บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 390: บรรลุ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 390: บรรลุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 390: บรรลุ

ตอนที่ 390: บรรลุ

ดูเหมือนการจองจำแห่งยุคมืดสามหมื่นปีจะซับซ้อนมาก และไม่ธรรมดาจริง ๆ

ราว ๆ สามหมื่นปีก่อน แหล่งกำเนิดคังชิงที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้กฎแห่งโลกในมหาทวีปคังชิงเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

การล่มสลายของมหาวิถีที่มาถึง ทำให้กลุ่มวิถีปราชญ์ที่กระจายทั่วใต้หล้าต่างได้รับผลกระทบ

และทำให้ผนังกั้นมิติมหาทวีปคังชิงเกิดรอยแยก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ฝึกตนต่างโลกฉวยโอกาสนี้ก้าวข้ามมา

ในช่วงกลิ่นคาวเลือดชั่วร้ายนั้น ทั่วมหาทวีปคังชิง ได้เกิดศึกทั้งภายนอกภายใน โกลาหลเป็นอย่างมาก

กลุ่มวิถีปราชญ์ที่มีตัวตนอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ ได้บัญชาการให้คนของตนออกจากมหาทวีปคังชิง

ส่วนกลุ่มวิถีปราชญ์ที่ไม่มีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิบัญชาการ พวกเขาล้วนดับสลายอยู่ภายใต้การจองจำแห่งยุคมืด

จนถึงวันนี้ พลังปราณวิญญาณในโลกล้วนเหือดแห้ง ไม่มีร่องรอยของกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณเหล่านั้นในมหาทวีปคังชิงอีก และกลายเป็นโลกสามัญโลกหนึ่ง

…..

สำหรับซูอี้ เขาได้พบเห็นบางอย่างมากกว่านั้น

การเปลี่ยนแปลงของแหล่งกำเนิดคังชิง เหมือนกับปากที่เต็มไปด้วยเลือด ในช่วงเวลาเกือบสามหมื่นปี มันได้ดูดกลืนพลังปราณวิญญาณบนโลกอย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดอาจเป็นเพราะภายในส่วนลึกของคังชิง ได้ก่อพลังบางอย่างไว้ และพลังนั้นอยากแปรสภาพ จึงต้องมีพลังปราณวิญญาณมาช่วยเสริมอย่างต่อเนื่อง

คล้ายกับผู้ฝึกตนที่ต้องการพลังปราณวิญญาณมาเพิ่มระดับการฝึกฝน และขยายความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเอง

การเปลี่ยนแปลงของแหล่งกำเนิดคังชิง ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

และทั้งหมด ก่อตัวเป็นช่วงเวลาแห่งความชั่วร้ายวุ่นวายมายาวนานถึงสามหมื่นปี ทำให้กลุ่มวิถีปราชญ์โบราณในมหาทวีปคังชิงเหี่ยวเฉาและสลายหายไปในที่สุด!

“เป็นเช่นนี้นี่เอง เมื่อสามหมื่นปีก่อน พลังปราณวิญญาณของโลกล้วนถูกดูดกลืนไว้ในแหล่งกำเนิดคังชิง เมื่อพลังที่เก็บสะสมปลดปล่อยออกมา ย่อมเป็นธรรมดาที่จะทำให้มหาทวีปคังชิงที่เหือดแห้งอย่างมากก้าวไปสู่แสงสว่างแห่งโลกกว้างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”

ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ในใจ

พลันนึกถึงข้อความบนแผ่นหินนั้นขึ้นมา

‘พลังที่ปิดผนึกไว้ข้างใต้ จะทะลวงออกมา’

หมายความว่า มรดกสืบทอดจากกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณที่หายสาบสูญไปเช่นหอเซียนดาบในยุคมืด จะปรากฏออกมาอีกครั้งในตอนที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง

‘ทั้งหมดที่เคยถูกจองจำ จะต้องถูกพังทลาย’

ประโยคนี้เข้าใจได้ง่ายมาก ในตอนยุคมืด ผนังกั้นของมหาทวีปคังชิงปรากฏรอยแยกที่ผ่านไปต่างโลกมากมาย แม้จะถูกปิดผนึกจองจำ…

ทว่าไม่นานก็จะถูกพังทลาย เมื่อถึงตอนนั้น ผู้ฝึกตนต่างโลกจะก้าวข้ามมา

‘เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่และการนองเลือดในอดีต จะกลับมาอีกครา’

ตามการคาดเดาของซูอี้ น่าจะเป็นในตอนที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างได้ย่างกรายมาถึงแล้ว พลังที่ถูกเก็บสะสมไว้ในแหล่งกำเนิดคังชิงมานานสามหมื่นปี ก็จะปรากฏออกมาบนโลก ทำให้มหาทวีปคังชิงก้าวเข้าสู่แสงสว่างแห่งโลกกว้างและในขณะเดียวกันก็จะเกิดการนองเลือดและความโกลาหลอย่างมหาศาลขึ้นด้วย

เมื่อคิดดูแล้ว เมื่อพลังของกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณปรากฏออกมาบนโลกในตอนนั้นอีกครั้ง และมีผู้ฝึกตนต่างโลกก้าวข้ามมา อานุภาพมหาศาลเช่นนั้นย่อมชะล้างสถานภาพทั่วใต้หล้าแน่!

ความโกลาหลและการนองเลือดเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว!

‘ก่อนที่หมอกหนาทึบจะถูกเปิดเผย เรื่องผิดปกติทั้งหมด จะเป็นลางบอกเหตุ’

ประโยคนี้ไม่ต้องคิดสิ่งใดมาก

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของซูอี้ รวมถึงเห็น ‘ผู้สิงสถิต’มากมายในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็มากพอที่จะยืนยันได้ว่า เรื่องผิดปกติทั้งหมด ล้วนเป็นลางที่บอกว่าการจองจำแห่งยุคมืดจะสูญสลายไป และก้าวไปสู่แสงสว่างแห่งโลกกว้างแทน!

“ไม่รู้ว่า ‘บ่อโบราณโกลาหล’ นั้นอยู่ที่ใด หากหาสถานที่นี้เจอ บางทีอาจสืบหาสาเหตุแท้จริงของการเกิดการจองจำแห่งยุคมืดนั้นได้…”

ซูอี้แอบเอ่ยในใจ

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ภายใน ‘ระฆังทัณฑ์โลกันต์’ ที่เยี่ยอวี่เฟยมารดาเขานำมาจากต่างโลก เหลือสิ่งของที่ลึกลับเอาไว้

ภายในนั้นซ่อนแผนที่ลับเอาไว้ รวมถึงประโยคหนึ่ง

แผนที่ลับนั้นวาดรูปต้นไม้ใหญ่พิเศษต้นหนึ่งที่เติบโตขึ้นไปบนฟากฟ้า แต่ละกิ่งก้านแขวนเต็มไปด้วยเศษโครงกระดูก!

และประโยคนั้นคือ ‘ที่มาแห่งคังชิง ความลับแห่งจักรพรรดิเก้าสมบูรณ์’! ที่เขียนด้วยอักษรเทพมารโบราณ

ในตอนนี้เอง ซูอี้ก็เดาได้ว่า มารดาเยี่ยอวี่เฟยก้าวข้ามมาบนโลกในตอนนั้น ก็เพื่อสืบหาแหล่งกำเนิดคังชิงนี้

ตอนนี้ ตามความเข้าใจของซูอี้ต่อการเปลี่ยนแปลงของแหล่งกำเนิดคังชิง รวมถึงความเร้นลับของการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อน ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าการเปลี่ยนแปลงของแหล่งกำเนิดคังชิงในตอนนั้น อาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘ความลับแห่งจักรพรรดิเก้าสมบูรณ์’ ที่เยี่ยอวี่เฟยสืบหาอยู่!

“เรื่องนี้ยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ…”

ซูอี้เกิดความรู้สึกรอคอยและคาดหวังออกมามากมาย

ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้สนใจมหาทวีปคังชิงนี้มากเท่าไรนัก

ถึงขั้นวางแผนว่าเมื่อตอนที่มหาทวีปคังชิงมิอาจเติมเต็มการฝึกของตัวเองได้ ก็จะหาทางออกไปจากโลกนี้ และหาสถานที่ฝึกอื่น

ทว่ายามนี้ เขาได้ค้นพบว่า มหาทวีปคังชิงไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เห็น ที่แห่งนี้ซ่อนความลึกลับไว้มากมาย และยังพัวพันไปถึงตัวตนขอบเขตจักรพรรดิด้วย!

“อย่างน้อยสามปี อย่างมากห้าปี แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึง ความลึกลับทั้งหมดก็จะถูกเปิดเผย”

“เมื่อถึงเวลานั้น ข้ากลับอยากเห็นว่า ใต้หล้านี้จะมีคนที่ถูกใจปรากฏออกมามากเท่าใดกัน หากเป็นบุคคลที่อ่อนปวกเปียกดุจผักกุยช่าย เช่นนั้นคงจะน่าเบื่อเกินไป…”

เมื่อซูอี้นึกมาถึงตรงนี้ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หากพวกอ่อนปวกเปียกนั้นแกร่งกล้าจนถูกตาต้องใจ เช่นนั้นเก็บเกี่ยวไปก็คงจะดีไม่น้อย

ต่อมา ซูอี้เก็บแผ่นหยกสีทองเข้มไว้ ก่อนหยิบตราประทับกระดูกขาวขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ ที่เขาไม่ใช้จิตสัมผัสกับของล้ำค่านี้ เพราะกังวลว่าภายในของของล้ำค่าจะซ่อนกลไกอันตรายเอาไว้

แต่ยามนี้ เขาไม่กังวลสิ่งใดอีกแล้ว

ในระหว่างที่ใช้จิตสัมผัส ซูอี้สัมผัสได้ถึง ‘คัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณ’ ที่ถูกผนึกไว้ทันที

นี่คือคัมภีร์สูงสุดของหอเซียนดาบ คือของล้ำค่าที่จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนเหลือเอาไว้ เพื่อที่ว่าหากถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลังได้ ก็เท่ากับเป็นความหวังที่จะถ่ายทอดไปสู่รุ่นต่อรุ่น และไม่ทำให้มรดกของหอเซียนดาบหายสาบสูญ

เป็นเวลานาน

ซูอี้ถึงได้เก็บจิตสัมผัสกลับมา

เขาได้อ่านแก่นแท้ของ ‘คัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณ’ อย่างคร่าว ๆ แล้ว คัมภีร์นี้เรียกได้ว่าครอบคลุมทั้งจักรวาลจริง ๆ มันเป็นมรดกการฝึกตนของผู้ฝึกปีศาจทั้งหมด และสามารถฝึกไปจนถึงขอบเขตจักรพรรดิได้

นอกจากนี้ ยังมีวิชาลับเก้าประการ รวมถึงเคล็ดวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้และการฝึกฝน

ตามประสบการณ์ชาติก่อนของซูอี้ คัมภีร์เช่นนี้ เพียงพอที่จะเทียบเท่ากับมรดกสูงสุดของกลุ่มวิถีปราชญ์ขอบเขตจักรพรรดิเหล่านั้นในเก้ามหาแดนดิน

แต่ทว่ายังห่างไกลจุดสูงสุดอยู่พอสมควร

แม้จะเป็นเช่นนี้มันก็ยังคุ้มค่ามาก และมิอาจประเมินค่าได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณ แม้แต่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ ต่างก็อาจต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อของสิ่งนี้!

อย่างไรเสีย มรดกเช่นนี้ ก็สามารถก่อตั้งกลุ่มวิถีปราชญ์ได้ และการสืบทอดก็จะไม่เสื่อมสลาย!

สิ่งที่เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาสามัญ’ ในคัมภีร์ที่สร้างโดยตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ ก็ไม่ต่างอะไรกับ ‘เต๋า’ ในสายตาของเหล่าผู้ฝึกตน

แต่น่าเสียดาย สำหรับซูอี้ คัมภีร์นี้ไม่ค่อยน่าดึงดูดเท่าใดนัก

ตัวเขานั้นได้สืบทอดการฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่อง และเรียนรู้คัมภีร์มากมาย ในแง่ของความลึกลับและรากฐาน ต้องเหนือกว่าคัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณอยู่แล้ว

ซึ่งจากการเปรียบเทียบกันแล้ว ชายหนุ่มก็พบว่าตราประทับกระดูกขาวชิ้นนี้กลับทำให้ซูอี้รู้สึกพึงพอใจมากกว่าวิชาพวกนั้นเสียอีก

อย่างไรเสีย ตราประทับหยกนี้ ก็สามารถควบคุมค่ายกลต้องห้ามทั้งหมดในซากหอเซียนดาบนี้ได้!

ซูอี้ถือตราประทับกระดูกขาวไว้ในมือ พลางสะบัดแขนเสื้อ

ครืน

ทันใดนั้น พลังต้องห้ามที่ปกคลุมบันไดหินเก้าชั้นก็ค่อย ๆ สลายไป

เมื่อฮวาซิ่นเฟิงที่รออยู่ตรงนั้นมานานเห็นเช่นนี้ แววตาพลันเปล่งประกาย พลางพุ่งเข้าไปและเอ่ยอย่างตื่นเต้นทันที “คุณชายซู นี่มันคือโชคลาภแบบใดกัน?”

ซูอี้นำสิ่งที่ได้รับรู้มาเมื่อครู่เล่าออกมาทันทีอย่างสั้น ๆ ได้ใจความ และไม่ปิดบังใด ๆ

สุดท้าย เขาก็นำแผ่นหยกสีทองเข้มส่งไปให้ พร้อมกับเอ่ย “เจ้าลองดูสิ่งเหล่านี้ก่อน ส่วนตราประทับหยกนี้ มิอาจมอบให้แก่เจ้าได้”

ขณะเอ่ย เขานั่งขัดสมาธิ และเอ่ยว่า “ข้าตั้งใจจะถือโอกาสนี้บรรลุขั้น หากไม่มีเรื่องสิ่งใด ก็อย่าได้รบกวนข้า”

ฮวาซิ่นเฟิงถือแผ่นหยกสีทองเข้มถอยออกไปอยู่อีกด้านของตำหนักอย่างรู้งาน

การลงมือครานี้ ทำให้นางรู้ว่าตัวเองไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนหน้านี้ซูอี้แบ่งของรางวัลให้นางส่วนหนึ่ง ก็ทำให้นางรู้สึกประทับใจมากแล้ว

ยามนี้ นางจะกล้าคิดถึงตราประทับกระดูกขาวนั้นได้อย่างไร?

ฮวาซิ่นเฟิงเองก็นั่งขัดสมาธิเช่นกัน นางจัดการความรู้สึก พลางใช้จิตสัมผัสมองดูภายในแผ่นหยกสีทองเข้มนั้น

บนแท่นหยกเก้าชั้น

ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ ท่ามกลางแสงเจิดจ้าเคลื่อนไหวไปมา มีโอสถวิญญาณหลากหลายชนิดปรากฏออกมา รวมถึงศิลาวิญญาณแวววาว

นี่คือของล้ำค่าที่ซูอี้รวบรวมไว้ในระยะเวลาสั้น ๆ มีคุณภาพยอดเยี่ยม ล้ำค่าหายาก และตัดใจใช้พวกมันไม่ได้มาโดยตลอด

และสุดท้าย ซูอี้ได้นำพระพุทธรูปกระดูกขาวขนาดเท่าฝ่ามือออกมาอีกองค์หนึ่ง

พระพุทธรูปวางมือซ้อนทับกัน มือหนึ่งหนีบดอกบัวไว้ บนหลังมีมังกรพันรอบอยู่ หัวมังกรอยู่ตรงตำแหน่งไหล่

พระพุทธรูปองค์นี้มาจากลานฌานปัญญา ซึ่งกลั่นมาจากกระดูกของมังกร ทว่าจิตวิญญาณได้ดับสลายไปแล้ว

แต่ตอนที่อยู่ในซากลานฌานปัญญา ซูอี้เคยกำราบโลหิตปราณมังกรแท้ และมันก็ได้ถูกเขาผนึกไว้ในพระพุทธรูปองค์นี้

และยามนี้ ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะใช้โลหิตปราณมังกรแท้เป็นตัวนำ และผสานเข้ากับโอสถวิญญาณรวมถึงศิลาวิญญาณ เพื่อบรรลุขอบเขตไร้เบญจธัญ พร้อมกับหลอมสร้าง ‘เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้ว’ ขึ้นมา!

ฟู่ว

ซูอี้ถอนหายใจยาว ขจัดความคิดที่ฟุ้งซ่าน ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ลืมสิ้นทุกสิ่ง พลันลมปราณทั่วร่างเริ่มขับเคลื่อนขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

โอสถวิญญาณ ศิลาวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าซูอี้ถูกหลอมจนสลายหายไป

สามวันต่อมา

ตูม!

บนแท่นหยกเก้าชั้น ทั่วร่างซูอี้ปกคลุมไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้า เกิดเสียงคำรามของพลังภายในตัวเขาออกมา

ภายในร่างกายของชายหนุ่ม คล้ายกับเกิดเขตแดนลับขนาดเล็ก ก่อนปรากฏแสงสว่างโชติช่วงออกมา และมีปรากฏการณ์ลึกลับแผ่ปกคลุม สะท้อนเงาดาบวิถีออกมา!

ทุก ๆ เงาดาบวิถี คล้ายสัมผัสกับดาบเก้าคุมขังในความคิด!

มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างคือ บนเงาดาบวิถีนั้นไม่มีโซ่ตรวนศักดิ์สิทธิ์ผนึกไว้ และทุกดาบวิถีเป็นเพียงแค่เงาที่แปรสภาพมาจากการตีความในเคล็ดล้ำลึกทั้งหลาย

ดาบวิถีถูกซ่อน ขอบเขตเร้นลับปรากฏขึ้น

ในขณะเดียวกัน ปราณจากภายในชีพจรลับ ได้ทะลวงผ่านชีพจรวิญญาณทั้งสิบสองจุด เชื่อมต่อร่างกายกับจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน ผสานร่วมกับเบิกมวลกลายวิญญาณทั้งหนึ่งร้อยแปดจุด และตอบรับซึ่งกันและกัน

สภาวะพลังสุดขั้วรินไหลปกคลุมทั้งภายในร่างและนอกร่าง

และอวัยวะทั้งห้าที่เปรียบเสมือนเตาหลอมขนาดใหญ่ ที่มีแสงเบญจธาตุอยู่ภายใน ได้แผ่ขยายพลังห้าธาตุออกมาและหมุนเวียนรวมกันเป็นหนึ่ง

ในยามนี้ศักยภาพและรากฐานทั้งหมด ผสานเข้ากับลมปราณแรกกำเนิดของซูอี้ราวกับภูเขาไฟปะทุ ทำให้สามหัวใจหลักของเขาได้รับการหลอมและเพิ่มระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตูม!

เมื่อซูอี้กลืนโลหิตปราณมังกรแท้เข้าไป ธาตุวิถีที่หมุนวนพลันมาถึงขั้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คล้ายกับทะลวงพันธนาการที่มองไม่เห็น ทำให้ร่างเขาสั่นไหวทันที การขับเคลื่อนลมปราณทุกส่วนทั้งภายในและภายนอกเดือดพล่านราวกับฟ้าร้อง

“จะบรรลุแล้วรึ?”

ฮวาซิ่นเฟิงที่อยู่ไกล ๆ ติดตามอย่างตื่นเต้น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *