บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 472: สามทำเนียบใหญ่

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 472: สามทำเนียบใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 472: สามทำเนียบใหญ่

ตอนที่ 472: สามทำเนียบใหญ่

ชายหนุ่มตาคม อาภรณ์สีเทาดึงสายตากลับมา ลอบถอนหายใจ

ต่อให้เป็นคนผู้นั้นจริง ในดินแดนที่อิทธิพลฝึกฝนรุ่งเรืองอย่างต้าเซี่ย น่ากลัวว่า… สิ่งนี้คงไม่โดดเด่นนัก

หากซูอี้อยู่ที่นี่ ย่อมจำได้ว่าชายชุดเทาดาบไพล่หลังผู้นี้ ก็คือชิงเหิงคง

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักวงเดือน ว่ากันว่าเป็นนักดาบอันดับหนึ่งของต้าเว่ย!

ภายในห้องส่วนตัวของโรงสุรา ชายหญิงวัยเยาว์กลุ่มหนึ่งกำลังสังสรรค์

ชายชุดทองคนหนึ่งหันไปมองชิงเหิงคง ก่อนจะเอ่ยโพล่งออกมา “ศิษย์น้องชิว เจ้ามัวดูสิ่งใด? รีบมารินสุราให้ทุกคนสิ”

ชิวเหิงคงเอ่ยเสียงเบา “ขอรับ”

เขารีบร้อนเดินเข้ามา ยกกาสุราขึ้น ก่อนจะก้มหน้ารินเหล้าให้ทุกคนในนี้

ประหนึ่งบริวารรับใช้

“ศิษย์น้องชิว เจ้าเองก็มานั่งเถิด”

หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ส่วนต้นเอ่ยเสียงเบาเพราะทนดูไม่ไหว

หญิงสาวสวมอาภรณ์สีม่วง ผิวขาวผ่องบริสุทธิ์ดุจหิมะ หว่างคิ้วใสสกาวมีปานคล้ายรูปใบบัวสีทอง

ตาของนางเฉี่ยวดั่งหงส์ คิ้วโก่งดุจภูผา อายุเท่านี้ หน้าตากลับดูสูงส่งน่าเกรงขาม

ชิวเหิงคงประหลาดใจนิดหน่อย

หญิงสาวผู้นี้มีนามว่าเจียงหลี

ทายาทสายตรงแห่งตระกูลเจียง หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย

นางเข้าร่วมสำนักดาบเทียนชูเมื่อสามปีก่อน บัดนี้ได้เป็นผู้สืบทอดลำดับแรกแห่งฝ่ายในแล้ว!

นางสืบสาน ‘วิชาหงส์หยกแผดเผาโลกันต์’ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเจียงมาตั้งแต่เด็ก รัศมีแห่งเพลิงหงส์หยกปกคลุมอยู่ทั้งตัว เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโลกหล้า

บวกกับรูปโฉมของนางสะคราญเมือง ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับฉายายกย่องว่าเป็น ‘เทพธิดาหงส์หยก’ ในหมู่คนหนุ่มสาวแห่งต้าเซี่ย

ชิวเหิงคงคิดไม่ถึงว่าธิดาสวรรค์อย่างเจียงหลีจะดูแลศิษย์ฝ่ายนอกที่มีตำแหน่งต่ำต้อยที่สุดเฉกเช่นตัวเอง ความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นในใจ

แต่ไม่รอให้เขาได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ชายชุดทองก็เอ่ยขึ้นด้วยความขบขัน “ศิษย์พี่เจียง ศิษย์น้องชิวบอกไว้ตั้งแต่ที่เราออกเดินทางจากสำนักแล้ว ว่าเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ระหว่างทางเขาจะรับหน้าที่จัดการเอง”

พูดไป เขาทอดสายตามองชิวเหิงคง ก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ “อีกอย่าง ศิษย์น้องชิวเองก็เต็มใจรินสุราให้เรา หาได้มีผู้ใดจงใจใช้เขา เจ้าว่าจริงหรือไม่ ศิษย์น้องชิว?”

ในใจของชิวเหิงคงเกิดความรู้สึกอัปยศขึ้นมา

แต่เขายังพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “ใช่แล้ว”

ชายชุดทองมีนามว่าเถาอวิ๋นฉือ ศิษย์ฝ่ายในแห่งสำนักดาบเทียนชู ภูมิหลังไม่ธรรมดา เดิมเป็นทายาทสายตรงของกลุ่มขุมอำนาจหนึ่ง

ไม่ว่าจะฐานะ ตำแหน่ง ผลการฝึก ชิวเหิงคงล้วนห่างไกลไม่อาจเทียบ

ความเป็นจริง ชายหญิงในที่นี้ ล้วนมีพื้นเพไม่ธรรมดา แต่ละคนฐานะสูงส่งกันทั้งนั้น เป็นคนโดดเด่นในกลุ่มหนุ่มสาวแห่งสำนักดาบเทียนชู

ท่ามกลางคนเหล่านี้ เทพธิดาหงส์หยกเจียงหลีโดดเด่นที่สุด ฐานะก็สูงที่สุดเช่นกัน

รองลงมาจากนาง ก็คือชายชุดทอง เถาอวิ๋นฉือ

ส่วนเขา ชิงเหิงคง เวลานี้เป็นแค่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่ฝากตัวในสำนักดาบเทียนชูได้หนึ่งเดือน ฐานะตำแหน่งจึงไม่อาจเทียบได้กับชายหญิงที่อยู่ ณ ที่นี้

ต่อให้เปรียบเทียบด้านผลการฝึก ชิวเหิงคงก็ด้อยกว่ามาก!

เมื่ออยู่ต้าเว่ย ชิวเหิงคงคือนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย และเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักวงเดือน

แต่ที่ต้าเซี่ย…

เขาเป็นเพียงลูกศิษย์ฝ่ายนอกดาด ๆ คนหนึ่งแห่งสำนักดาบเทียนชูเท่านั้น

แต่ชิวเหิงคงรู้สึกพอใจมากแล้ว

ต้าเซี่ยเป็นจ้าวแห่งมหาทวีปคังชิง อิทธิพลการฝึกฝนรุ่งโรจน์ไร้ที่ใดเปรียบ

สุ่มลากกลุ่มขุมกำลังสักแห่งออกจากสิบสามแคว้นแห่งต้าเซี่ยไปอยู่ที่อาณาจักรเล็ก ๆ ห่างไกลอย่างต้าเว่ย ก็ถือเป็นการดำรงอยู่ระดับไร้เทียมทาน

ที่นี่มีวีรบุรุษเกินคณานับ

อัจฉริยะเยอะดุจปลาในแม่น้ำ นับไม่หวาดไม่ไหว แต่ละคนล้วนมีความโดดเด่นเก่งกาจของตัวเอง

เมื่อครั้งเพิ่งมาถึงต้าเซี่ย หลังจากได้ทราบสถานการณ์เหล่านี้ ความทะนง ความเชื่อมั่นในตัวเองของชิวเหิงคงถูกทำลายจนย่อยยับ

และในตอนนั้นเอง เขาถึงเข้าใจว่าต้าเซี่ยเป็นสถานที่ฝึกฝนที่ล้ำเลิศเพียงใด!

เทียบกันแล้ว สถานที่อย่างต้าเว่ย ไม่ต่างอะไรกับเขตทุรกันดาร

เรื่องนี้ทำให้ชิวเหิงคงเยาะเย้ยตัวเองอยู่บ่อย ๆ ว่าตัวเองในอดีตเปรียบดั่งกบในกะลา ทึกทักเอาเองว่าผืนฟ้ากว้างใหญ่แค่เท่านี้ ทั้งน่าขำ และน่าสังเวช…

ทว่าชิวเหิงคงตั้งจิตแน่วแน่ แม้จะถูกความเป็นจริงทำร้ายจิตใจจนพรุน แต่ด้วยความอดทนและความกล้าหาญอันไม่ธรรมดาของเขา หลังจากการทดสอบคัดเลือกครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็มีวาสนาได้ฝากตัวเข้าฝึกฝนกับสำนักดาบเทียนชู

ต่อให้เป็นเพียงลูกศิษย์ฝ่ายนอกฐานะต่ำต้อย ไม่มีผู้ใดใส่ใจก็ตาม แต่ฐานะเช่นนี้ เพียงพอให้ผู้ฝึกตนในโลกหล้าอิจฉาตาร้อนกันแล้ว!

ท่าทางยอมก้มหัวเชื่อฟังของชิวเหิงคง ส่งผลให้เจียงหลีส่ายหน้ากับตัวเอง ไม่พูดสิ่งใดอีก

ในสำนักดาบเทียนชู มีกฎระเบียบเข้มงวดในความต่างชั้นของฐานะ

ในสายตาลูกศิษย์ฝ่ายในส่วนใหญ่ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกไม่ต่างจากบริวารรับใช้เท่าไรจริง ๆ

หากนางดึงดันให้ชิงเหิงคงนั่งที่ ดื่มกินร่วมโต๊ะกับพวกเขา กลับกลายเป็นนำชิวเหิงคงขึ้นไปเผาบนกองไฟ ทำให้คนอื่น ๆ ในที่นี้ไม่พอใจต่อชิวเหิงคง

“ข้าได้ข่าวมาว่า ราชวงศ์เซี่ยเชื้อเชิญคนใหญ่คนโตมากมายในโลกฝึกฝน พร้อมกับระดมกำลังทหารสัมภเวสีทั่วหล้าเพื่อร่างทำเนียบขึ้นมาสามทำเนียบ โดยแบ่งเป็น ‘ทำเนียบมารบรรพกาล’ ‘ทำเนียบดารา’ และ ‘ทำเนียบผู้สิงสถิต’

จู่ ๆ เถาอวิ๋นฉือก็เอ่ยขึ้น “ทั้งสามทำเนียบนี้ มีสองทำเนียบแรกเป็นการรวมชื่อปีศาจโบราณ และอัจฉริยะในยุคนี้ที่อุบัติขึ้นจากทั่วแดนมหาทวีปคังชิง”

“ส่วน ‘ทำเนียบผู้สิงสถิต’ เรียกว่า ‘ทำเนียบค่าหัว’ ได้ด้วย ผู้สิงสถิตที่มีชื่อบนทำเนียบ ล้วนถูกมองเป็นศัตรูของปวงชนแห่งโลกฝึกฝนต้าเซี่ย ไม่ว่าผู้ใดสังหารผู้สิงสถิตเหล่านั้นได้ ก็จะสามารถขอรับเงินรางวัลก้อนโตจากราชวงศ์เซี่ยได้”

ฝูงชนต่างเผยสีหน้าสนอกสนใจ

ทำเนียบมารบรรพกาล!

ทำเนียบดารา!

ทำเนียบผู้สิงสถิต!

เป้าหมายที่สามทำเนียบนี้เพ่งเล็งชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย

โดยแบ่งเป็นปีศาจโบราณที่รอดชีวิตจากการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อน อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในช่วงสิบปีที่ผ่านมา รวมถึงผู้สิงสถิตที่ลอบเข้ามายังมหาทวีปคังชิงจากต่างโลกต่างภพภูมิ!

มีคนพึมพำขึ้นมา “ไม่ว่าจะเป็นปีศาจโบราณ หรืออัจฉริยะในยุคนี้ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนในมหาทวีปคังชิง ส่วนผู้สิงสถิตจากโลกอื่นมีจุดประสงค์แอบแฝงเมื่อเดินทางมายังมหาทวีปคังชิง ราชวงศ์เซี่ยจึงได้ร่างทำเนียบผู้สิงสถิต เพื่อเป็นการระดมกำลังผู้ฝึกตนทั่วหล้า ให้ร่วมกันต่อกรกับเหล่าผู้สิงสถิต”

“ผู้ที่มิใช่เผ่าเรา ย่อมมีใจเป็นอื่น ได้ข่าวว่าเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง บรรดาผู้ฝึกตนจากโลกอื่นจะยกโขยงบุกรุกเข้ามา ถึงเวลานั้น ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้จะสั่นคลอนเพียงใด”

มีคนทอดถอนใจ

“ไม่จำเป็นต้องวิตกเรื่องนี้หรอก สิ่งใดหรือคือแสงสว่างแห่งโลกกว้าง? ฟ้าดินเปลี่ยนสี ปราณวิญญาณปะทุ ผู้ฝึกตนในโลกหล้าต่างหวังว่าขอบเขตของตัวเองจะก้าวกระโดด ขณะเดียวกัน ก็คล้อยตามการออกสู่โลกของเหล่าปีศาจโบราณ รวมถึงผู้ฝึกตนโลกอื่นที่บุกรุกเข้ามา กฎเกณฑ์ที่เคยมีในโลกนี้ย่อมทลายลง กฎเกณฑ์ใหม่จักก่อเกิดท่ามกลางความจลาจลอันนองเลือด”

มีคนเอ่ยเสียงเข้ม “นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำคือเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างอุบัติ และรอคอยความเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังจะมาถึง!”

ทุกคนดื่มเหล้าไปพลาง ถกกันไปพลาง เรื่องที่สนทนาอยู่ทำให้ชิวเหิงคงหัวใจเต็มตื้นขึ้นเช่นกัน และตั้งความหวังไว้กับแสงสว่างแห่งโลกกว้าง

เขารู้ดีกว่าด้วยความสามารถระดับเขา หากจะยืนอยู่ในสำนักดาบเทียนชูได้อย่างมั่นคง ไม่รู้ว่าต้องเสียเวลาไปอีกตั้งกี่ปี

กระทั่งสิ่งที่โหดร้ายที่สุดคือ ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใด ก็อาจโดนผู้สืบทอดอัจฉริยะที่ก่อเกิดขึ้นรุ่นแล้วรุ่นเล่าเหยียบอยู่ใต้เท้า

และตัวละครเช่นเขา หากคิดจะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว ก็แทบจะไร้ซึ่งโอกาส

นอกเสียจากได้พบกับวาสนาใหญ่ยิ่งที่ช่วยหล่อหลอม

และสำหรับชิวเหิงคง แสงสว่างแห่งโลกกว้างที่จะมาถึงในอีกหลายปีให้หลัง ถือเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต!

เวลานั้น เจียงหลีเอ่ยขึ้น “จากที่ข้าทราบมา สามทำเนียบที่ราชวงศ์ต้าเซี่ยตั้งขึ้นนี้ จะมีการประกาศในอีกครึ่งเดือน เวลานั้น เหลือเวลาหนึ่งเดือนพอดี กว่า ‘ชุมนุมมวลพฤกษา’ จะเริ่มขึ้น”

พูดจบ นางลุกขึ้นพร้อมเดินออกไปด้านนอก “นี่ก็สายมากแล้ว เราควรออกเดินทางจากที่นี่กันได้แล้ว”

พวกเถาอวิ๋นฉือรีบลุกขึ้นและตามไปติด ๆ

ชิวเหิงคงตามอยู่รั้งท้าย ดูคล้ายบ่าวรับใช้ที่มิมีผู้ใดไถ่ถามหา

……

พระจันทร์ขึ้นโด่ง แสงดาราพร่างพราย

ท่ามกลางป่าเขาอันไพศาล พวกซูอี้กำลังเดินทางอยู่

ภาพทิวทัศน์ที่เห็นทั้งตลอดเส้นทาง ดูแตกต่างจากยามกลางวันจริง ๆ ทั้งให้ความรู้สึกกว้างไกล สงบ และความดิบของธรรมชาติเพิ่มเข้ามา

ยามราตรี เป็นช่วงเวลาที่สรรพสัตว์ และภูตผีปีศาจโลดแล่นมากที่สุด

คนธรรมดาไม่หาญกล้าเดินทางอยู่ในป่าเขาในยามนี้เด็ดขาด

แน่นอนว่าพวกซูอี้ไม่ใช่คนธรรมดา

เฉพาะไอปีศาจที่แผ่ซ่านออกจากร่างของหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิง ก็ทำให้ภูตผีปีศาจตลอดทางนี้หวาดกลัวได้ และไม่กล้าเข้าใกล้

“ข่มกลั้นพลังในตัวหน่อย”

ทันใดนั้น ซูอี้ก็รู้สึกถึงบางอย่าง และเอ่ยกำชับ

ขณะที่สนทนา สายตาของเขาได้ทอดมองไปยังหมู่เขาไกล ๆ

ท้องฟ้ารัตติกาล ณ ที่นั่น มีหมู่เมฆครึ้มหนาปกคลุมอยู่ ไอผีอึมครึมกำจาย

หากไม่สัมผัสให้ละเอียด ยากจะค้นพบ

“ไป เข้าไปดูกันหน่อย”

ซูอี้เกิดความสนใจ

ร่างคนกลุ่มหนึ่งวูบวาบ กระโจนไปยังหมู่เขาไกล ๆ

ไม่นานนัก เค้าโครงเมืองหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของพวกซูอี้

เมืองนี้มีขนาดเล็กมาก อย่างมากก็มีพื้นที่รัศมีเพียงพันจั้งเท่านั้น ทั้งยังตั้งอยู่ท่ามกลางกลุ่มขุนเขา

แสงไฟในเมืองสว่างสดใส คึกคักมีชีวิตชีวา ส่วนท้องฟ้าเหนือเมืองแห่งนั้น มีเมฆดำหนาแน่น กลิ่นอายดุดันเดือดพล่าน!

“ดูเหมือนที่นี่จะเป็นเมืองผี?”

หยวนเหิงตะลึง

ในเขตป่าเขากันดารที่มองไม่เห็นที่สิ้นสุดนี้ กลับมีเมืองสุดครึกครื้นปรากฏ นับว่าผิดปกติอย่างมาก

แล้วดูไอผีดุดันที่เดือดพล่านอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองนั่นสิ! พวกเขาย่อมมองออกว่าเมืองนี้อันตรายมาก!

“นี่แหละ ‘เมืองผี’ ที่แท้จริง”

ตาของซูอี้เป็นประกายลึกล้ำ มองปราดเดียวก็ออกว่าเมืองนี้เป็นเพียงภาพมายาจากซากปรักหักพัง

ส่วนสิ่งที่อยู่ในเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นผี กำลังทำการแลกเปลี่ยนกันสารพัดสารเพ

ดูครึกครื้นรุ่งเรือง เมื่อฟ้าสว่าง ไม่ว่าจะเป็นเมืองนี้หรือภูตผีในเมือง ต่างแยกย้ายกระจายกันออกไป

เทียบกับเมืองผีเสี่ยวเฟิงตูแล้ว ที่แห่งนี้ จึงจะนับเป็นเมืองผีที่แท้จริง

“ไม่รู้ว่าภูตผีเหล่านั้นขายของวิเศษใดกัน ไปกันเถิด เราเข้าไปดูกันหน่อย จำไว้ ห้ามเผยพลังในตัวเด็ดขาด มิฉะนั้น ย่อมทำให้ภูตผีเหล่านั้นแตกตื่น”

ซูอี้สนอกสนใจ พลางเอ่ยกำชับประโยคหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนไปที่เมืองนำไปก่อน

ดึกดื่นเช่นนี้ ได้พบเมืองผีอันพิศวงในหุบเขาลึกเช่นนี้ หากไม่เข้าไปดูเสียหน่อย คงน่าเสียดายแย่

หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงตามไปติด ๆ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *