บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 403: เทศกาลลอยโคมเพื่อบูชาผู้จากไป

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 403: เทศกาลลอยโคมเพื่อบูชาผู้จากไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 403: เทศกาลลอยโคมเพื่อบูชาผู้จากไป

ตอนที่ 403: เทศกาลลอยโคมเพื่อบูชาผู้จากไป

วันที่สองเดือนเจ็ด

เช้าตรู่

ซูอี้และหยวนเหิง ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมซึ่งเป็นร่างแปลงของเหล่าหยวนได้ออกเดินทางจากตำหนักเทียนหยวน

เมื่อวานนี้ ซูอี้ได้มอบตราประทับกระดูกขาวที่จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนทิ้งไว้ให้หนิงซือฮวาแล้ว โดยบอกกับนางว่าหากมีอันตรายที่ไม่อาจรับมือได้ ให้นางพาทุกคนจากสำนักเสวียนจวินไปยังส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหล

ด้วยพลังของตราประทับกระดูกขาว พวกนางสามารถเข้าไปในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบเพื่อหลบภัยได้

อันที่จริง สิ่งที่ซูอี้ทิ้งไว้เบื้องหลังมีมากกว่านั้น

ในภูเขาม่านหยกที่อยู่ห่างจากตำหนักเทียนหยวนไปหลายร้อยลี้มี ‘ค่ายกลแก่นแท้เบญจธาตุ’ และ ‘ค่ายกลรวมวิญญาณดาวเหนือ’ ซ่อนอยู่ ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะป้องกันการโจมตีของผู้ฝึกฝนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้

ที่ว่ากันว่ากระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรงก็คือเช่นนี้เอง

นอกจากนี้ ในตราประทับกระดูกขาว ยังมี ‘คัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณ’ ซึ่งเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของหอเซียนดาบ

ซูอี้บอกหนิงซือฮวาแล้วว่าคัมภีร์นี้ถือได้ว่าเป็นมรดกของสำนักเสวียนจวินที่จะส่งต่อไปยังผู้คนในสำนัก

แน่นอนว่าสำนักเสวียนจวินไม่อาจนับเป็นสำนักได้เต็มปาก หากแต่เป็นสถานที่รวบรวมญาติและมิตรสหายที่เกี่ยวข้องกับซูอี้

เช่นเดียวกับเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น หนิงซือฮวา หวงเฉียนจวิน เฝิงเสี่ยวเฟิง และเฝิงเสี่ยวหราน ในอดีตทุกคนได้รับวิธีการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมซึ่งสอนโดยซูอี้ จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องฝึกคัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณ

กล่าวโดยสรุป การที่ซูอี้ทิ้งคัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณไว้นั้นเทียบเท่ากับการช่วยให้หอเซียนดาบสืบทอดมรดกต่อไป และถือได้ว่าทำตามความคาดหวังของจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนแล้ว

การไปต้าเซี่ยของซูอี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการฝึกฝนของเขา

ช่วยไม่ได้ แม้ทรัพยากรการฝึกฝนในอาณาจักรต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉิน อาจจะพอตอบสนองการฝึกฝนในปัจจุบันของเขาได้

แต่มันก็ทำได้อีกไม่นาน

ขอบเขตไร้เบญจธัญ… เป็นเพียงขอบเขตแรกของวิถีต้นกำเนิด

ตามการประเมินของซูอี้ ด้วยรากฐานการฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ของเขา หากมีทรัพยากรไม่เพียงพอ ฐานการฝึกฝนจะต้องหยุดนิ่งเป็นเวลานาน

…นี่เป็นเรื่องที่ซูอี้รับไม่ได้!

ในฐานะผู้ปกครองของมหาทวีปคังชิง ต้าเซี่ยย่อมมีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากมาย

นี่หมายความว่าทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะในต้าเซี่ยนั้นอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง จึงย่อมเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการในการฝึกฝนของเขาได้

เมื่อนึกถึงต้าเซี่ย ในใจซูอี้ก็นึกถึงหลาย ๆ สิ่ง

อย่างเช่น ‘ชุมนุมมวลพฤกษา’ ที่จะจัดขึ้น ณ ต้าเซี่ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

หรือเกาะเซียนพระสุเมรุ ซึ่งฮวาซิ่นเฟิงเคยกล่าวไว้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’

แม้แต่ตระกูลของฮวาซิ่นเฟิงก็ดึงดูดความสนใจจากซูอี้อย่างมาก

เพราะถึงอย่างไร ตระกูลนี้ก็สามารถแกะสลักตราด้วยสัญลักษณ์ของ ‘ปักษามังกร’ ได้

แน่นอนว่าซูอี้ไม่ได้ลืมเก๋อเฉียน

ส่วนโจวจือเฉียน ผู้เข้าร่วมกับสำนักดาบเทียนชูแห่งต้าเซี่ยนั้น ซูอี้ไม่ได้ให้ความใส่ใจเลย

จากอาณาจักรต้าโจวไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย ระยะทางนั้นไกลยิ่ง มันต้องผ่านอาณาจักรจำนวนหลายสิบที่ซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนมหาทวีปคังชิง และต้องข้ามผ่านภูเขากับแม่น้ำนับไม่ถ้วน

แต่ซูอี้ไม่รีบร้อน

เช่นเดียวกับแต่ก่อน เขาชอบที่จะเหยียบย่ำไประหว่างภูเขาและแม่น้ำ เดินท่องไปในโลกปุถุชน

ชมภูเขา สายน้ำ และธรรมชาติ

ดูฟ้า มองดิน แลสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

การเดินทางคือการฝึกฝน

ลัทธิขงจื่อมีคำกล่าวที่ว่า ‘เดินทางหมื่นลี้’ ผู้ฝึกพุทธมีการเดินทางบำเพ็ญทุกกิริยาเพื่อแสวงหาหนทางดับทุกข์ ส่วนผู้ฝึกเต๋ามีบททดสอบ ‘ประสบการณ์ทางโลก’

แม้แต่สายเลือดของผู้ฝึกปีศาจก็ยังให้ความสนใจกับการขโมยเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

ทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์

สิ่งที่เรียกว่าเรื่องราวล้วนเป็นวิชาความรู้ ความรู้สึกที่พานพบล้วนคือบทประพันธ์

วิถีแห่งการฝึกฝนอยู่ระหว่างการกำเนิดและการเข้าสังคม

ดังนั้น เส้นทางข้างหน้า ซูอี้จึงเกิดความสนใจ เขาขี่ดาบท่องสายลม ชื่นชมความงามของภูเขาแม่น้ำและฟ้าดิน

บางครั้งก็ผ่อนฝีเท้าลง เดินเล่นในไปเมืองที่มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

แต่ความสุขก็อยู่ได้เพียงไม่กี่วัน

พอเบื่อหน่าย พวกเขาก็กวาดข้ามออกไปหลายพันลี้

ระหว่างทาง หยวนเหิงคอยรับใช้เสมอ ไม่ว่าเขาจะนอนหลับอยู่ในภูเขาลึกป่าดง หรืออยู่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองของโลกสามัญ

ด้วยฐานการบำเพ็ญของพวกเขา แม้ว่าจะมีข้อพิพาทเป็นครั้งคราวระหว่างทาง หยวนเหิงก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องให้ซูอี้ออกหน้า

สิบกว่าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

สองนายบ่าวได้ผ่านมาแล้วเจ็ดถึงแปดอาณาจักร ซึ่งพวกเขาได้ข้ามภูเขาและแม่น้ำนับไม่ถ้วน

วันนี้

ณ ดินแดนต้าเหลียง ไกลออกไปมีภูเขาที่เรียกว่า ‘เขาฝูเซียน’ ซึ่งมีแม่น้ำไหลผ่าน

ที่ริมฝั่งแม่น้ำมีหมู่บ้านอันห่างไกลผู้คนยิ่งตั้งอยู่

มันเป็นเวลากลางคืน น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวกราก เขาฝูเซียนที่อยู่ไกลออกไปดูราวกับวัตถุยักษ์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดดุจน้ำหมึก

“นายท่าน ดูทางนั้นสิขอรับ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ กำลังตั้งโคมที่ริมแม่น้ำ”

หยวนเหิงชี้ไปยังแม่น้ำที่ไกลออกไป

มีไฟหลายดวงถูกจุดขึ้นที่นั่น ชายหญิงและเด็ก ๆ ในหมู่บ้านทั้งหมดต่างมารวมตัวกัน พวกเขานำโคมแม่น้ำที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกมาจุดเทียนก่อนวางลงในสายนที

มองไปก็เห็นแสงและเงาไหลลงมาตามแม่น้ำชวนสะดุดตาในค่ำคืนนี้ยิ่ง

“นี่คือการบูชาวิญญาณคนตายอย่างนั้นรึ?”

ซูอี้ถามขึ้น

หยวนเหิงกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับนายท่าน วันนี้เป็นเทศกาลลอยโคมวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด ซึ่งเรียกอีกอย่างในโลกสามัญว่าเทศกาลผี มีข่าวลือว่าทุก ๆ ปีในวันนี้ ปราณหยินจะมีความเข้มข้นมากที่สุด และผีที่กระจัดกระจายอยู่ในโลกจะปรากฏตัวออกมาในวันนี้”

“มนุษย์สามัญจะจุดตะเกียงแม่น้ำ เผาเงินกระดาษ และบูชาดวงวิญญาณคนตายในวันนี้เพื่อพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุข”

หลังจากฟังเรื่องนี้ซูอี้ก็อึ้งไป เขารู้จักเทศกาลลอยโคมดี

ในสายตาของโลกปุถุชน นี่คือเทศกาลผี

ในสายตาของผู้ฝึกตน นี่เป็นวันที่ปราณหยินในโลกหนาแน่นที่สุดในรอบสามร้อยหกสิบห้าวันของปี

แต่ปราณหยินเพียงหนาแน่นกว่าปกติเล็กน้อยซึ่งไม่ได้สำคัญมากนัก

“ไปเถิด กลับบ้านกันไป คืนนี้ไม่ว่าพวกเจ้าคนใดก็ห้ามออกไปไหน! แม้จะได้ยินการเคลื่อนไหวใด ๆ ก็ห้ามเปิดประตูออกไป ไม่อย่างนั้นผีร้ายจะกินเจ้า!”

ชายชราผอมแห้งที่อยู่ไกล ๆ ตะโกนออกมา

ไม่นาน ชาวบ้านก็แยกย้ายกันไป

ค่ำคืนนั้นมืดมิด ไม่มีกระทั่งดวงดาวและแสงจันทร์ และในพื้นที่ภูเขาอันห่างไกลนี้ ได้ยินแม้แต่เสียงคำรามของสัตว์ป่ามาแต่ไกล

ชาวบ้านแต่ละคนถือโคมกระดาษพลางรีบกลับไปพร้อมกับบุตรชายหญิงของพวกเขา

ทันใดนั้น ก็มีโคมสองโคมตรงมาทางซูอี้

เมื่อมันเข้ามาใกล้ก็เห็นว่าเป็นเด็กชายอายุสิบสองหรือสิบสามปีกับเด็กหญิงอายุเจ็ดหรือแปดขวบ

เด็กชายมีผิวคล้ำและผอมแห้ง ซึ่งมีขวานแขวนอยู่ที่เอวของเขา

เด็กหญิงตัวเล็กถักเปียคู่ ใบหน้าของนางมีสีเหลือง และรูปร่างผอมบาง

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบและมีรอยปุปะ

เมื่อพวกเขาเห็นซูอี้และหยวนเหิงยืนอยู่บนพื้น สองพี่น้องต่างตกใจอย่างเห็นได้ชัดและก้าวถอยกลับไปสองสามก้าว

เด็กชายพลันดึงขวานของเขาออกมาและปกป้องน้องสาวของเขาไว้ข้างหลังทันที เขาพูดอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าเป็นคนหรือผี?”

“ถ้าเราเป็นผี ตอนนี้พวกเจ้าคงตายไปแล้ว”

หยวนเหิงหัวเราะพลางพูดว่า “ทุกคนในหมู่บ้านของเจ้าต่างกลับบ้านหมดแล้ว แล้วพวกเจ้าสองคนกำลังจะไปที่ใดกัน?”

เด็กชายตั้งท่าระวังขณะกล่าว “เจ้าจะถามไปทำไม?”

เด็กหญิงตัวเล็กโผล่หัวออกมาจากด้านหลังเด็กชาย ก่อนมองที่ซูอี้กับหยวนเหิงแล้วพูดอย่างอายๆ ว่า “พี่ชาย พวกเขาดูไม่ดุร้ายเลย พวกเขาต้องไม่ใช่ผีร้ายแน่”

เด็กชายแค่นเสียง “น้องสาว เจ้าไม่เข้าใจ ผีพวกนั้นเก่งกาจที่สุดในการเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วพวกมันชั่วร้ายและโหดเหี้ยมที่สุด”

ขณะหยวนเหิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ซูอี้ก็โบกมือ “หลีกทาง ปล่อยให้พวกเขาผ่านไป”

พูดจบเขาก็เดินหลบไปก่อน

หยวนเหิงตกตะลึง ก่อนจะถอยกลับอย่างเงียบ ๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ เด็กชายก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคว้ามือน้องสาวและรีบเดินออกไป

“ตามไปกัน จำไว้ว่าอย่ารบกวนพวกเขา”

ซูอี้เดินไปยังทิศที่เด็กชายจากไป

หยวนเหิงงุนงงเล็กน้อย นายท่านสังเกตเห็นสิ่งใดหรือไม่?

เขาไม่ได้ถาม แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามซูอี้ไป

ในความมืดมิดของราตรี เด็กชายถือขวานในมือข้างหนึ่งและกุมมือน้องสาวของเขาไว้อีกข้างพลางเดินจ้ำ

หลังจากนั้นสองเค่อ

เด็กชายกับน้องสาวของเขาก็มายืนอยู่หน้าหลุมศพหญ้า

เด็กชายตัดวัชพืชออกด้วยขวานอย่างว่องไว ก่อนซ่อมแซมหลุมศพที่อ้างว้าง แล้วหยิบธูปเทียน เงินกระดาษ และแป้งทอดคลุกน้ำตาลจากถุงผ้าที่เอวออกมา

เด็กชายจุดธูป วางแป้งทอดคลุกน้ำตาลลงหน้าหลุมฝังศพแล้วคุกเข่าลง ก่อนพูดว่า

“มารดา น้องสาวกับข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมท่านแล้ว”

หลังจากพูดแล้ว เขาก็ดึงเด็กหญิงตัวเล็ก ไปข้างหน้าพลางบอกนางว่า “น้องสาว เอาไปให้มารดาสิ รีบคุกเข่าเร็ว”

ขณะที่เด็กหญิงกำลังจะคุกเข่า นางก็เบิกตากว้างและตะโกนด้วยความตกใจว่า “พี่ชาย ผี!”

เด็กชายผุดลุกขึ้นยืนในชั่วอึดใจ เมื่อมองไปในความมืดไกล ๆ เห็นแสงไฟผีสีเขียวลอยอยู่เลือนรางกับเสื้อคลุมสีขาวที่พลิ้วไหวไปมา

“วิ่ง!”

เด็กชายตกใจมากจนเหงื่อเย็นไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง เขาคว้ามือน้องสาว ก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไป

แต่เมื่อผ่านไปครึ่งทาง เด็กชายก็หยุดลงกะทันหัน

ไม่ไกลนัก มีกลุ่มเงาน่าขนลุกบิดตัวไปมาราวกับเถาวัลย์อยู่ ปราญผีหนาแน่นเหมือนควันดำพลุ่งพล่านพุ่งตรงเข้าหาเด็กชายและเด็กหญิงตัวน้อย

สีหน้าของเด็กชายเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเขาก็อุ้มน้องสาวก่อนหันหลังวิ่งหนีไปทางอื่น

แต่ในไม่ช้า เสื้อคลุมสีขาวพลิ้วไหวก็ปรากฏขึ้นขวางด้านหน้าไว้

คราวนี้ เด็กชายมองเห็นได้ชัดเจนว่าผีชุดขาวเป็นผีสาวผมเผ้ากระเซิง โดยในเบ้าตาที่ไม่มีลูกตามีเพียงไฟผีสีเขียวคู่หนึ่ง ซึ่งผิวกายของนางสีซีดและโปร่งแสง

พรวด!

ผีสาวชุดขาวพุ่งมาสังหารด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

ซึ่งมันสายเกินไปที่เด็กชายกับเด็กหญิงตัวน้อยจะหลบเลี่ยง

ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เด็กชายกัดฟันแน่น ยืนขวางอยู่ต่อหน้าน้องสาวของเขา ก่อนตะโกนว่า “น้องสาว ไปเร็วเข้า!”

ขณะที่พูด เขาก็ใช้มือสองข้างกุมขวานแล้วฟันไปข้างหน้า

แกร็ก!

ขวานแตกออก และร่างของเด็กชายก็ถูกกระแทกออกไปในทันใด

ผีสาวชุดขาวไม่แม้แต่จะมองเด็กชาย นางรีบตรงไปยังเด็กหญิงตัวน้อยในทันใด ขณะที่ดวงตาของนางเปล่งประกายชั่วร้ายและเต็มไปด้วยความโลภ

“พี่ชาย ช่วยข้าด้วย—”

เด็กหญิงตัวเล็กล้มลงกับพื้น นางขดตัวลงก่อนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้าง หัวใจของเขาเหมือนถูกมีดเฉือน บิดามารดาของเขาเสียชีวิตไปแล้ว น้องสาวจึงเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา เมื่อเห็นฉากนี้ดวงตาของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยความเกลียดชังและโกรธแค้น

แต่มันสายเกินไปที่เขาจะช่วยทัน

ขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยกำลังจะถูกผีสาวชุดขาวกระโจนเข้าใส่ ก็พลันมีเสียงเย็นเยียบดังขึ้น

“ผีน้อย เจ้ากล้าทำร้ายผู้คน รนหาที่ตายนัก!”

เสียงนั้นเสมือนฟ้าร้องเต็มไปด้วยพลังอันกร้าวแกร่ง

ทันใดนั้น แสงสีทองก็ปรากฏขึ้นส่องทะลุผ่านความมืดมิดในยามค่ำคืน เปล่งประกายระยิบระยับอย่างหาที่เปรียบมิได้

ตูม!

ผีสาวชุดขาวตนนั้นไม่มีเวลาหลบ ร่างของนางดั่งแผ่นกระดาษ ซึ่งทันใดนั้นมันก็ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลายเป็นควันสีน้ำเงินและสลายไป

เด็กชายกับเด็กหญิงตัวน้อยตกตะลึง

แสงสีทองเจิดจ้ายังคงไม่จางหาย โดยในครรลองสายตาของพวกเขาได้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับเทพเซียนที่เสด็จลงมายังโลกมนุษย์

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *