขาเป็นครั้งแรก “คุณชาย การเปิดเผยความแข็งแกร่งมากเกินไปไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร มันจะทำให้ตาเฒ่าพวกนั้นหวาดกลัวเอาง่าย ๆ หลังจากเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล อาจทำให้ได้รับโชคลาภน้อยลง”

ในสายตาของนาง คนใหญ่คนโตเหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็นสินสงครามไปแล้ว…

ในเวลาเดียวสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที สะกดกลั้นความภาคภูมิใจลงแล้วกล่าวอย่างเฉยเมย “ในเมื่อผู้อาวุโสฉินกล่าวเช่นนั้น หมายความว่าพี่ชายของข้ากับข้าได้รับการยอมรับจากท่านแล้วใช่หรือไม่?”

ฉินต่งซวีหัวเราะ พลางเหลือบมองไปรอบ ๆ แล้วกล่าว “ข้าเชื่อว่าพวกท่านไม่มีความเป็นอื่นถูกหรือไม่?”

ฉินต่งซวีเอ่ยปากเช่นนี้แล้วใครจะกล้าคัดค้าน?

แล้วเรื่องก็จบลงเช่นนี้

ซางลั่วอวี่เงียบแล้วกลับไปนั่งอีกรอบ แต่นางเหลือบมองไปทางซูอี้หลายครั้งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา

……

ตกดึก

ซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิงกลับไปยังที่พักในเมืองตงฝู

“วันนี้ที่เจ้าแสร้งเป็นคนภายใต้ปราชญ์หลิวฮั่ว เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่คิดขึ้นมาชั่วคราวถูกหรือไม่?”

ระหว่างทาง ซูอี้ก็ถามขึ้น

มันเป็นเวลามืดค่ำแล้ว แสงดาราและจันทราส่องสว่าง ซึ่งผู้คนเดินถนนในเมืองก็เริ่มบางตา

“ไม่ผิด”

ฮวาซิ่นเฟิงกล่าวอย่างสงบ “ทว่าไม่ต้องกังวลไป ปราชญ์หลิวฮั่วกลับต้าเซี่ยไปแล้ว แม้นางจะทราบเรื่องก็คงไม่มาคิดบัญชีกับเราเร็ว ๆ นี้หรอก”

พูดถึงตรงนี้นางก็ยิ้มก่อนเอ่ย “แน่นอนว่าข้าทราบว่าคุณชายหาได้เกรงกลัวสิ่งเหล่านี้ เหตุผลที่ท่านถามเรื่องนี้ขึ้นคงเป็นเพราะท่านคิดว่าข้าโกหกมากเกินไป และคิดว่าข้าไม่ซื่อสัตย์”

ซูอี้ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผิดแล้ว ข้าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ข้าแค่อยากเตือนเจ้า ว่าถึงรูปลักษณ์ปัจจุบันของเจ้าจะเป็นของปลอม นามของเจ้าเป็นของปลอม หรือการกระทำของเจ้าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ สำหรับข้า ตราบใดที่เจ้าไม่มาแตะต้องขีดจำกัดของข้าก็พอ”

ฮวาซิ่นเฟิงตะลึงไป ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาอันงดงามของนางก็กะพริบด้วยความสงสัย “อะไรคือขีดจำกัดของคุณชายหรือ?”

ซูอี้ตอบอย่างสบาย ๆ “การทรยศ”

ฮวาซิ่นเฟิงพลันยิ้มแล้วกล่าว “คุณชายไม่ต้องกังวลไป ในการร่วมมือกันครั้งนี้ข้าไม่มีใจเป็นอื่นแน่นอน”

ซูอี้ไม่พูดอะไรอีก เขาเอามือไขว้หลังแล้วเดินนำไป

ฮวาซิ่นเฟิงรีบตามไป แต่เมื่อนางมองไปยังแผ่นหลังของซูอี้ ดวงตาที่ลึกล้ำงดงามของนางก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ในงานเลี้ยงวันนี้ ซูอี้สามารถมองเห็นเบื้องหลังของฉินฝูและซางลั่วอวี่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้นางตกใจอย่างยิ่ง

ยิ่งกว่านั้น ทักษะการปลอมตัวที่ซูอี้ใช้ก็เยี่ยมยอดยิ่ง ในงานเลี้ยงใหญ่ ดวงตาของคนใหญ่คนโตเหล่านั้นเฉียบแหลมเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครสักคนพบเห็นร่องรอยแม้สักคน

ทั้งหมดนี้กระตุ้นความอยากรู้ในหัวใจของฮวาซิ่นเฟิงยิ่งนัก

ในอดีต ในฐานะหัวหน้าผู้อาวุโสของหอสิบทิศ นางได้รวบรวมข้อมูลเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับซูอี้ไว้

มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางสงสัยว่าซูอี้เป็นผู้สิงสถิต แต่เมื่อซูอี้สังหารตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง นางก็ไม่ลังเลที่จะปฏิเสธการคาดเดานี้ทิ้งไป

หากเขาเป็นผู้ชิงร่างจริง เขาจะไปแก้แค้นตระกูลซูได้อย่างไร?

สิ่งที่ทำให้ฮวาซิ่นเฟิงรู้สึกงงงวยก็คือ ยิ่งนางศึกษาการกระทำในอดีตของซูอี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกว่าซูอี้เต็มไปด้วยความลับ ดังปริศนาที่ไม่มีผู้ใดสามารถไขได้

จนกระทั่งได้ร่วมมือกับซูอี้ด้วยตนเอง ฮวาซิ่นเฟิงจึงเพิ่งเข้าใจอย่างหนึ่งว่ายิ่งติดต่อกับซูอี้เท่าไรก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนจะรู้ว่าเขาซุกซ่อนความลับไว้มากมายเพียงใด

จนถึงตอนนี้ฮวาซิ่นเฟิงต้องยอมรับความจริงว่าความสงสัยของนางติดอยู่ที่ซูอี้โดยสมบูรณ์ กระทั่งควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่นเดียวกับการดื่มสุรา ยิ่งดื่มก็ยิ่งอยากดื่มเพิ่ม…

“ข้าจะตกหลุมเช่นนี้ไม่ได้!”

จนกระทั่งกลับมาถึงที่พัก ฮวาซิ่นเฟิงลอบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ขณะเตือนตัวเองว่าต้องระงับความอยากรู้อยากเห็นภายในใจลง

ความอยากรู้ฆ่าแมวตายได้

และความอยากรู้ยังทำให้สตรีตกหลุมรักได้ด้วย!

ฮวาซิ่นเฟิงไม่ต้องการปล่อยให้ตัวเองตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว

ซูอี้ไม่รู้ว่าฮวาซิ่นเฟิงมีความคิดในใจมากมายเพียงใด

เขากำลังนั่งสมาธิและฝึกฝน

ยาสวรรค์สองขั้วที่กลั่นหลอมในตำหนักเทียนหยวนไม่นานมานี้ เหลืออยู่เพียงห้าเม็ดเท่านั้น

ตามเงื่อนไขการกลืนมันวันละหนึ่งเม็ด หลังผ่านไปห้าวันเขาก็สามารถหลอมกลั่นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ไปจนถึงระดับสมบูรณ์แบบที่สุด และสามารถเริ่มทะลวงไปยังขอบเขตไร้เบญจธัญได้แล้ว

ขอบเขตไร้เบญจธัญเป็นขอบเขตแรกในสามขอบเขตของวิถีต้นกำเนิด

และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางจิตวิญญาณ

การที่สามารถสร้างรากฐานที่มั่นคงในขอบเขตไร้เบญจธัญได้หรือไม่นั้นเพียงพอที่จะส่งผลต่อเส้นทางในอนาคตได้

เช่นเดียวกับสี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์ จุดประสงค์สำคัญที่สุดคือการเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ

ในช่วงเริ่มต้นของการกลับชาติมาเกิดนี้ ซูอี้ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง ซึ่งเรียกว่าวิธีการสร้างรากฐานอันดับหนึ่งในเก้ามหาแดนดินที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิมหายุทธ์ ซึ่งมันประสบความสำเร็จในการหลอมกลั่น ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ‘ชีพจรลับ’ ‘เต๋ากัง’ ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ เรียกได้ว่าเป็นรากฐานมหาวิถีที่สร้างความตะลึงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ภายใต้อิทธิพลของดาบเก้าคุมขัง ทำให้เขาตระหนักเพิ่มเติมถึงขั้นตอนของการทะลวงขั้นและฝ่าฟันอุปสรรคของพื้นฐานมหาวิถีทั้งหมดของเขา

ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่ารากฐานสี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์ที่สร้างขึ้นนั้นเกินระดับเดียวกันในชีวิตก่อนของเขามานานแล้ว มองดูผู้ฝึกตนหลายร้อยล้านคนในเก้ามหาแดนดิน เขาเรียกได้ว่าไร้ผู้ใดเทียบเทียม!

ซึ่งทั้งหมดนี้คือการเตรียมพร้อมสู่ขอบเขตแรกของวิถีต้นกำเนิด!

สิ่งที่เรียกว่าขอบเขตไร้เบญจธัญนั้นคือการปราศจากโซ่ตรวนทางโลก ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม และปรับแต่งพลังชีวิตเพื่อเสริมสร้างร่างกาย

เรียกว่า ‘ไม่ดื่มไม่กิน’

ขอบเขตไร้เบญจธัญ สามารถดื่มน้ำพุสีทอง กินแก่นหินสีเงิน ดูดกลืนพลังฟ้าดินเข้ามาในร่าง ขี่เมฆหมอก แหวกว่ายในสี่คาบมหาสมุทรแห่งความว่างเปล่า ควบคุมสายลมเรียกหาสายฟ้า ไม่กลัวน้ำหรือไฟ

โลกสามัญจึงเรียกพวกเขาว่า ‘เทพเซียนเดินดิน’

ในสายตาของผู้ฝึกตน การก้าวเข้าสู่ขอบเขตนี้เทียบเท่ากับการก้าวไปยังมหาวิถี อายุขัยจะพุ่งทะยานขึ้นไปสามร้อยปี และหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งอายุขัยทางโลก!

สำหรับซูอี้แล้ว การก้าวไปสู่ขอบเขตนี้สำคัญยิ่ง

หนทางหมื่นลี้เริ่มที่ก้าวแรก

หอเก้าชั้นเริ่มจากการวางรากฐาน

ขอบเขตไร้เบญจธัญเป็นจุดเริ่มต้นของมหาวิถี และยังเป็นรากฐานของการฝึกฝน หากรากฐานไม่มั่นคงต้นไม้จะเติบโตไปสูงใหญ่ได้อย่างไร?

“ไม่รู้ว่ายามก้าวไปสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ข้าจะสร้างเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณแบบใดออกมา”

ขณะที่ฝึกฝน ซูอี้อดคาดฝันไปไกลไม่ได้

ในการเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญ จะสามารถปลูกเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณขึ้นมาในร่าง ซึ่งยิ่งคุณสมบัติของเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณสูงมากเท่าใด ยิ่งแสดงให้เห็นว่ารากฐานมหาวิถีแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

ในเก้ามหาแดนดิน แต่ละที่จะมีเกณฑ์การแบ่งเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณแตกต่างกันออกไป ชาวพุทธเรียกเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณว่ารากนิพพาน โดยแบ่งออกเป็นเก้าใบ ซึ่งหนึ่งใบเท่ากับหนึ่งโลก

วิถีเต๋าเรียกเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณว่าตัวอ่อนแรกกำเนิด แบ่งเป็นสามชั้นเก้าระดับ

ส่วนมารปีศาจตรงไปตรงมากว่า แบ่งเป็นสองแบบคือ เมล็ดพันธุ์ปีศาจ กับ เมล็ดพันธุ์ปีศาจบริสุทธิ์

แต่มีข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับโดยผู้ฝึกตนชั้นนำทั่วกัน ว่า ‘เมล็ดพันธุ์เต๋า’ เป็นเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณชั้นยอด

สิ่งที่เรียกว่าเมล็ดพันธุ์เต๋านี้คือเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณที่บรรจุจังหวะวิถีไว้

ซึ่งเมื่อเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ

รูปลักษณ์ของเมล็ดพันธุ์เต๋าจะแตกต่างกันไปแต่ละคน

เมื่อทะลวงขั้นจะทำให้เกิดนิมิตแห่งสวรรค์และโลก สะท้อนกับมหาวิถี และก่อเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋า แล้วจึงแสดงให้เห็นนิมิตอันน่าอัศจรรย์

เมล็ดพันธุ์เต๋าบางส่วนสามารถแปลงรูปลักษณ์เป็นภูเขาหรือแม่น้ำ รูปร่างของดวงอาทิตย์หรือจันทรา และบางส่วนสามารถแปลงรูปลักษณ์ไปเป็นสมบัติน่าพิศวงมากมาย บางส่วนก็สามารถก่อตัวเป็นฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ลม ไฟ และสัญลักษณ์อื่น ๆ ได้

แต่ละคนมีพลังที่ลึกลับแตกต่างกัน เหมือนกับพรสวรรค์ ทำให้ของรากฐานมหาวิถีกับพลังของผู้ฝึกตนเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป

ทว่าสำหรับซูอี้ แม้เมล็ดพันธุ์เต๋าเหล่านี้จะหายาก แต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

ครั้งนี้เขากลับชาติมาเกิดใหม่ ดังนั้นจึงมุ่งเป้าไปที่เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วที่แท้จริง!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *